บทที่ 629.2 หนึ่งในหมื่น

กระบี่จงมา! Sword of Coming

“ข้าเดิมพันกับหนึ่งในหมื่นนั้น ไม่ได้เดิมพันว่าสมองของหย่างจื่อไม่ดีพอ โง่เง่าจนถึงขั้นไม่รู้หนักเบา แต่เดิมพันกับความผิดที่ติดตัวนาง เดิมพันว่านางไม่มีอิสระในตัวเอง เดิมพันว่าหวงหลวนจะราดน้ำมันลงบนกองเพลิงเล็กๆ ตั้งสมมติฐานว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่รักษาเอาไว้ไม่ได้ เผ่าปีศาจรุกรานใต้หล้าไพศาล ต้องการอะไร? แน่นอนว่าต้องการภูเขาลำน้ำหมื่นลี้ พวกปีศาจใหญ่ต่างก็มีความต้องการบนมหามรรคา แล้วจะไปเรียกร้องเอาจากใคร? อาศัยกองกำลังที่แข็งแกร่ง? อาศัยผลการสู้รบจากการโจมตีนคร? แน่นอนว่าใช่ แต่กุญแจสำคัญที่แท้จริงยังคงเป็นประโยคนั้นของภูเขาทัวเยว่ พูดให้ถูกต้องก็คือ ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบและอารมณ์ของบรรพบุรุษเผ่าปีศาจตนนั้น เพียงแต่ว่าน่าเสียดายมากที่หย่างจื่อผู้นั้นไม่ยอมงับเหยื่อ นางระมัดระวังตัวอย่างมาก นี่แสดงให้เห็นว่าปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเน้นปฏิบัติไม่เน้นทฤษฎีแค่ไหน นี่คือจุดที่ข้าและทุกท่านที่อยู่ที่นี่ต้องยืมมาใช้เป็นบทเรียน ยิ่งเป็นจุดที่จำเป็นต้องเตือนอีกฝ่าย ดังนั้นพวกเราไม่อาจคิดว่าผลลัพธ์ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แน่นอนเสมอไป”

กล่าวมาถึงตรงนี้ สายตาของเฉินผิงอันเฉียบคม พูดซ้ำประโยคสุดท้ายว่า “ดังนั้นพวกเราไม่อาจคิดว่าผลลัพธ์ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แน่นอนเสมอไป”

แล้วใบหน้าของเฉินผิงอันก็พลันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นศึกครั้งที่สี่ครั้งที่ห้าต่อจากนี้ ต่อให้มีปีศาจใหญ่รับผิดชอบเฝ้าบัญชาการณ์ การโจมตีโดยภาพรวมของใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะรสชาติเป็นอย่างไร ช้าเร็วมีลำดับ เชี่ยวชาญวิถีแห่งยุทธการ หรือยังคงก้มหน้าก้มตาพาตัวมาตายอย่างโง่เง่า อันที่จริงพวกเราสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าไว้ก่อนได้ แต่อีกฝ่ายมีกระโจมทัพถึงหกสิบแห่ง มีการคิดคำนวณที่แม่นยำกว่าพวกเราเสียอีก การคาดการณ์ที่ว่านี้มีความหมายไม่มาก แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลยกระมัง”

ตรงฝั่งของหัวกำแพงทางทิศใต้ ลู่จือไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

คำพูดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ใต้เท้าอิ่นกวานอยู่บนหัวกำแพงเมืองได้สังเกตสีหน้าท่าทางของนาง แล้วรู้สึกว่าไม่มีโอกาสจะพูดกับนาง ผลคือผ่านไปครู่เดียวก็กลายเป็นว่านางไม่อยากฟังก็ต้องฟังเขาเสียแล้ว

ความประทับใจที่มีต่อเฉินผิงอันไม่ได้เปลี่ยนมาเป็นดีขึ้น

แต่ความรู้สึกที่ลู่จือมีต่อ ‘ใต้เท้าอิ่นกวาน’ กลับดีขึ้นมาหลายส่วนอย่างที่มองไม่เห็น

