บทที่ 1286 ให้ข้าเป็นบิดาของท่านเถอะ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,286 ให้ข้าเป็นบิดาของท่านเถอะ

วิหารหลักใจกลางเมืองเยี่ยเฉิง

ค่ำคืนอันยาวนาน

สภาพอากาศหนาวเย็นมากขึ้น

หลินเป่ยเฉินและนักเวทชราอู่จิวยืนอยู่หน้าวิหารที่มีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด

ชิงเล่ยถูกนักบวชหญิงนำตัวเข้าสู่ด้านในวิหารเพื่อไปพบกับหนูน้อยอันอัน

ส่วนหลินเป่ยเฉินต้องยืนรออยู่ด้านนอก

เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่านักเวทชราอู่จิวจะยืนอยู่ทำไม

“นางเป็นคนรักของเจ้าหรือ?”

หลังจากลังเลอยู่นาน ในที่สุด ชายชราก็เปิดปากถามออกมา

“ตาเฒ่าตัณหากลับ”

หลินเป่ยเฉินร้องเสียงหลงราวกับกระต่ายถูกเหยียบหาง ก่อนขู่ด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “รีบล้มเลิกความคิดชั่วช้าของท่านไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าสังหารท่านแน่”

นักเวทชราชะงักไปเล็กน้อย ดูเหมือนปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มจะไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดคิดเอาไว้ จึงต้องกล่าวตะกุกตะกักออกมา “ไม่ทราบว่าข้ามีความคิดชั่วช้าอันใด?”

“อย่ามาทำเป็นไขสือ ท่านมิใช่คิดมิดีมิร้ายอยู่หรือ?”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะ “ตอนที่ได้พบหน้านางเป็นครั้งแรก ข้าก็เห็นทันทีว่าสีหน้าของท่านเปลี่ยนไป ดวงตาของท่านเป็นประกายระยิบระยับ ฮ่า ๆๆ อย่าคิดเลยว่าอาการของท่านจะรอดพ้นสายตาของข้าไปได้ แต่ที่ข้าคิดไม่ถึงเลยก็คือท่านอายุอานามก็ขนาดนี้แล้ว ใบหน้ายับย่นยิ่งกว่าเปลือกส้มเหี่ยว ๆ ถึงกับยังมีกะจิตกะใจมาคิดเรื่องบัดสีเช่นนี้อีก ท่านได้ส่องกระจกดูตนเองบ้างหรือไม่? ต่อให้ท่านซัดไวอากร้าหมดไปสามกระปุก ท่านก็ไม่มีทางทำให้ผู้หญิงของข้าสนใจท่านได้หรอก”

“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”

นักเวทชราอู่จิวรีบอธิบาย “ข้ามิได้สนใจนางเช่นนั้น”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ

ชายชรากล่าวต่อ “แต่ข้าสนใจคนรักของเจ้าจริง ๆ”

พรึ่บ!

เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์พลันลุกโชนทั่วร่างกายของหลินเป่ยเฉิน

เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดราวกับสิงโตผู้โกรธแค้น “ท่านกล้าพูดมาอีกแม้แต่คำเดียว รับรองว่าได้เห็นดีกันแน่”

เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ของหลินเป่ยเฉินทำให้องครักษ์พิทักษ์วิหารรอบข้างตื่นตระหนกขึ้นมาทันที

วูบ! วูบ! วูบ!

ลำแสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งทะยาน

นักรบเทวะพร้อมอาวุธครบมือกำลังปรากฏตัวมาจากรอบทิศทาง

ในกลุ่มนักรบเหล่านี้ มีหลายคนอยู่ในขั้นยอดนักรบเทวะ

“ไม่มีอะไร”

นักเวทชราอู่จิวยกมือโบกสะบัด

วูบ! วูบ! วูบ!

แล้วองครักษ์พิทักษ์วิหารเหล่านั้นก็หายตัวไปราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่มาก่อน

นี่แสดงให้เห็นว่านักเวทชราอู่จิวมีสถานะสูงส่งไม่ธรรมดา

หลินเป่ยเฉินอดตกตะลึงไม่ได้

นักเวทชราอู่จิวกล่าวเสียงเรียบ “ข้าเพียงอยากรับนางเป็นลูกศิษย์”

“เฮอะ”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะ “แก้ตัวน้ำขุ่น ๆ”

ชายชรากล่าวต่อไป “เจ้าพบกับนางตั้งแต่เมื่อไหร่?”

