บทที่ 630.1 ปราณสังหารมีอยู่ทุกหนแห่ง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนอย่างสมชื่อ คือลูกรักแห่งสวรรค์อันดับหนึ่ง การที่ขอบเขตยังไม่สูงมากก็เพียงแค่เพราะสาเหตุเดียว นั่นคืออายุยังน้อย

ด้วยเหตุนี้เรื่องของจิตหยินออกจากร่างเดินทางไกลจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับพวกเขา เพียงแต่ว่าจิตหยินของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามออกเดินทางกลับเป็นเรื่องที่หาได้ยาก และสามารถปล่อยจิตหยินออกมาข้างนอกได้เป็นระยะเวลานานในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ปล่อยให้มาอยู่ท่ามกลางฟ้าดินที่ปราณกระบี่เปี่ยมล้นโดยไม่เปิดเผยร่องรอยแม้แต่น้อยเช่นนี้กลับยิ่งเป็นเรื่องประหลาด

เพียงแต่ว่าเมื่อเรื่องแบบนี้มาเกิดกับตัวเฉินผิงอัน ผู้ฝึกกระบี่ที่รวมถึงหมี่อวี้จึงคร้านจะสืบเสาะให้ลึกซึ้ง

กลับเป็นลู่จือที่มองอยู่นาน แล้วยังใช้เสียงในใจสอบถามเฉินผิงอันโดยตรง “เฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้เจ้าล่อให้หย่างจื่อ หวงหลวนลงมือ แรกเริ่มก็คิดจะให้พวกเขาบรรลุผลอยู่แล้วหรือ?”

เฉินผิงอันวาดวงกลมไว้ในสมุดปิ่งเปิ่น ช่วยหวังซินสุ่ยเลือกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินฝ่ายของตัวเองออกมายี่สิบคน ขณะเดียวกันก็ใช้ริ้วคลื่นเสียงในใจตอบกลับลู่จือ “การตกปลาทั่วไป พอเบ็ดหย่อนลงน้ำ ล่อให้ปลาใหญ่มางับเหยื่อ ต่อให้สุดท้ายแล้วปลาใหญ่จะถูกกระชากขึ้นฝั่ง แต่เหยื่อล่อนั่นยังเหลืออยู่ไหม? เจ้าก็พูดเองว่า สัตว์เดรัจฉานเฒ่าที่มีอายุอยู่มาจนปูนนี้อย่างหย่างจื่อไม่มีทางเป็นคนโง่ ขัดขวางการถอยหนีของพวกมัน แน่นอนว่าต้องให้ข้าเป็นตัวล่อก่อน ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ล้อมฆ่าของเซียนกระบี่ฝ่ายเราย่อมไม่มีทางมั่นคงได้แน่”

ลู่จือขมวดคิ้ว “หากจิตหยินแตกสลาย ก็ต้องมีจุดจบที่รากฐานมหามรรคาถูกทำลาย เจ้าเป็นถึงอิ่นกวาน ไยต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จิตหยินของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามคนหนึ่ง แลกเปลี่ยนมาด้วยปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานสูงสุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างสองตน เป็นการค้าที่คุ้มค่ายิ่ง”

ลู่จือลังเลไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ที่เฉินผิงอันพูดอ้อมค้อมไปมา อันที่จริงลู่จือไม่ค่อยชอบนัก จึงพูดโพล่งไปตรงๆ ว่า “ขอเจ้าช่วยจริงใจต่อกันหน่อย”

เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง “หากสายอิ่นกวานคิดจะหยัดยืนได้อย่างมั่นคง ลำพังแค่อาศัยผลงานทางการสู้รบที่มองไม่เห็น ยังไม่พอ ปัญหาใหญ่ที่สุดของสายอิ่นกวานก็คือหลบอยู่เบื้องหลัง ปลอดภัยเกินไป ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับไม่เคยปล่อยกระบี่ หากเป็นช่วงเวลาที่สงครามราบรื่นย่อมไม่มีปัญหา แต่เมื่อกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นฝ่ายสูญเสียในสงครามมากเข้า สายอิ่นกวานก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ นี่เป็นความรู้สึกของคนปกติทั่วไป ดังนั้นข้ารีบจ่ายค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ไปเสียแต่เนิ่นๆ ก็จะสามารถทำให้สายอิ่นกวานได้รับผลกระทบด้านจิตใจน้อยลง และหากจิตใจของสายอิ่นกวานจดจ่อมุ่งมั่น ยามที่วางแผนคิดกลยุทธ จัดวางกองกำลังจัดตั้งขบวนรบ เมื่อดูจากระยะยาวแล้ว กำแพงเมืองปราณกระบี่จะได้ผลประโยชน์มหาศาล”

