บทที่ 1284 เทพเจ้าร่างยักษ์

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,284 เทพเจ้าร่างยักษ์

เหตุผลที่ฝ่ายตรงข้ามล่าถอยไปไม่ใช่เพราะว่าหอกในมือเกิดรอยบุบ

แต่เป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามรับรู้การมาถึงของนักเวทชรา

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็จำได้แล้วว่าเคยได้ยินชื่อ ‘พานตั่วชิง’ มาจากที่ใด

ในการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่รอบแรก ตัวแทนจากเผ่าเทพตะวันผู้นี้ เป็นผู้เข้าแข่งขันที่คว้าตำแหน่งอันดับหนึ่งจากสนามแข่งรังสังหารได้สำเร็จ

ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดจึงมีความแข็งแกร่งมากมายนัก

นี่แสดงให้เห็นว่าก่ายปาหวงร่วมมือกับคนจากเผ่าเทพตะวันคอยสะกดรอยตามหลินเป่ยเฉินมาได้พักใหญ่แล้ว

เผ่าเทพตะวัน?

คอยดูเถอะ

ไม่ช้าก็เร็ว เดี๋ยวตะวันได้ดับแน่ ๆ

“ความจริงต่อให้ท่านไม่มา ข้าก็สามารถจัดการมันผู้นั้นได้อยู่แล้ว”

หลินเป่ยเฉินยกมือเสยผม เสแสร้งแกล้งพูดด้วยเสียงมั่นใจ

ค่อย ๆ เก็บกระบี่ทั้งสองเล่มของตนเองด้วยความเยือกเย็น

นักเวทชราบิดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มเหยียดหยาม ก่อนกล่าวว่า “ตามข้ามาเถอะ”

“ตามไปที่ใด?”

หลินเป่ยเฉินถามพร้อมกับก้าวเดินตามไป

“ไปถึงเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”

นักเวทชราก้าวเดินเข้าไปในเขตอาคมบนพื้นดิน

เด็กหนุ่มยืนอยู่นอกเขตอาคม ขมวดคิ้วคิดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ถามออกมา “ข้าขอยืมเงินท่านสักเล็กน้อยได้หรือไม่?”

นักเวทชราเลิกคิ้วขึ้นสูง

หลินเป่ยเฉินอธิบายว่า “ฟังนะ ข้ากำลังจะไปพบเจอกับใต้เท้ากั้วของท่านทั้งที จะไม่ให้ข้าเปลี่ยนชุดเกราะใหม่สักหน่อยหรือ? ดูสภาพชุดเกราะของข้าสิ ยับเยินเช่นนี้จะมีหน้าไปพบกับใต้เท้ากั้วได้อย่างไร”

นักเวทชราเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะนำชุดเกราะสีดำทมิฬระดับสามัญชุดหนึ่งออกมาโยนใส่หน้าหลินเป่ยเฉิน

หลินเป่ยเฉินบ่นว่า “อาจใส่ไม่พอดีตัว… ขอยืมเงินท่านไปซื้อชุดเกราะใหม่ดีกว่า”

“นี่เป็นชุดเกราะวิเศษของวิหารเรา เมื่อเจ้านำไปสวมใส่แล้ว มันจะสามารถปรับขนาดตามร่างกายผู้สวมใส่ได้โดยทันที”

นักเวทชราอธิบายด้วยความอดทน

“จริงหรือ?”

หลินเป่ยเฉินสำรวจดูชุดเกราะนั้นด้วยความไม่ไว้ใจ ก่อนจะเก็บเข้าสู่แอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์

ไม่กล้าสวมใส่

หากเป็นชุดเกราะที่มีคำสาปเมื่อสวมใส่แล้วไม่สามารถถอดออกได้ นั่นจะไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่เอาหรือ?