หลินเป่ยเฉินมองหน้านักเวทชราด้วยแววตาอาฆาต

อู่จิวกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านต่อไป “ร่างกายของนางมีความพิเศษมาก”

หืม?

หัวใจของเด็กหนุ่มกระตุกวูบ

ร่างกายของชิงเล่ยมีความพิเศษมาก?

ดูเหมือนว่า…

น่าจะมีความเป็นไปได้สูงทีเดียว

เพียงไม่นานหลังจากที่เขากับชิงเล่ยได้ ‘ฝึกวิชา’ ด้วยกัน หลินเป่ยเฉินก็สามารถปลดผนึกขอบเขตพลังอัคคีเทวะได้สำเร็จ

ช้าก่อน

นี่นำมาสู่คำถามใหม่ว่า

ร่างกายของชิงเล่ยมีความพิเศษหลังจากที่ได้ฝึกวิชากับเขา

หรือว่าร่างกายของนางมีความพิเศษมาก่อนอยู่แล้ว?

ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน?

คำถามมากมายปรากฏขึ้นในสมองของหลินเป่ยเฉิน

“ร่างกายของนางเหมาะสมต่อการฝึกเวทมนตร์ในตำราของข้า”

นักเวทชราอู่จิวอธิบายด้วยความอดทน “ไม่สิ หากจะพูดให้ถูกต้อง นางเกิดมาเพื่อฝึกวิชาเวทมนตร์ของข้าต่างหาก”

“ว่าแต่ท่านเป็นนักเวทสายไหนล่ะ?”

หลินเป่ยเฉินอดถามไม่ได้

แม้ว่าเขาจะรู้สึกแปลก ๆ กับชายชราผู้นี้ แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าอู่จิวสามารถสร้างเขตอาคมประตูมิติได้น่าประทับใจยิ่ง

“เจ้ามองไม่ออกหรือ?”

นักเวทชราถามกลับมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “ตัวเจ้าใช้พลังเวทมนตร์ได้อย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าลังเลสงสัย แต่ในที่สุด เขาก็สลายเปลวไฟของตนเองลง

หลังจากนั้นไม่นาน

ชิงเล่ยผู้มีดวงตาแดงก่ำก็เดินกลับออกมาจากวิหารหลังใหญ่นั้น

หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปสอบถามว่า “ได้พบอันอันหรือไม่?”

ชิงเล่ยพยักหน้า

“อันอันเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลินเป่ยเฉินสอบถามด้วยความร้อนใจ

ชิงเล่ยตอบว่า “นอกจากเรื่องที่ต้องถูกกักบริเวณแล้ว นอกนั้นนางล้วนสบายดี”

หลินเป่ยเฉินลูบศีรษะหญิงสาวอย่างแผ่วเบา “วางใจเถอะ ข้าต้องพาตัวอันอันกลับมาให้ได้แน่นอน”

“อันอันฝากมาบอกว่านางอยู่ที่นี่ปลอดภัยดี ขอให้ท่านอย่าอาละวาดเพื่อนาง”

ชิงเล่ยเงยหน้าขึ้นมากล่าว

หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะ หัวใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย

หนูน้อยอันอันเป็นห่วงเขาเสมอ

“อันอันกับเฉียนเซวียนใช่อยู่ด้วยกันหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง

หากเด็กน้อยทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกัน อย่างน้อยก็ไม่ถือว่าโดดเดี่ยวเกินไปนัก

ชิงเล่ยพยักหน้าพลางยื่นส่งกระดุมสีน้ำเงินเม็ดหนึ่งให้แก่หลินเป่ยเฉิน “นี่คือกระดุมเสื้อของเฉียนเซวียน รบกวนคุณชายช่วยส่งมอบให้แก่บิดาตามจุดประสงค์ของนางด้วย นายท่านฉินจะได้มั่นใจว่าบุตรสาวของตนเองปลอดภัยดี”

หลินเป่ยเฉินรับกระดุมมาถือในมือ

กระดุมสีน้ำเงินเม็ดนี้มีรูปทรงเป็นรูปหัวใจ บนกระดุมแกะสลักเป็นลวดลายวิหคสีดำตัวหนึ่งกำลังคาบเมล็ดพืชอยู่ด้านหน้า

นี่คือตราประจำตระกูลฉิน

หลินเป่ยเฉินเงียบงันไม่พูดไม่จา อดนึกชื่นชมความฉลาดเฉลียวของฉินเฉียนเซวียนขึ้นมาไม่ได้

แต่เด็กน้อยไม่รู้เลยว่าฉินโซวนั้น…

ช่างชั่วร้ายจริง ๆ

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมา “ประเสริฐ ข้าจะส่งมอบให้แก่ฉินโซวเอง”

ทันใดนั้น นักเวทชราอู่จิวก้าวปราดเข้ามามองหน้าชิงเล่ย กล่าวว่า “หลังจากนี้ เจ้ายังอยากมาพบบุตรสาวอีกหรือไม่?”