ลู่จือส่ายหน้า “เรื่องพวกนี้ที่เจ้าพูดน่าจะเป็นความจริง แต่ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่ได้พูดเหตุผลทั้งหมดออกมา”

เฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธ “คำพูดในใจบางอย่างควรเหลือค้างไว้ก่อน เซียนกระบี่ใหญ่ลู่ก็อย่าเพิ่งมาซักไซ้เอาตอนนี้เลย ไม่มีความหมายหรอก”

ยกตัวอย่างเช่นศิษย์พี่จั่วโย่วได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุใดเฉินผิงอันถึงไม่เจ็บแค้นเดือดดาล? เป็นเพราะว่าเขามีกลอุบายลึกลับ เชี่ยวชาญการข่มกลั้นอารมณ์จริงๆ งั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่

เพราะว่าส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันหวังให้ศิษย์พี่จั่วโย่วได้มีชีวิตอยู่รอด อีกทั้งยังถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย สรุปก็คือต้องไม่ใช่คำว่า ‘อย่างไรก็ตายอยู่ดี’ (ภาษาจีนใช้คำว่าจั่วโย่วซื่อเก้อสื่อ 左右是个死 แปลตรงตัวได้อีกอย่างคือจั่วโย่วต้องตาย)

ตอนที่อยู่บนลานประลองยุทธของจวนหนิง เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเคยเอ่ยว่าหากเป็นผลลัพธ์ที่ดี ย้อนกลับไปมองชีวิตคน ทุกเรื่องล้วนดีงาม

ก็คือหลักการนี้

ดังนั้นเกี่ยวกับการที่ตอนนั้นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสกักขังจิตหยินของตน ไม่อนุญาตให้ตนมาแจ้งข่าวแก่ศิษย์พี่ว่าจะต้องระวังการลอบโจมตีจากอิ่นกวาน

หลังจบเรื่องเฉินผิงอันไปเยี่ยมศิษย์พี่ที่กระท่อม แต่กลับไม่โกรธเคืองเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ยิ่งไม่อาฆาตแค้น

เรื่องราวทางโลกอย่าได้พูดถึงคำว่า ‘ถ้าหาก’ ไม่มีคำว่าถ้าหากจั่วโย่วถูกเซียวสวิ้นอดีตอิ่นกวานต่อยตายด้วยหมัดเดียวอะไรทั้งนั้น

เฉินผิงอันยุติบทสนทนาครั้งนี้ “ลู่จือ เจ้าแค่ทุ่มเทกายใจปกป้องสายอิ่นกวานให้เต็มที่ แค่มีกระบี่ก็พอ ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงใจกับเรื่องอื่น”

ลู่จือเอ่ยหยอกล้ออย่างที่หาได้ยาก “ใต้เท้าอิ่นกวานช่างมีมาดขุนนางใหญ่โตยิ่งนัก”

เฉินผิงอันจึงได้แต่ฝืนใจเลียนแบบลูกศิษย์ของตน เอาวิชานอกรีตของภูเขาลั่วพั่วออกมาใช้ด้วยการยิ้มบางๆ เอ่ยไปอีกประโยคว่า “วิชาอภินิหารเวทกระบี่ของเซียนกระบี่ใหญ่ลู่ไม่กี่วันก็เดินขึ้นฟ้าได้ มาดขุนนางของผู้น้อยใหญ่หรือไม่ใหญ่ ในสายตาของผู้อาวุโสแล้วก็ไม่ใช่เรื่องตลกที่เอามาแกล้มสุราเท่านั้นหรอกหรือ”

ลู่จือยิ้มรับ

เฉินผิงอันแบ่งสมาธิออกเป็นสามส่วน

คัดตัวเซียนกระบี่แต่ละคนที่อยู่ในปิ่งเปิ่น ใช้เสียงในใจสื่อสารกับหวังซินสุ่ยที่รับผิดชอบเขียนสมุดปิ่งเปิ่นอยู่เป็นระยะ

คอยจับตามองความเคลื่อนไหวบนม้วนภาพวาดที่กางอยู่บนทางเดินม้า นี่ก็คือหน้าที่ของอิ่นกวาน ใช้อำนาจหาใช่ปล่อยปละละเลย

และยังต้องคอยสังเกตผู้ฝึกกระบี่ทั้งสิบเอ็ดคนอย่างละเอียด ฟังบทสนทนา การแลกเปลี่ยนสื่อสารระหว่างพวกเขา เหมือนกับขุนนางกรมขุนนางที่คอยสำรวจตรวจสอบทั้งขุนนางฝ่ายในและขุนนางที่ดำรงตำแหน่งอยู่นอกพื้นที่

เฉินผิงอันวางพู่กันลง บีบนวดข้อมือตามความเคยชิน อยู่ดีๆ ก็นึกถึงบทที่หกของตำรา ‘เรือเจินจู’ ข้อหนึ่งในนั้นมีการกล่าวถึง ‘เยาว์วัยมากปัญญา’

สายตาที่มองออกไป ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสิบเอ็ดคน หากอยู่ในใต้หล้าไพศาล ด้วยคุณสมบัติและพรสวรรค์ของพวกเขา ไม่ว่าจะด้านการฝึกตนหรือการศึกษาหาความรู้ ก็น่าจะมีคุณสมบัติได้เลื่อนสู่บทนี้ทั้งนั้น

ซึ่งคนเหล่านี้ยังมีความสามารถพิเศษที่โดดเด่นกว่าใคร ยกตัวอย่างเช่นเสวียนเซินที่ไม่ต่างจากแผนที่มีชีวิต การสังเกตและความทรงจำที่เขามีต่อม้วนภาพทั้งสอง แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังละอายใจที่สู้ไม่ได้ สำหรับสภาพภูมิศาสตร์ในแต่ะจุดบนสนามรบ ยกตัวอย่างเช่นหลุมใดหลุมหนึ่งปรากฏขึ้นได้อย่างไร ปรากฏตั้งแต่เมื่อไหร่ มันจะส่งผลกระทบอะไรต่อการเข่นฆ่าของสองฝ่ายต่อจากนี้บ้าง ในสมองของเสวียนเซินเหมือนมีสมุดบัญชีที่รายละเอียดยิบย่อยอย่างถึงที่สุด คนอื่นๆ คิดจะทำให้ได้เหมือนเสินเซวียน หากตั้งใจจริงๆ อันที่จริงก็ทำได้ แต่อาจต้องสิ้นเปลืองแรงใจเพิ่มมากขึ้น ไม่มีทางเทียบได้กับเสวียนเซินที่ดั่งน้ำมาคลองสำเร็จ มีความสุขไปกับการทำ

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงให้เสวียนเซินเขียนบันทึกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงบนสนามรบขึ้นมาอีกหนึ่งเล่ม ถึงเวลานั้นก็จะเอาไว้เป็นตำราอ้างอิงที่ผู้ฝึกกระบี่คนอื่นๆ จำเป็นต้องอ่าน