ลู่จือทอดสายตามองไปยังสนามรบทางทิศใต้ จากนั้นก็หันหน้ามามอง ‘ฟ้าดินเล็ก’ ที่ไม่มีใครออกกระบี่ เมื่อนางหันหน้ากลับไปอีกครั้ง บนใบหน้าก็มีรอยยิ้มน้อยๆ

คาดว่าผู้ฝึกกระบี่เหล่านี้ก็คงจะเป็นคนรุ่นเยาว์ที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสคาดหวังมากที่สุดกระมัง

ส่วนนางลู่จือ กับเซียนกระบี่มากมายในทุกวันนี้ ก็อาจเคยเป็นหนุ่มสาวที่เป็นเช่นนี้เหมือนกัน

เฉินผิงอันมองไปยังทุกคน เก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืน ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าตื่นตะลึง พูดอย่างสงสัยว่า “มาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเจ้าก็ยังไม่มีความคิดกันอีกหรือ? ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่าง ลงมือบ่อยขนาดนี้ต้องเผาผลาญความคิดจิตใจไปไม่น้อย ไม่รู้จริงๆ ว่าหากใช้สมองมากไป ยิ่งนานจะยิ่งเชื่องช้าหรือไม่”

ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนเพียงหนึ่งเดียว หมี่อวี้คือคนที่สีหน้าสงบนิ่งเป็นธรรมชาติมากที่สุด ไม่ใช่ว่าขอบเขตสูง แค่รู้สึกว่าถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องของเขาอยู่แล้ว ต่อให้ใต้เท้าอิ่นกวานเกิดความไม่พอใจ อยากจะคิดบัญชีย้อนหลังขึ้นมาจริงๆ ก็คงต้องเป็นพวกตะพาบน้อยที่อายุไม่มาก แต่กลับใจดำ ในท้องมีแต่ความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มไปหมดอย่างพวกหลินจวินปี้ เสวียนเซินที่ต้องเป็นคนแบกรับไว้

เติ้งเหลียงเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “กองทัพใหญ่ที่จัดขบวนรบครั้งถัดไปของเผ่าปีศาจจะมีแต่ผู้ฝึกกระบี่ การเปลี่ยนแปลงขบวนรบของพวกเราครั้งนี้ สำหรับศัตรูกลุ่มนี้ แท้จริงแล้วกลายเป็นพวกเราที่ป้อนกระบี่ให้พวกเขาได้เรียนรู้ ยกตัวอย่างเช่นการออกกระบี่ของพวกเซียนกระบี่จะใช้ค่าตอบแทนในการเก็บกระบี่ของเซียนกระบี่มาแลกเปลี่ยนเป็นพลังพิฆาตที่สูงที่สุดสำหรับตลอดทั้งค่ายกลกระบี่อย่างไร การออกกระบี่ของเซียนกระบี่ชั้นสูงที่มารวมตัวกันจะพยายามสังหารผู้ฝึกกระบี่เซียนดินฝ่ายศัตรูโดยไม่มีลางบอกเหตุได้อย่างไร เรื่องพวกนี้จะต้องถูกพวกเขาเรียนรู้เอาไปอย่างแน่นอน ต่อให้อีกฝ่ายเป็นแค่ตัวอ่อนที่เรียนรู้ไปได้แค่ท่าทางภายนอกเท่านั้น แต่หากไม่มีแผนการรับมือสำหรับการถามกระบี่ระหว่างผู้ฝึกกระบี่ครั้งถัดไป ความเสียหายของพวกเราจะต้องเพิ่มขึ้นเป็นทบทวีแน่ๆ”

เฉินผิงอันใช้พัดพับชี้ไปที่หลินจวินปี้ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “จวินปี้ อยากพูดอะไรก็พูดได้ตามสบายเลย”