ใบหน้ารูปไข่ที่สวยงามของชิงเล่ยพลันยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “ขอสอบถามผู้อาวุโส ข้าน้อยจะได้รับอนุญาตให้พบเจอกับบุตรสาวอีกใช่หรือไม่?”

“มาเป็นลูกศิษย์ของข้าสิ แล้วเจ้าจะได้พบกับบุตรสาวทุกเดือน”

นักเวทชราอู่จิวยื่นข้อเสนอ

ลูกศิษย์?

ดวงตาของชิงเล่ยเป็นประกายด้วยความสงสัยใคร่รู้

นี่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่

เพราะเหตุใดนักเวทชราอู่จิวถึงต้องการรับนางเป็นลูกศิษย์?

หญิงสาวหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินโดยไม่รู้ตัว

หลินเป่ยเฉินอดสบถคำหยาบอยู่ในใจไม่ได้ ตาเฒ่าคนนี้ถึงกับใช้อันอันมาเป็นเหยื่อล่อ

นี่คือการตัดสินใจที่ไม่ง่ายเลย

แต่เหนืออื่นใดก็คือ เขายังไม่รู้จักชายชราที่ชื่ออู่จิวผู้นี้อย่างแท้จริง

เกิดเป็นเฒ่าลามกขึ้นมาจะทำอย่างไร?

นั่นไม่เท่ากับส่งเนื้อเข้าปากเสือเลยหรือ?

“ตราบใดที่นางเป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าก็ยินดีรับเงื่อนไขของพวกเจ้าทุกอย่าง”

นักเวทชรากล่าวเสริม

เห็นได้ชัดว่าอู่จิวมีความรีบร้อนที่จะรับตัวชิงเล่ยเป็นลูกศิษย์เหลือเกิน

“งั้นให้ข้าเป็นบิดาของท่านเถอะ”

หลินเป่ยเฉินถาม “ท่านยินดีรับเงื่อนไขนี้หรือไม่?”

“เงื่อนไขนี้…” ใบหน้าที่ยับย่นราวกับเปลือกส้มเหี่ยวแห้งของนักเวทชราแสดงความตกตะลึงออกมาอย่างเด่นชัด “ในเมื่อเจ้า…”

เขากำลังจะตอบตกลงด้วยความเผลอตัว แต่เมื่อตั้งสติได้ จึงรีบชักสีหน้าด้วยความโกรธแค้น “เจ้าอยากตายหรืออย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “หากข้าเป็นบิดาของท่าน ชิงเล่ยก็จะเป็นมารดาของท่าน ไม่ว่าท่านมีความคิดสกปรกอันใดอยู่ ก็คงไม่ชั่วช้าถึงกับทำมิดีมิร้ายมารดาตนเองหรอกกระมัง…”

ในที่สุด ชิงเล่ยก็ได้เข้าใจคำพูดของเด็กหนุ่ม นางอดยกมือขึ้นมาปิดบังใบหน้าไม่ได้

ดวงตาของนักเวทชราอู่จิวเป็นประกายวาวโรจน์ขณะกัดฟันพูดเน้นย้ำทีละคำว่า “เจ้าคิดว่านี่คือเงื่อนไขที่สมเหตุสมผลดีแล้วหรือ?”

“ฮ่า ๆๆ อย่าเพิ่งมีอารมณ์สิ ข้าเพียงล้อท่านเล่นเท่านั้น”

หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งหัวเราะออกมาด้วยความเบิกบาน “ประเสริฐ ข้าไม่มีอะไรขัดข้อง แต่มีเงื่อนไขอยู่หนึ่งข้อ ชิงเล่ยต้องทำงานอยู่ที่หอการค้าต่อไป ห้ามมาเรียนวิชากับท่านในวิหารเด็ดขาด หากท่านต้องการสอนนาง จงไปสอนที่หอการค้า…”

นักเวทชราขมวดคิ้วรับคำ “ไม่มีปัญหา”

หลินเป่ยเฉินจับมือชิงเล่ยแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว พวกเราขอตัวกลับก่อน”

ระหว่างทางกลับ

ชิงเล่ยอดถามออกมาด้วยความสงสัยใจไม่ได้ “ทำไมท่านผู้อาวุโสถึงต้องการรับข้าน้อยเป็นลูกศิษย์ล่ะเจ้าคะ?”

