จื่อเมี่ยวทราบมานานแล้วว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่ชาญฉลาดและมีไหวพริบที่ดี เขาจึงไม่คิดปฏิเสธคำถามลองเชิงของนาง
“จริงอยู่ที่ข้ายังมีสถานะอื่น ทว่าข้าก็ไม่มีเจตนามุ่งร้ายใดต่อพวกท่าน สาเหตุที่ข้าเข้ามาหาท่านก็เป็นเพียงเพราะสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวท่านเท่านั้น”
เขาเปิดเผยอย่างชัดเจนว่าสนใจและสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก
ถึงอย่างไร สำหรับผู้ที่ฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามจากดินแดนอ้างว้างจนมาถึงที่โลกแห่งเทพได้และยังมีพลังความแข็งแกร่งที่โดดเด่นเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ผู้นี้มิใช่สตรีธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน
ฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มบางโดยไม่กล่าวสิ่งใด ด้วยความแข็งแกร่งของนางในตอนนี้ หากคนของขุมกำลังเอกพิภพต้องการจัดการกับนาง พวกเขาย่อมทำได้อย่างง่ายดายเพียงขยับมือ เพราะเหตุนั้น นางจึงไม่นึกสงสัยในวาจาของจื่อเมี่ยว ในเมื่อเขากล่าวเช่นนี้ มันก็คงจะเป็นความจริงและไม่มีสิ่งใดแอบแฝง
“เอาล่ะ ข้าจะไม่รบกวนมื้ออาหารของทุกท่านอีกต่อไป หากขัดข้องสิ่งใดหรือต้องการความช่วยเหลือจากขุมกำลังเอกพิภพก็เข้ามาข้าได้ทุกเมื่อ อย่างไรก็ตาม มันต้องมีค่าธรรมเนียมแลกเปลี่ยนและเป็นราคาที่สูงพอสมควร ดังนั้นก่อนที่จะมาหาข้า ขอให้คิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน”
จื่อเมี่ยวกล่าวทิ้งท้ายก่อนหันหลังและเดินจากไป
แม้ไม่มีวี่แววของเจตนามุ่งร้าย ทว่าทัศนคติที่จื่อเมี่ยวแสดงออกมาก็มิใช่เป็นการผูกมิตรเช่นกัน บุรุษหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ทำให้ฉินอวี้โม่สับสนไม่น้อย…
“เขาเป็นบุคคลที่ดูลึกลับเกินไป…”
ว่านหลิวอวิ๋นและอีกสองคนก็รู้สึกไม่ต่างกัน พวกเขารู้สึกว่าการสนิทสนมหรือเข้าใกล้คนเช่นจื่อเมี่ยวมากเกินไปจะมิใช่เรื่องดี ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็ดูจะเก็บซ่อนความลับไว้มากมาย ในเมื่อเขาไม่แสดงเจตนาผูกมิตรเป็นสหายต่อกัน การรักษาระยะห่างไว้ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า
ทุกคนจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจและรับประทานอาหารกันต่ออย่างเงียบ ๆ เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวลง ฉินอวี้โม่และสหายก็เดินออกจากภัตตาคารเอกพิภพ
ครานี้ พวกนางไม่คิดที่จะจับจ่ายซื้อของอีกต่อไปและมุ่งหน้าตรงกลับไปยังทิศทางของเรือนที่พักซึ่งตระกูลเฟิงจัดไว้ให้
ทันทีที่มาถึงอาณาเขตที่พัก ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นผู้ที่คุ้นหน้าคุ้นตาจำนวนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากฉินอิงและฉินอวี๋ที่เคยมีเรื่องกันนอกภัตตาคารเมื่อก่อนหน้านี้ ครานี้ก็มีจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ปรากฏตัวขึ้นมาอีกมากมาย คาดเดาได้ไม่ยากว่าคนเหล่านี้คือสมาชิกของตระกูลฉินที่เดินทางมาร่วมงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของอดีตผู้นำตระกูลเฟิง
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และสหายเดินเข้ามา สีหน้าของคนตระกูลฉินก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวทันที
“คิดไว้แล้วเชียวว่าพวกนางก็คงจะมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของอดีตผู้นำตระกูลเฟิง อยากเห็นนักว่าพวกนางมาจากขุมกำลังใดกันแน่ !”