หลินจวินปี้เตรียมคำพูดคร่าวๆ ไว้ก่อนนานแล้ว เขายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “สถานการณ์ใหญ่เป็นเช่นนี้ พวกเราตกอยู่ในสภาวะเสียเปรียบ แน่นอนว่าค่ายกลกระบี่ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง แต่พวกเราสามารถแลกเปลี่ยนมาด้วยวิธีการอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือสร้างกับดักเป็นชุดๆ อำพรางไว้ล้อมรอบพวกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่สำคัญของพวกเราทุกคน หลังจากนี้เซียนกระบี่ทุกคนของฝ่ายเราจะมีหน้าที่อย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา นั่นคือช่วยคุ้มกันผู้ฝึกกระบี่บางคน ไม่เพียงเท่านี้ การคุ้มกันไม่ใช่แค่คุ้มกันอย่างเอาเป็นเอาตายเท่านั้น เพราะนั่นไม่มีความหมายใดๆ การกระทำทุกอย่างจะย้อนกลับคืนไปทั้งหมด เพราะสิ่งที่พวกเราต้องรับมือต่อจากนี้ ไม่ใช่ผู้ฝึกตนเซียนดินในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ของฝ่ายศัตรู แต่เป็นคนที่มีพลังการต่อสู้สูงสุดอย่างแท้จริงอย่าง เซียนกระบี่!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

เดิมพันหนึ่งในหมื่น สังหารหงหลวนและหย่างจื่อไม่สำเร็จ เปลี่ยนมาเป็นสังหารเซียนกระบี่หลายคนของฝ่ายศัตรูแทน ก็ถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว

อันที่จริงเฉินผิงอันรอคอยคำพูดประโยคนี้ของเติ้งเหลียงและหลินจวินปี้มาโดยตลอด

หากมีคนแก้ปัญหายากได้ คนอื่นๆ ก็จะคอยตรวจสอบชดเชยช่องโหว่ เพียงแค่ชั่วพริบตาก็ไล่ตามได้ทันแล้ว

กู้เจี้ยนหลงชำเลืองตามองการคุมเชิงกันระหว่างกระบี่บินกับสมบัติอาคมบนม้วนภาพวาด จากนั้นก็เริ่มเปิดสมุดเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ พยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ควรต้องรีบอ่านปิ่งเปิ่นเล่มนี้และจำให้ขึ้นใจ พยายามคัดเลือกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินของฝั่งเราให้ได้สักสิบถึงยี่สิบคน เอามาใช้เป็นเหยื่อล่อให้ได้โดยเร็วที่สุด เดิมทีคนที่รับผิดชอบเขียนปิ่งเปิ่นคือหวังซินสุ่ย คาดว่าต่อจากนี้คงจะให้หวังซินสุ่ยเขียนแค่คนเดียวไม่ได้แล้ว นอกจากนี้พวกเราก็สามารถแสดงฝีมือและทดสอบพวกเซียนกระบี่ของฝั่งตัวเองได้ พยายามทดลองหาความเป็นไปได้ที่มากขึ้น เมื่อก่อนยามที่เซียนกระบี่สังหารปีศาจยังเน้นในเรื่องบุคคลเกินไป อย่างมากสุดก็คือรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับสหายเซียนกระบี่ที่คุ้นเคยกันแค่คนสองคนเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่อาจไม่ใช่การจับคู่ที่ดีเสมอไป ปิ่งเปิ่นจะกลายเป็นสมุดที่สำคัญในสำคัญของสงครามครั้งต่อไป ภาระนี้ไม่ควรกดลงบนบ่าของหวังซินสุ่ยคนเดียว ใต้เท้าอิ่นกวานคิดว่าอย่างไร?”

เฉินผิงอันเท้าคางด้วยมือข้างเดียว ข้อศอกวางยันไว้บนโต๊ะ นั่งตัวเอียงคล้ายกำลังเขียนบางอย่างลงบนกระดาษแผ่นหนึ่ง และด้านข้างกระดาษแผ่นนั้นก็วางจี่เปิ่นที่ด้านในสอดกระดาษเอาไว้หลายแผ่น เฉินผิงอันเขียนตัวอักษรไม่หยุด เขามองกู้เจี้ยนหลงแวบหนึ่งแล้วพยักหน้ายิ้มให้ “ถือเป็นคำพูดที่เป็นธรรม ข้าจะช่วยหวังซินสุ่ยเขียนปิ่งเปิ่นให้เสร็จ และกำหนดตัวผู้ฝึกกระบี่เซียนดินยี่สิบคนที่ทำหน้าที่เป็นเหยื่อล่อเอง”