สมัยที่ยังเป็นสาวน้อยเยาว์วัยไม่รู้จักความโหดร้ายของชีวิต ชิงเล่ยมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักผจญภัยชื่อก้องโลก นางอยากจะเป็นนักเวทผู้มีความแข็งแกร่งที่สุดในดินแดนทวยเทพ ซึ่งโอกาสเป็นไปได้คือหนึ่งในล้านเท่านั้น แต่เมื่อเติบโตขึ้นมา ชิงเล่ยก็ถูกลมฝนแห่งความเป็นจริงซัดใส่จนทำให้รู้ว่าตนเองเป็นเพียงสตรีธรรมดานางหนึ่งเท่านั้น

เพราะฉะนั้น

ชิงเล่ยจึงไม่คิดเลยว่าตนเองจะได้รับโอกาสที่ดีงามเช่นนี้อย่างไม่ทันตั้งตัว

สถานะของนักเวทชราอู่จิวย่อมไม่ต่ำต้อย เขาจะเลือกลูกศิษย์ผู้มีชาติตระกูลสูงส่งคนไหนก็ได้ แล้วทำไมจึงต้องเลือกนางด้วย

“สงสัยตาเฒ่านั่นคงอยากเอาใจข้านั่นแหละ”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ “ข้าเพิ่งไปคุยกับใต้เท้าของเขามาอย่างถูกคอ ดังนั้น เขาก็เลยอยากจะสอนวิชาเวทมนตร์ให้กับท่านเพื่อเอาใจข้า ข้าเคยเห็นสุนัขรับใช้ขี้ประจบเช่นนี้มามากมายแล้ว เขายินดีทำทุกอย่างให้ข้าพอใจทั้งหมดก็เท่านั้นเอง”

“จริงด้วยสินะเจ้าคะ”

ชิงเล่ยคล้อยตามอย่างว่าง่าย

หลินเป่ยเฉินพูดต่ออีกครั้ง “แต่ไม่ว่าเขาจะสอนอะไรท่านก็ตาม หากท่านอยากเรียนก็เรียน หากไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องเรียน เดี๋ยวข้าจะหาหนทางให้ท่านได้พบกับอันอันบ่อย ๆ เอง”

“รับทราบแล้วเจ้าค่ะ”

ชิงเล่ยพยักหน้าด้วยความเชื่อฟัง

ตราบใดที่บุตรสาวของนางยังปลอดภัยดี โลกนี้ก็ยังไม่เลวร้ายเกินไปนัก

ระหว่างทางกลับที่พัก พวกเขาต้องเดินผ่านซากปรักหักพังที่หลินเป่ยเฉินถูกลอบสังหารก่อนหน้านี้

เมื่อจ้องมองร่องรอยการต่อสู้ที่เหลืออยู่ หลินเป่ยเฉินก็ต้องหัวเราะเยาะออกมา

ฮ่า ๆๆ

เจ้าพวกมือสังหารจากเผ่าเทพตะวันยังอ่อนด้อยประสบการณ์เกินไป

หากบัดนี้พวกมันมาซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่อีก รับรองได้เลยว่าพวกมันต้องตายอย่างไม่ทันตั้งตัว

เมื่อคิดได้ดังนี้ หลินเป่ยเฉินก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชั่วร้าย

น่าเสียดายที่ชิงเล่ยไม่เข้าใจว่าเขาหัวเราะอะไร

เพราะนางเอ่ยปากถามว่าออกมาว่า “คุณชายหัวเราะอันใดหรือเจ้าคะ?”

จังหวะที่เด็กหนุ่มกำลังจะให้คำตอบ ทันใดนั้นเอง…

วูบ!

เสียงชายเสื้อปะทะลมดังขึ้น

แล้วเงาร่างที่ห่อหุ้มด้วยลำแสงทองคำหลายสิบร่างก็ทิ้งตัวลงมาจากฟากฟ้ามุ่งหน้าลงมาทางพวกเขาพอดี

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง

แม่งเอ๊ย!

เมื่อสักครู่ เขาแค่คิดเล่น ๆ เท่านั้น ทำไมถึงต้องกลายเป็นความจริงด้วยนะ!!