ฉินอิงอย่างกล่าวเย็นชาขณะแผ่แรงกดดันที่ทรงพลังออกไปกดข่มกลุ่มของฉินอวี้โม่ไว้
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ไม่คิดหลบหนีและเดินหน้าตรงไปยังเรือนที่พักของตนด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
“คนตระกูลฉินช่างทำตัวน่ารำคาญเสียจริง การที่ยกพวกกันมาดักรอพวกเราเช่นนี้ ช่างเป็นการกระทำที่ไร้ยางอายจริง ๆ !”
ใบหน้าจิ้มลิ้มของเถาเซี่ยวเซี่ยวบูดบึ้งขึ้นมาและเห็นได้ชัดว่าไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก แม้คาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าตระกูลฉินจะไม่ล้มเลิกความตั้งใจและจะหาทางเอาคืนพวกนางจนได้ นางก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะมาดักรอหน้าอาณาเขตของเรือนที่พักเช่นนี้
ต้องยอมรับว่าคนของตระกูลฉินยโสโอหังจนถึงขั้นที่ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย !
“เหอะ เมื่อไม่มีการคุ้มครองจากขุมกำลังเอกพิภพ อยากรู้นักว่าพวกเจ้าจะแน่สักเพียงใด ! การที่ริอาจดูหมิ่นข้าและหยามเกียรติตระกูลฉิน ช่างเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองโดยแท้ !”
ฉินอิงแค่นเสียงอย่างเย็นชาและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร
ในฐานะผู้อาวุโสหกแห่งตระกูลฉิน ไม่เคยมีผู้ใดกล้าดูหมิ่นเขาอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้มาก่อน แน่นอนว่าฉินอิงไม่มีทางยอมให้เด็กเมื่อวานซืนเหล่านี้ตบใบหน้าของตนต่อหน้าธารกำนัลและลอยนวลไปได้ แม้ก่อนหน้านี้จะทำอะไรพวกนางไม่ได้เนื่องจากว่ามีขุมกำลังเอกพิภพคุ้มกะลาอยู่ ทว่าตอนนี้เขาไม่เชื่อว่าพวกตนจะจัดการกับคนรุ่นเยาว์เหล่านี้ไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไร พวกนางก็ต้องชดใช้อย่างสาสม !
“เหอะ เห็นอยู่ว่าตระกูลฉินของพวกเจ้าหาเรื่องพวกเราก่อน ยังกล้ามีหน้ามาตอแยกับพวกเราอีกหรือ ? พวกเราไม่ได้คิดที่จะดูหมิ่นตระกูลฉินและเพียงพูดความจริงเท่านั้น ตอนนี้ตระกูลฉินของพวกเจ้าตกต่ำลงเพียงใดกัน ? ไม่มีหลักการสามัญสำนึกอยู่ในสมองกันเลยรึ ?”
ฉินอวี้โม่ตอบโต้อย่างไม่ทุกข์ร้อนและไม่เกรงกลัวต่อผู้อาวุโสหกฉินอิงแม้แต่น้อย แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเหนือกว่าพวกนางหลายเท่า ทว่าที่นี่คือศูนย์รวมของขุมกำลังอันดับต้น ๆ ที่เดินทางมาเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง สำหรับการกระทำที่โจ่งแจ้งและไร้เหตุผลเช่นนี้ ขุมกำลังเหล่านั้นจะต้องไม่สบอารมณ์อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่ทราบข่าว ว่านหรูชูและคนอื่น ๆ จะต้องมาช่วยพวกนางอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น ฉินอวี้โม่จึงไม่กังวลเลยว่าตระกูลฉินจะทำอะไรพวกตนได้
“รนหาที่ตายเสียแล้ว !”
ฉินอิงปล่อยฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยพลังมากถึงเจ็ดในสิบส่วนตรงไปยังฉินอวี้โม่โดยที่ไม่คิดปรานีแม้แต่น้อย
“ตระกูลฉินยิ่งใหญ่มาจากไหนกัน ริอาจโจมตีศิษย์ของเราอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้เชียวหรือ !”