เสวียนเซินคิดตามข้อเสนอของกู้เจี้ยนหลงแล้วเอ่ยต่อไปว่า “ก่อนหน้านี้โอกาสที่พวกเราจะพิสูจน์ผลลัพธ์จากการจับคู่ออกกระบี่ของเซียนกระบี่ฝ่ายตัวเองยังมีน้อยไปหน่อย สามารถอาศัยโอกาสนี้มาลองขัดเกลาดูได้ จะทำให้พวกเซียนกระบี่ร่วมมือกันราบรื่นมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีผลการสู้รบที่จริงแท้แน่นอน ในใจของเซียนกระบี่ก็คงไม่อึดอัดนัก ไม่อย่างนั้นหากสายอิ่นกวานพวกเราใช้กระบี่บินส่งข่าวนานเข้า เมื่อความสดใหม่ผ่านไปแล้ว นิสัยของเซียนกระบี่นั้นสูงส่งเย่อหยิ่งแค่ไหน ตอนนี้พวกเราก็แค่ได้เปรียบเพราะเป็นขุนนางใหม่ที่มารับตำแหน่งเท่านั้น เมื่อครู่ผลลัพธ์จากการออกกระบี่ของพวกเซียนกระบี่ไม่เลวเลยจริงๆ แต่หากว่าหยุดลงแค่นี้ ผลงานการสู้รบที่พวกเราสะสมมาคงไม่พอให้เอามาใช้งาน พวกเซียนกระบี่มีแต่จะยิ่งคร้านจะสนใจพวกเรา ดังนั้นใต้เท้าอิ่นกวานพูดถูกแล้ว ศัตรูของพวกเราสายอิ่นกวาน นอกจากพวกสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว หากว่ากันตามเนื้อผ้า ขอบเขต ฐานะและความคิดของเซียนกระบี่ฝ่ายเราก็คือศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของพวกเราสายอิ่นกวาน! จะไม่ตรวจสอบไม่ได้! เกี่ยวกับเรื่องนี้ จะรอให้เรื่องเกิดขึ้นก่อนแล้วพวกเราคิดอะไรได้ก็ทำไปอย่างนั้น คอยแก้ไขซ่อมแซมไม่ได้ เพราะมีแต่จะทำให้พลาดโอกาส จำเป็นต้องมีคนที่รับผิดชอบศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ”

ต่งปู้เต๋อเอ่ย “เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการ”

หลินจวินปี้ลังเลเล็กน้อย

เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ต่งปู้เต๋อรับผิดชอบแค่เซียนกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หลินจวินปี้รับผิดชอบเซียนกระบี่ต่างถิ่น หากจวินปี้มีข้อสงสัย ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นทุกคนซึ่งรวมถึงเติ้งเหลียงจะต้องตอบคำถามให้ได้ นี่เกี่ยวพันกับเรื่องส่วนตัวภายในของผู้อาวุโสเซียนกระบี่ พวกเราควรจะเคารพผู้ที่อาวุโสกว่าหรือเปล่า? ความกังวลพวกนี้ พวกเจ้าสามารถวางลงไว้ก่อนชั่วคราวได้ ต่อให้เซียนกระบี่จะอับอายจนพานเป็นโกรธ ในใจเกิดเคียดแค้นเพราะเรื่องนี้ ถึงอย่างไรก็ไม่หล่นไปบนหัวพวกเจ้า อิ่นกวานเช่นข้าไม่กลัวถ้าจะต้องถูกด่าจนไม่เหลือชิ้นดี แม้แต่ผลประโยชน์ของพวกเจ้าเอง หากข้ายังคุ้มครองไว้ไม่ได้ จะยังเป็นใต้เท้าอิ่นกวานอะไรอีก”

กวอจู๋จิ่วพลันเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นหากว่าอีกฝ่ายก็คิดคำตอบได้เหมือนกับพวกเรา การล้อมสังหารผู้ฝึกกระบี่เซียนดินเป็นเรื่องเท็จ ถึงขั้นที่ว่าต่อให้เป็นเรื่องจริง แต่กลับกลายเป็นว่าวางกับดักเล่นงานเซียนกระบี่ของพวกเรากลับเป็นเรื่องจริงยิ่งกว่าล่ะ พวกเราจะทำอย่างไร? หากเปลี่ยนไปเป็นการแลกชีวิตของเซียนกระบี่ อีกฝ่ายสามารถแบกรับราคาที่ต้องจ่ายนี้ได้ แต่พวกเราแบกรับไม่ไหวหรอก ไม่ไหวจริงๆ”