หวังซินสุ่ยมีลางสังหรณ์สำหรับการคาดการณ์ต่อสถานการณ์สู้รบขนาดเล็กอย่างน่าตกตะลึง ดังนั้นอันที่จริงแม้ภารกิจของเฉินผิงอันจะเร่งด่วน แต่กลับไม่ตึงเครียดแม้แต่น้อย เขาจะชอบสังเกตดูหวังซินสุ่ย ปลีกตัวจากงานที่ยุ่งเหมือนคนที่แอบดื่มเหล้า ในช่วงเวลาสำคัญหลายๆ ครั้ง หากหวังซินสุ่ยรู้สึกว่าการออกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่บนม้วนภาพวาดไม่ดีพอไม่สมบูรณ์แบบพอ ถึงขั้นยังมีข้อบกพร่องมากมายเกินไป สีหน้าเขาจะเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย หรือหากสมบัติอาคมของฝ่ายศัตรูร่วมมือกันได้อย่างยอดเยี่ยม นั่นก็จะยิ่งทำให้หวงซินสุ่ยร้อนใจ เพียงแต่ว่าบนสนามรบ เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็เกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากมาย หวังซินสุ่ยจึงจะจ้องม้วนภาพเขม็งเพื่อให้จดจำรายละเอียดเหล่านี้ได้ มือก็ไม่หยุดเขียน ลายมือของเขาหวัดมาก บางครั้งอารมณ์ของหวังซินสุ่ยยังหม่นหมอง ราวกับไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาคิด สิ่งที่เขาเห็น สิ่งที่เขาบันทึกไว้ สรุปแล้วจะมีประโยชน์หรือไม่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน อยู่ห่างจากสนามรบมาไกลเกินไป หรือต่อให้อยู่ในสนามรบ แต่เขาจะสามารถออกกระบี่แทนผู้ฝึกกระบี่คนอื่นๆ ได้หรือไร? ดังนั้นหวังซินสุ่ยจึงเป็นคนที่มีสีหน้าซับซ้อนหลากหลายมากที่สุด บางทีเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วพริบตา บนใบหน้าของหวังซินสุ่ยก็มีครบทั้งดีใจ โมโห เศร้าใจและมีความสุขแล้ว บวกกับที่หวังซินสุ่ยชอบจะพึมพำอยู่กับตัวเอง จึงน่าสนใจอย่างมาก

ความเชี่ยวชาญในการวางแผนคือความสามารถประจำตัวที่คล้ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตอย่างหนึ่งของหลินจวินปี้ ขอแค่มอบข้อมูลที่เพียงพอให้แก่เขา การส่งรายงานที่เพียงพอต่อการประคับประคองสถานการณ์รบแห่งหนึ่ง หลินจวินปี้แทบไม่เคยทำพลาด

สำหรับ ‘เรื่องไม่คาดฝัน’ และการตั้งสมมติฐานถึงสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุด กวอจู๋จิ่วจะเร็วกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว ถึงขั้นที่ยังคิดไปไกลกว่าคนอื่นด้วย

ดังนั้นตำราใจคนของเซียนกระบี่ที่ต่งปู้เต๋อและหลินจวินปี้ร่วมกันเขียนเล่มนั้น พอร่างจริงของเฉินผิงอันนั่งลง นอกจากจะบอกให้เสวียนเซินเขียนบันทึกสถานการณ์จริงบนสนามรบเพียงลำพังแล้ว ก็ยังบอกให้พวกหวังซินสุ่ย กวอจู๋จิ่ว เขียน ‘อะไรก็ได้’ อีกคนละหนึ่งเล่ม ก่อนหน้านี้ชื่อตำราที่เป็นโครงร่างและจุดสำคัญหลักรองสิบสองเล่มของเฉินผิงอันใช้ตัวอักษรภาคสวรรค์ของแผนภูมิสวรรค์มาตั้งชื่อ ต่อจากนี้ก็ดูเหมือนว่าจะสามารถใช้ตัวอักษรภาคปฐพีมาตั้งชื่อให้กับตำราอีกสิบสองเล่มได้แล้ว

มีทั้งภาคสวรรค์ภาคปฐพี ผู้ฝึกกระบี่อยู่ในคำว่าคนสามัคคี นี่ก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดี

ต่งปู้เต๋อพลันเอ่ยขึ้นว่า “กลัวก็แต่ว่าค่ายกลใหญ่ของผู้ฝึกกระบี่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะใช้วิธีการที่โง่ที่สุดโดยการบุกรุดหน้าเข้ามา พูดถึงแค่การร่วมมือของพวกเขา อย่างอื่นๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่คิดต้องการผลงานการสู้รบอะไรเลย แผนการที่พวกเราวางไว้ในช่วงหลังก็จะเอามาใช้งานไม่ได้ จุดที่น่าปวดหัวที่สุดก็คือขอแค่พวกเราไม่ได้อะไรมาเลย ก็เท่ากับว่าขาดทุน หากเป็นเช่นนี้จะแก้ไขอย่างไร?”