ทันใดนั้น น้ำเสียงเย็นชาก็ดังขึ้นและว่านหรูชูปรากฏตัวตรงหน้าฉินอวี้โม่เพื่อขวางฝ่ามือของอีกฝ่ายไว้อย่างง่ายดาย
ว่านเฉินซีและเฉินคุนก็ก้าวออกมาจากเรือนที่พักเช่นกันขณะเดินตรงเข้ามาหาฉินอวี้โม่อย่างไม่รีบร้อน
พวกเขาได้ยินถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นข้างหน้าภัตตาคารเอกพิภพแล้ว เมื่อทราบว่าคนตระกูลฉินมาดักรอฉินอวี้โม่อยู่ที่นี่ ทุกคนจึงรีบมุ่งหน้ามาโดยเร็ว แม้นิกายหมื่นกระบี่จะเป็นขุมกำลังระดับสอง พวกเขาก็ไม่เกรงกลัวแม้ต้องประจันหน้ากับขุมกำลังระดับหนึ่ง หากต้องการทำร้ายศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่ ต่อให้เป็นผู้นำตระกูลฉินที่มาที่นี่ด้วยตัวเอง พวกเขาก็ไม่มีทางยอมก้มหัวให้ !
“ว่านหรูชู เป็นเจ้าเองรึ ?”
แน่นอนว่าฉินอิงก็รู้จักว่านหรูชูเป็นอย่างดี เนื่องจากในอดีตทั้งสองเคยประจันหน้ากันมาก่อนแล้ว
ทันทีที่ว่านหรูชูปรากฏตัว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
ตระกูลฉินมักจะทำตัวไร้เหตุผลอยู่เสมอและสาเหตุที่ขุมกำลังในดินแดนยังไว้หน้าพวกเขาก็เป็นเพียงเพราะสถานะของตระกูลฉิน ทว่ายังมีหลายขุมกำลังที่เป็นข้อยกเว้น และหนึ่งในนั้นก็คือนิกายหมื่นกระบี่นั่นเอง
แม้นิกายหมื่นกระบี่จะเป็นเพียงขุมกำลังระดับสอง ทว่าชื่อเสียงเกียรติยศและพลังอำนาจของพวกเขาก็แกร่งกล้ากว่าขุมกำลังระดับหนึ่งหลายแห่ง
ว่านอู๋เริ่น—จ้าวนิกายหมื่นกระบี่เป็นบุรุษที่ยืนหยัดในความถูกต้องและไม่ยอมก้มหัวให้กับผู้ใด หากมีผู้ใดที่กล้ารังแกศิษย์ของนิกายหรือก่อความวุ่นวายให้กับขุมกำลัง ว่านอู๋เริ่นก็ไม่รังเกียจที่จะบุกไปถึงหน้าประตูเพื่อทวงความเป็นธรรมให้กับศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่
ในฐานะศิษย์เอกของว่านอู๋เริ่น เป็นธรรมดาที่ว่านหรูชูจะสืบทอดบุคลิกนิสัยบางอย่างมาจากเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความดื้อรั้นและการที่ยอมตายเพื่อความถูกต้อง
หากเป็นสมาชิกของขุมกำลังระดับหนึ่งแห่งอื่น ฉินอิงมั่นใจว่าจะบีบบังคับให้ฉินอวี้โม่และสหายขอโทษตระกูลฉินได้อย่างแน่นอน ทว่าเมื่อประจันหน้ากับนิกายหมื่นกระบี่ซึ่งนำโดยว่านหรูชูในครานี้ เขามิอาจทำได้ตามต้องการ…
“ฉินอิง ยังอับอายขายหน้าไม่พออีกหรือ ? ในฐานะผู้อาวุโสหกแห่งตระกูลฉินที่มีชีวิตอยู่มานานจนนับอายุไม่ได้ การที่หาเรื่องระรานคนรุ่นเยาว์เช่นนี้ เจ้าไม่กลัวว่าจะทำให้ตระกูลฉินต้องเสื่อมเสียหรืออย่างไร ?”
ในเวลานี้ เฉินคุนกล่าวแทรกขึ้นมา เขาเองก็ไม่เกรงกลัวตระกูลฉินเช่นกัน
ผู้ที่ริอาจข่มขู่จ้าวนิกายของเขาก็ถือเป็นศัตรูกับนิกายพันปีศาจของเขาเช่นกัน พวกเขามิใช่นิกายพันปีศาจที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เช่นในอดีตอีกต่อไป เวลานี้ตำแหน่งจ้าวนิกายได้ถูกแทนที่โดยฉินอวี้โม่แล้วและนิกายหมื่นกระบี่ก็เป็นพันธมิตรของพวกเขา
ในภายภาคหน้า พวกเขาจะเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากนิกายหมื่นกระบี่และผูกมิตรสร้างไมตรีที่แน่นแฟ้นต่อกัน หากผู้ใดริอาจรังแกคนของนิกายพันปีศาจและนิกายหมื่นกระบี่ คนเหล่านั้นจะต้องเผชิญกับจุดจบไม่ต่างกัน !