กล่าวมาถึงตรงนี้ กวอจู๋จิ่วก็มองอาจารย์ของตัวเองหรือใต้เท้าอิ่นกวานในทุกวันนี้ด้วยความเป็นกังวล

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทุกครั้งที่เดินหนึ่งก้าว คิดคำนวณถึงแค่ก้าวสองก้าวต่อจากนั้น จะเอาชนะหมากล้อมได้หรือ? ข้าว่ายากมากเลยล่ะ ดังนั้นความคิดนี้ของกวอจู๋จิ่วดีมาก พวกเราจะต้องกลัวหนึ่งในหมื่นมากกว่าพวกสัตว์เดรัจฉานในใต้หล้าเปลี่ยวร้างอยู่เสมอ อีกฝ่ายสามารถแบกรับหนึ่งในหมื่นนั้นได้มาก แต่พวกเราได้แค่แบกรับหนึ่งในหมื่นที่มาเยือนอย่างกะทันหันเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นการวางแผนและหยาดเหงื่อแรงใจทั้งหมดของสายอิ่นกวานก็จะไหลหายไปกับสายน้ำอย่างเสียเปล่า”

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองผังหยวนจี้ที่ค่อนข้างเงียบขรึมพูดน้อย “ผังหยวนจี้ พวกเซียนกระบี่ใหญ่ที่อยู่ในเจี่ยเปิ่นเล่มหลัก ควรปรับตำแหน่งบนหัวกำแพงอย่างไร และใครกับใครที่ควรออกกระบี่ร่วมกัน เจ้าสามารถลองคิดดูได้ กฎเดิม พวกเจ้าคิดแผนการ ส่วนข้าจะเป็นคนเลวเอง”

ผังหยวนจี้พยักหน้า “ไม่มีปัญหา”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ตามการพัฒนาไปของสงคราม อย่างมากสุดครึ่งเดือน พวกเราทุกคนก็น่าจะเดินไปถึงสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนที่สุดแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็จะรู้สึกว่าตัวเองคือสตรีที่มีฝีมือ แต่เมื่อไร้วัตถุดิบก็ไม่อาจปรุงอาหารให้อร่อยได้ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะคุ้นเคยกับเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนและผู้ฝึกกระบี่เซียนดินทุกท่านจนคุ้นเคยไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ถึงเวลานั้นควรจะทำอย่างไร? ไปทำความเข้าใจกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิต ขอบเขตชมมหาสมุทรและขอบเขตประตูมังกรให้มากกว่าเดิมหรือ? สามารถทำความเข้าใจได้ แต่ต้องไม่ใช่จุดสำคัญอย่างแน่นอน จุดสำคัญนั้นยังคงอยู่ที่สนามรบทางทิศใต้ อยู่ที่อี่เปิ่นเล่มหลักและเล่มรอง โดยเฉพาะติงเปิ่นที่สุดท้ายแล้วจะหนาจนเหมือนไม่มีหน้าสุดท้าย”

เฉินผิงอันเพิ่มน้ำหนักเสียง “ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานอย่างพวกเราถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องผิดหวังกับใจคน นี่ก็ต้องดูที่การฝึกฝนจิตใจของแต่ละคนแล้ว ต่างกันแค่ว่าผิดหวังมากหรือน้อยก็เท่านั้น เพราะพวกเราไม่ว่าใครก็ล้วนไม่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าใครก็ล้วนผิดพลาดกันได้ และความผิดพลาดเล็กๆ ทุกอย่างของพวกเราล้วนไม่ใช่ความผิดที่สามารถเอาความผิดอย่างอื่นมากลบทับได้ หากมันเกิดขึ้น เมื่ออยู่บนสนามรบแห่งนี้ก็จะกลายเป็นหายนะที่ทำให้มีคนตายไปเป็นร้อยเป็นพันคน ความทุ่มเทอุทิศตน การวางแผนที่สิ้นเปลืองแรงกายแรงใจทุกอย่างที่ทำให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้รับชัยชนะมาครั้งแล้วครั้งเล่า ผลงานทางการสู้รบที่สะสมมาอย่างยากลำบากของพวกเราก็จะถูกคนของพวกเรากันเองเลือกที่จะลืมเลือน หากพวกเขาไม่วิ่งมาด่าก็อาจจะไม่พูดไม่จา แต่สายตากลับฉายแววตำหนิอาฆาตแค้น แต่จุดที่น่ากลัวที่สุดก็คือความเงียบงัน ความเงียบงันของคนมากมาย”