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “แก้ไขได้ ศึกโจมตีป้องกันของกำแพงเมืองปราณกระบี่เคยชินกับการเปิดใหญ่ปิดใหญ่เปี่ยมไปด้วยมาดองอาจห้าวหาญมาจนชินแล้ว อันที่จริงนี่ไม่ค่อยดีเท่าไร เมื่อต้องไปอยู่บนสนามรบ พวกสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีแต่แผนการร้ายเต็มตัว ข้างกายล้วนเป็นสหายร่วมรบที่รบตายไป ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็อย่าได้มองพวกมันเป็นหุ่นเชิดไม้ที่ไม่ได้รับการสั่งสอน ไม่มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา หลังจากศึกสิบสามผ่านไป เผ่าปีศาจโจมตีเมืองสองครั้ง มาย้อนนึกดูก็ล้วนเป็นการฝึกขัดเกลาฝีมือที่มีการเตรียมการมาก่อน ตอนนี้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างยังมีกระโจมทัพหกสิบแห่ง นี่หมายความว่าอะไร หมายความว่าสนามรบทุกแห่งล้วนมีคนนับไม่ถ้วนจับตามองดูอยู่ วัตถุอย่างจิตใจคนนั้น มีพลังในการแพร่ความรู้สึกเสมอ”

“ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ค่ายกลกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่าง ‘ไม่ปราชัยท่ามกลางความมั่นคง’ เกิดขึ้น ก็มีเรื่องให้ทำสามอย่าง เรื่องแรก ต่อจากนี้ค่ายกลกระบี่ของพวกเราให้เรียนรู้จากฉีโซ่วที่สังหารศัตรูอย่างอำมหิตให้มาก ข้อสอง ฆ่าได้แต่ไม่ฆ่า บาดเจ็บสาหัสแต่ไม่ฆ่า ยิ่งมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายก็ยิ่งดี หลังถอนตัวออกจากสนามรบ พวกกลุ่มคนที่บาดเจ็บกลุ่มนี้ก็คือต้นกำเนิดแห่งน้ำพุความแค้น ข้อที่สาม พวกเราเลือกคนที่ทะเลาะเก่งเถียงเก่ง อีกทั้งยังชอบเรื่องการทะเลาะถกเถียง ยกตัวอย่างเช่นผู้อาวุโสสองท่านอย่างจ้าวเก้ออี๋กับเฉิงเฉวียนที่ข้าเห็นว่าเหมาะสมที่สุด นอกจากจะออกกระบี่แล้วก็ให้ด่าฟ้าด่าดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด่าผู้ฝึกกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ยกตัวอย่างเช่นด่าการโจมตีเมืองถามกระบี่ในครั้งนี้ว่าแท้จริงแล้วก็คือการ ‘นับบรรพบุรุษกลับเข้าวงศ์ตระกูล’ แล้ว คำพูดพวกนี้เซียนกระบี่ต้องด่า พวกผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยที่เสียงดังหน่อย ยิ่งขอบเขตต่ำก็ยิ่งดี ยิ่งต้องด่าให้หนัก เมื่อพวกเราทำทั้งสามเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่มีพื้นที่ให้ผู้ฝึกกระบี่ที่ชีวิตมีค่ามากที่สุดในใต้หล้าเปลี่ยวร้างคิดอยากทำอะไรเพิ่มมากขึ้นแล้ว แต่หากอีกฝ่ายยินดีจะทำให้มากขึ้น พวกเราก็มีโอกาสแล้ว”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็คลี่ยิ้ม “ก่อนหน้านี้ที่ข้าเข่นฆ่ากับหลีเจิน พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่แค้นไม่โมโหคำพูดพวกนั้นของเขา? จะเป็นไปได้อย่างไร ตอนนั้นข้าแค้นจนอยากกจะฉีกเนื้อ เลาะหนังดึงเส้นเอ็นของเจ้าลูกกระต่ายนั่นออกมาเลยล่ะ เพียงแต่เพราะเป็นแค่การคุมเชิงกันของคนสองคนเท่านั้น ข้าจึงไม่อาจวอกแวกได้ ได้แต่ข่มกลั้นอารมณ์นั้นเอาไว้ แต่การคุมเชิงของสองกองทัพต่อจากนี้ ผู้ฝึกกระบี่หลายหมื่นคุมเชิงกับผู้ฝึกกระบี่หลายหมื่น ถึงอย่างไรใจคนก็มีพื้นที่ว่าง จำไว้ว่า แม้พวกเราจะได้มองม้วนภาพทั้งสองในระยะประชิด และตอนนี้ก็เพิ่งจะทดลองทำความเข้าใจกับจิตใจของเซียนกระบี่ฝ่ายเรา แต่ในความเป็นจริงพวกเรายิ่งจำเป็นต้องเอาตัวไปอยู่ในสถานการณ์ ลองคิดถึงว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะมองสงครามครั้งนี้และสงครามทั้งหมดอย่างไร เมื่อคิดจนเข้าใจแล้ว หลายๆ เรื่อง พวกเราก็อาจล่วงรู้ทำนายได้ ไม่เพียงแต่ราบรื่น กลับยังเป็นการสร้างสถานการณ์ให้ตัวเอง กลายเป็นแผนการอย่างโจ่งแจ้งที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่อาจก้าวเดินเข้ามาได้”

หลินจวินปี้เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เขาพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง ในสนามรบ หากสายอิ่นกวานของพวกเราสามารถเปลี่ยนสนามรบมาเป็นเหมือนฟ้าดินขนาดเล็กได้ ถ้าอย่างนั้นก็สามารถชิงความได้เปรียบได้ในทุกเรื่อง”

เฉินผิงอันกล่าว “ลองจินตนาการดู หากพวกเราเข้าใจความคิดของบรรพบุรุษใหญ่ผู้นั้น รวมไปถึงความต้องการของปีศาจใหญ่บนยอดเขาที่ได้นั่งบัลลังก์ทั้งสิบสี่ตนอย่างกระจ่างแจ้งล่ะ? สถานการณ์จะเป็นอย่างไร?”

ทุกคนตะลึงพรึงเพริด

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าทำไม่ได้ คนเราย่อมมีช่วงเวลาที่พละกำลังหมดลง รู้จักยอมรับชะตากรรมก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่งเหมือนกัน”

กวอจู๋จิ่วพลันเอ่ยว่า “หากมีสมุดอี่เปิ่นเล่มหลักเล่มรองที่ไม่บาง อันที่จริงข้าสามารถสืบสาวเบาะแสไปได้ จากนั้นก็เปิดเอกสารลับเก่าของสายอิ่นกวาน ทำความเข้าใจเรื่องลับวงในของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพิ่มขึ้น ก็น่าจะลองคาดเดาความคิดของปีศาจใหญ่พวกนั้นได้ ข้าไม่มีทางทำให้เสียเรื่องแน่นอน อาจารย์ท่านไม่ต้องวางใจเต็มร้อย แค่วางใจส่วนเดียวก็พอแล้ว…”

เพียงแต่ว่าพอคำเรียกว่าอาจารย์นี้หลุดออกมาจากปาก กวอจู๋จิ่วก็รีบหุบปากฉับทันที โมโหตัวเองที่ไม่รู้จักพูด ทำให้อาจารย์ต้องขายหน้า เพราะถึงอย่างไรก็ควรจะต้องรักษากฎของสายอิ่นกวานเอาไว้บ้าง

เฉินผิงอันเอ่ย “เรียกอาจารย์ก็ไม่เป็นไร ก็เหมือนที่คนอื่นเรียกข้าว่าเฉินผิงอัน ไม่ได้เรียกข้าว่าใต้เท้าอิ่นกวานอย่างอึดอัด แบบนั้นข้ารู้สึกดียิ่งกว่า”

กู้เจี้ยนหลงรู้สึกโล่งอก คลี่ยิ้มกว้างสดใส เพียงแต่ว่าขณะที่กำลังจะพูดจาด้วยความเป็นธรรมสักประโยค