“ข้าคิดว่า…”

หลินเป่ยเฉินยังคงอยากได้เงินอยู่ดี

แต่ทันใดนั้น ไม่รู้เลยว่าเขตอาคมขยายอาณาเขตมาอยู่ใต้เท้าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ม่านพลังสีดำพวยพุ่งขึ้นมา แล้วการเคลื่อนย้ายก็เกิดขึ้น

“เดี๋ยวก่อนสิ…”

หลินเป่ยเฉินสบถคำหยาบออกมาชุดใหญ่

แล้วตัวคนก็หายวับไปในอากาศ

“ใต้เท้ากั้วกำลังรอเจ้าอยู่ที่ด้านในวิหาร”

นักเวทชราใช้มือปัดฝุ่นออกไปจากเสื้อคลุม แม้ว่าด้วยระดับพลังของเขาจะสามารถไล่ฝุ่นได้โดยไม่ต้องใช้มือเลยก็ตาม แต่ชายชราติดเป็นนิสัยเสียแล้วเวลาเดินเข้าสู่วิหารศักดิ์สิทธิ์ของนายท่าน เขาจะต้องใช้มือปัดฝุ่นออกจากร่างกายของตนเองก่อนเสมอ

นี่แสดงให้เห็นถึงความเคารพที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

หลินเป่ยเฉินมีท่าทีผ่อนคลายขึ้นมา

เขากวาดสายตามองรอบตัว

รอบกายเป็นวิหารที่มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ไม่ว่ามองไปทางไหนก็เจอแต่รูปปั้นเทพเจ้า

วิหารส่วนมากเป็นอาคารโบราณ เมื่อผ่านการซ่อมแซมและบูรณะเรียบร้อย ก็แทบมองไม่ออกเลยว่าพวกมันเคยเป็นอาคารที่ชำรุดทรุดโทรมมาก่อน แต่รูปปั้นที่ตั้งอยู่เรียงรายละลานตานี้เป็นรูปปั้นที่สร้างขึ้นใหม่ พวกมันมีทั้งความสูงและความใหญ่โต รูปปั้นทุกตัวแกะสลักเป็นเทพเจ้าเพียงผู้เดียว เทพเจ้าผู้นั้นกำลังถือโล่อยู่ในมือข้างหนึ่งและถือกระบี่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง…

“เป็นผู้ชายสินะ”

หลินเป่ยเฉินครุ่นคิดอยู่ในใจ

ใต้เท้ากั้วเป็นบุรุษ

หลินเป่ยเฉินแทบไม่เคยเจอเทพเจ้าระดับสูงที่เป็นบุรุษมาก่อน

นับว่าหายากจริง ๆ

“ยังไม่ตามมาอีก”

น้ำเสียงที่แข็งกระด้างของนักเวทชราดังมาจากเบื้องหน้า

หลินเป่ยเฉินรีบเดินตามไปโดยเร็ว

ความจริง เขาไม่ได้อยากมาเจอใต้เท้ากั้วอะไรนี่เลย

แต่ในเมื่ออันอันกับฉินเฉียนเซวียนตกอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย นี่ก็เป็นสถานการณ์ที่หลินเป่ยเฉินปฏิเสธไม่ได้แล้ว

เด็กหนุ่มก้าวเดินเข้าไปในวิหาร

ด้านในวิหารมืดสลัว

เสาหินใหญ่สีดำทมิฬต้นหนึ่งคือสิ่งที่แบกรับน้ำหนักของวิหารทั้งหลัง

เสาหินต้นนี้มีการลงค่ายอาคมพิเศษ ไม่ว่าภายในวิหารจะมีแสงสว่างมากเพียงใด เสาหินต้นนี้ก็จะดูดกินเข้าไปเกือบหมดสิ้น