หมี่อวี้ที่รู้สึกมาโดยตลอดว่าตัวเองเป็นส่วนเกินมากที่สุดอดไม่ไหวเปิดปากพูด “ถ้าอย่างนั้นก็พิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาไม่ผิด แต่พวกเราถูกยิ่งกว่า!”

เฉินผิงอันคลี่พัด โบกลมเข้าหาตัวไม่หยุด “ใครยังกล้าพูดว่าเซียนกระบี่หมี่อวี้ของพวกเราเป็นส่วนเกินอีก? ใคร ยืนขึ้นมาได้เลย ข้าจะถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาเอง!”

นอกจากหมี่อวี้ที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนแล้ว ทุกคนล้วนมีรอยยิ้มคลุมเครือ

หมี่อวี้หน้ายิ้มแต่ใจไม่ยิ้ม “ใต้เท้าอิ่นกวาน ขอบคุณเจ้านะ”

เฉินผิงอันโบกมือ “พี่ใหญ่หมี่คือเสาเทพสยบมหาสมุทรของสายอิ่นกวานพวกเรา อย่าได้พูดจาเกรงใจกันเลย จะห่างเหินกันเสียเปล่าๆ!”

กู้เจี้ยนหลงพยักหน้า “คำพูดที่เป็นธรรม”

ในเมื่อมีกู้เจี้ยนหลงที่ไม่รู้จักกลัวตายเป็นคนนำ เพียงไม่นานก็มีคำพูดของคนอื่นๆ สายอิ่นกวานดังขึ้นมา

“เห็นด้วย”

“ถูกต้อง”

“นั่นสิ”

“ไม่มีความเห็นต่าง”

เฉินผิงอันหุบพัด วางลงข้างมือตัวเองเบาๆ “เริ่มงานหาเงินได้!”

บนหน้าพัดมีตัวอักษรแบบบรรจงเล็กเท่าหัวแมลงวัน หากไม่ตั้งใจมองก็เหมือนหน้าพัดเปล่าๆ

คนมาจากบนฟ้า บรรทุกฤดูใบไม้ผลิ กระบี่ไปยังล่างภูเขา ฤดูร้อนมิกล้ากล้ำกราย

เรือยันต์ลำหนึ่งมาจอดตรงหัวกำแพงทางทิศเหนือ คนผู้หนึ่งพลิ้วกายลงมา ชุดเขียวพกกระบี่ สีหน้าซีดเซียว ปณิธานหมัดคลายตัว คล้ายคนที่เพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก เขาเก็บเรือยันต์ใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วเดินมาหาคนของสายอิ่นกวานช้าๆ

ไม่เพียงแค่ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานเท่านั้น แม้แต่หมี่อวี้ที่เป็นขอบเขตหยกดิบก็ยังตะลึงงันทำอะไรไม่ถูก

ใต้เท้าอิ่นกวานที่อยู่ร่วมกับทุกคนมานาน กลับเป็นแค่จิตหยินที่ออกจากร่างของเฉินผิงอันเท่านั้นหรือ?

ต้องเป็นเวทอำพรางตาที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสร่ายขึ้นด้วยตัวเองอย่างแน่นอน

จิตหยินเฉินผิงอันยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน ในมือถือพัดพับ ก้าวถอยหลัง รวมร่างเป็นหนึ่งกับร่างจริงที่เดินมาข้างหน้า

เฉินผิงอันกุมพัดไว้ในมือเบาๆ เดินมาหยุดหน้าที่นั่งแล้วนั่งลงขัดสมาธิ ยิ้มกล่าวว่า “คิดถึงทุกท่านอย่างมาก”