เฉินผิงอันกลับหันหน้ามายิ้มเอ่ยกับเขาก่อนว่า “พี่กู้ กล้ายอมรับว่าตัวเอง ‘อึดอัด’ เชียวหรือ? แค่นี้ก็ติดเบ็ดแล้ว ฝึกฝนจิตใจได้ไม่พอเลยนะ คำพูดด้วยความเกรงใจจากใต้เท้าอิ่นกวาน พวกเจ้าก็เลยจะไม่เกรงใจข้าแล้วจริงๆ งั้นรึ? หากอยู่ที่ใต้หล้าไพศาล นอกจากที่เจ้าจะฝึกตนอาศัยพรสวรรค์หาข้าวกินแล้ว ก็อย่าได้หวังจะไปอยู่ในวงการขุนนาง วงการนักประพันธ์หรือยุทธภพเลย”

กู้เจี้ยนหลงหน้าม่อยเหมือนบิดาเสีย ดูจากท่าทาง อีกฝ่ายคงคิดจะใช้อำนาจข่มเหงตนสินะ?

เฉินผิงอันเอ่ย “ก่อนหน้านี้หากไม่เป็นเพราะเซียนกระบี่อวี้ให้คำตอบนั้น อันที่จริงข้าคงรู้สึกเสียใจภายหลังที่เลือกหัวข้อนั้นมาพูด ทุกท่าน พวกเรานั่งอยู่ที่นี่ ทำเรื่องพวกนี้ ไม่ใช่แค่พวกเราจำเป็นต้องทำเท่านั้น ไม่ใช่แค่พวกผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นอย่างพวกเสวียนเซิน ต่อให้เป็นคนในพื้นที่อย่างต่งปู้เต๋อ ผังหยวนจี้ ก็ไม่ควรจะใช้แขนขาเล็กๆ ไปแบกรับภาระหนักอึ้ง เพราะหากไม่ทันระวัง มันจะหล่นลงกดทับจิตแห่งมรรคา เมื่อเทียบกับการออกกระบี่อย่างสาแก่ใจที่หัวกำแพงเมืองแล้ว ผังหยวนจี้ เจ้าจะเลือกแบบใด?”

ผังหยวนจี้ตอบตามสัตย์จริง “ออกกระบี่”

หวังซินสุ่ยกำลังจะเอ่ยพูด

เฉินผิงอันกลับยิ้มร่าขึ้นมาเสียก่อน “หืม? ซินสุ่ยก็มีคำพูดที่เป็นธรรมจะเอ่ยเหมือนกันหรือ?”

หวังซินสุ่ยรีบขับเรือตามกระแสลมทันที “ใต้เท้าอิ่นกวาน ข้าเห็นด้วยกับผังหยวนจี้”

หวังซินสุ่ยค่อนข้างจะพิเศษจริงๆ ถือเป็นผู้ฝึกกระบี่มีพรสวรรค์ประเภทที่ความคิดแล่นเร็วมาก แต่กลับออกกระบี่ตามไม่ทัน เพราะขอบเขตยังไม่สูงมากพอ ดังนั้นยามอยู่บนสนามรบจึงมักจะช่วยให้เสียเรื่องอยู่เสมอ พูดไม่ได้ว่าหวังซินสุ่ยทำอะไรส่งเดช เพราะในความเป็นจริงแล้วทุกความเห็นของหวังซินสุ่ยล้วนมีประโยชน์ แต่ตัวหวังซินสุ่ยเองมิอาจใช้กระบี่เอ่ยถ้อยคำแทน สหายของเขาก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นหวังซินสุ่ยถึงได้มีตำแหน่งหนึ่งในห้าเรื่องเด็ดใหม่เอี่ยมของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก่อนลงสนามรบข้าทำได้ ตีกันไปแล้วช่างข้าเถิด

โชคดีที่ไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่สำหรับการลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรูนั้น หวังซินสุ่ยมีความคิดที่ซับซ้อนมาก ไม่ใช่กลัวว่าตัวเองจะรบตาย แต่กลับรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว จิตดั้งเดิมของตัวเองจึงเจออุปสรรคไปทุกที่