คลื่นพลังบางอย่างแผ่ปกคลุมไปทั่ววิหาร

ชวนให้ผู้คนรู้สึกกดดันเป็นอย่างยิ่ง

วิหารมีขนาดใหญ่โต

หลินเป่ยเฉินต้องเดินอึดใจใหญ่จึงจะเข้าสู่ส่วนลึกของวิหาร

เบื้องหน้าคือขั้นบันไดสีดำแดงที่ลงค่ายอาคมเอาไว้เช่นกัน

บนบันไดขั้นที่เก้าเป็นที่ตั้งของบัลลังก์ขนาดใหญ่ยักษ์บัลลังก์หนึ่ง

บัลลังก์นี้มีพนักพิงที่สูงเท่ากับตึกสามสิบชั้น

และเทพเจ้าผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นี้ก็มีร่างกายขนาดใหญ่ยักษ์เท่ากับตึกสิบห้าชั้น ดวงตาของเขากลมโตไม่ต่างจากดวงตะวันและดวงจันทร์ ลมหายใจที่พ่นออกมาจากรูจมูกนั้นแผ่ปกคลุมไปทั่ววิหารราวกับพายุหมุน

หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงพลังกดดันที่หนักหน่วงมากกว่าเดิม

นี่หรือคือใต้เท้ากั้ว?

นี่หรือคือพลังกดดันของเทพเจ้าระดับสูง?

แสงสว่างรอบกายของหลินเป่ยเฉินถูกดูดกลืนหายไป ทำให้เขาสามารถมองรอบตัวได้ไกลไม่เกินหกวา แต่ในเวลาเดียวกันนี้ แสงสว่างจากบัลลังก์ยักษ์ก็ทำให้เขารู้สึกไม่ต่างจากตนเองกำลังอยู่ท่ามกลางดวงดารานับร้อยนับพัน หลินเป่ยเฉินอดรู้สึกอยากคุกเข่าแสดงความเคารพขึ้นมาไม่ได้…

กระดูกในร่างกายของเขาลั่นกร๊อบแกร๊บ ราวกับว่าพวกมันพร้อมจะแตกหักได้ทุกเมื่อ

ความรู้สึกของหลินเป่ยเฉินยามอยู่ต่อหน้าใต้เท้ากั้วก็คือ ตนเองสามารถถูกฆ่าตายได้อย่างง่ายดายนัก

โชคดีที่สายตาของใต้เท้ากั้วเลื่อนออกไปจากตัวเขาอย่างรวดเร็ว

พลังกดดันที่ถาโถมเข้ามาสลายหายไป

“กราบเรียนใต้เท้ากั้ว เขาคือเจี๋ยนเซียวเหยาขอรับ”

นักเวทชราคุกเข่ากับพื้นด้วยความเคารพ แม้แต่หน้าผากก็ก้มลงจรดพื้นหินเช่นกัน

“เจ้าออกไปได้แล้ว”

ใต้เท้ากั้วพูด

เสียงดังกังวานปานฟ้าผ่า

นักเวทชราลุกขึ้นและรีบหมุนตัวเดินจากไป

หลินเป่ยเฉินแอบโคจรพลังอัคคีเทวะและเปิดแอปแท็กซี่ตี๋น้อยในโทรศัพท์เตรียมเอาไว้ เผื่อว่าหากเกิดเหตุการณ์คับขันขึ้นมา เขาจะได้กระโดดขึ้นแท็กซี่หนีไปได้ทันท่วงที

“ในตัวเจ้ามีความลับซ่อนอยู่มากมายเหลือเกิน”

เพียงคำพูดประโยคแรกของใต้เท้ากั้วก็ทำให้หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบแล้ว

เชี่ย

จะเป็นความลับเรื่องโทรศัพท์มือถือ เรื่องตำแหน่งเซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุน หรือว่าเรื่องวิญญาณของราชาหมาป่าศิลากันล่ะ?

“แต่ข้าไม่สนใจความลับเหล่านั้นหรอก”

โชคดีที่ประโยคต่อมาของใต้เท้ากั้วเป็นข่าวดีสำหรับหลินเป่ยเฉิน

“อู่จิวบอกว่าเจ้ารับข้อเสนอของข้า”

ใต้เท้ากั้วกล่าวต่อ

“เจ้าจะยอมเป็นนักรบเทวะของพวกเราจริง ๆ หรือ?”

หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึกและกล่าว “ข้าน้อยได้พูดเช่นนั้นจริง ๆ แต่มีปัญหาอยู่หนึ่งข้อขอรับ เพื่อให้ได้บรรจุเข้าสู่การแข่งขันในครั้งนี้ ข้าน้อยถูกบังคับให้เข้าร่วมเป็นลูกศิษย์ของเทพีกระบี่แล้ว…”

นี่คือคำปฏิเสธ

เขาเป็นลูกศิษย์ของเทพีกระบี่

หมายความว่าเขาคือคนของเทพีกระบี่

เทพีกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ใต้เท้ากั้วผู้นี้คงไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับเขาอีกแล้ว

แต่ใครจะไปคิดเลยว่า…

“ไม่เป็นไร”

ใต้เท้ากั้วกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงไม่รู้ร้อนรู้หนาว “ข้ารู้ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับเจ้าแล้ว… ในดินแดนทวยเทพแห่งนี้ มีผู้คนมากมายที่รับใช้เทพเจ้ามากกว่าสององค์ แต่หากเจ้าศรัทธาในตัวข้าจริง ๆ ไม่ช้าก็เร็ว เจ้าก็จะกลายเป็นพวกข้าโดยสมบูรณ์ และมันก็จะช่วยให้เจ้าแข็งแกร่งและมีสถานะสูงส่งมากขึ้น”

เฮอะ นี่มัน…

หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าใต้เท้ากั้วร่างยักษ์จะเห็นคุณค่าตนเองถึงเพียงนี้

ขนาดเขาเป็นสาวกของเทพเจ้าอื่นแล้ว ใต้เท้ากั้วก็ยังไม่มีปัญหาอีกหรือ?

“เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”

เทพเจ้าร่างยักษ์ถามอีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินหยุดเล็กน้อยและกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าใต้เท้าได้ส่งคนไปจับตัวอันอันมาหรือไม่…”

“อันอัน?”

ความสงสัยปรากฏในน้ำเสียงของใต้เท้ากั้ว

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ เป็นไปได้อย่างไรที่ใต้เท้ากั้วจะไม่รู้?

เขาบอกเล่าเรื่องราวที่อันอันถูกลักพาตัว รวมไปถึงเรื่องการฆาตกรรมที่คฤหาสน์บนภูเขาเซียวฝู

“อู่จิว”

ใต้เท้ากั้วระเบิดเสียงคำรามดังกังวานไปทั่ววิหาร

นักเวทชราปรากฏกายขึ้นมาทันที

“กราบเรียนใต้เท้า ผู้คนที่คฤหาสน์บนภูเขาเซียวฝูถูกคนจากเผ่าเทพตะวันฆ่าตาย เหตุการณ์นี้ข้าน้อยไปพบเข้าโดยบังเอิญ จึงสามารถช่วยเหลือเด็กหญิงทั้งสองคนนั้นออกมาได้ทันเวลา และพวกนางก็เข้ากับแผนการของข้าน้อยพอดี…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ นักเวทชราก็หยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อ “นั่นเป็นเพราะว่าข้าน้อยล่วงรู้ว่าเด็กหญิงผู้มีนามว่าอันอันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจี๋ยนเซียวเหยา ด้วยเหตุนี้ ข้าน้อยจึงใช้ชื่อของนางพาเจี๋ยนเซียวเหยามาที่นี่ขอรับ”

ฝีมือของคนจากเผ่าเทพตะวันอีกแล้ว?

หลินเป่ยเฉินรับฟังมาถึงตรงนี้ก็รีบจดจำข้อมูลใส่ในสมองทันที

เขาไม่สงสัยในคำพูดของนักเวทชรา

เพราะเหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก