บทที่ 1287 ยื่นมือเข้าแทรกแซง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,287 ยื่นมือเข้าแทรกแซง

“ระวังตัว”

หลินเป่ยเฉินยืนหยัดอยู่เบื้องหน้าชิงเล่ย

สีหน้าของชิงเล่ยเต็มไปด้วยความตื่นกลัว

นางเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา ไม่เคยพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดานักรบเทวะที่มีแสงสว่างราวกับแสงอาทิตย์ห่อหุ้มร่างกาย

ไม่กี่ลมหายใจให้หลัง คนจากเผ่าเทพตะวันก็ทิ้งตัวลงมายืนขวางหน้าพวกของหลินเป่ยเฉิน

หลินเป่ยเฉินรีบนับจำนวนดูโดยเร็วและเขาก็พบว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้มีหลายสิบชีวิตอย่างที่คิด แต่พวกมันมากันเพียงเจ็ดคนเท่านั้นและนักรบเทวะทั้งเจ็ดคนนี้ก็กำลังยืนล้อมกรอบตัวประหลาดตัวหนึ่ง

ตัวประหลาดนั้นมีความสามารถพิเศษคือการอำพรางพลังปราณเทวะในร่างกาย ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะสามารถตรวจจับได้

และวิธีการเคลื่อนไหวของมันก็ยิ่งแปลกประหลาด ร่างประหลาดจะกระโดดเข้าไปในเงามืด การกระโดดแต่ละครั้งสามารถพุ่งไปได้ไกลหลายร้อยวา หากไม่ทันระวังตัว เพียงพริบตาเดียวร่างประหลาดนี้ก็จะหายลับไปจากสายตาแล้ว

ร่างประหลาดสามารถกระโดดและเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วปราดเปรียว

แต่บัดนี้ ดูเหมือนความสามารถในการเคลื่อนไหวของมันจะเชื่องช้าลง ระยะในการกระโดดก็ลดน้อยลงเช่นกัน

แต่ก็นับเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวอยู่ดี

“จะหนีไปไหน…”

เสียงคำรามดังกังวาน พลังแสงอาทิตย์พุ่งลงมาจากท้องฟ้ายามราตรี

เปรี้ยง!

ทันทีที่ร่างประหลาดนั้นกระโดดเข้าสู่เงามืดใต้เสาหินต้นใหญ่ พลังแสงอาทิตย์ก็กระแทกเข้าใส่เสาหินต้นนั้นอย่างแรง

เศษหินกระจัดกระจาย

พริบตาต่อมา ร่างประหลาดนั้นก็ไปปรากฏกายอยู่บนกำแพงหินห่างไกลออกไปหลายสิบวา

ร่างของมันยืนโงนเงน แต่ก็พยายามกัดฟันกระโดดเข้าสู่เงามืดอีกครั้ง

ลมหายใจต่อมา บริเวณที่มันยืนอยู่เมื่อสักครู่นี้ ก็ถูกลําแสงพระอาทิตย์ราตรีฟาดเปรี้ยงลงมาระเบิดกระจาย

หลินเป่ยเฉินเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้ว

นักรบเทวะจากเผ่าเทพตะวันกลุ่มนี้ไม่ได้มาตามฆ่าเขา

แต่มาตามล่าตัวประหลาดตัวนี้ต่างหาก

ชาวเผ่าเทพตะวันเป็นพวกกระหายเลือดหรืออย่างไร?

คิดจะฆ่าคนทั้งวันทั้งคืนเลยหรือ?

“ตัวประหลาดตัวนี้น่าจะมีพลังไม่ต่ำกว่านักรบเทวะขั้นเจ็ดหรือขั้นแปดแน่ ๆ”

หลินเป่ยเฉินจ้องมองตัวประหลาดนั้นกระโดดไปกระโดดมาอยู่ครู่ใหญ่ แล้วเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้

กระบี่เงินที่มีรอยแตกร้าวปรากฏขึ้นในมือของเขา

หลินเป่ยเฉินไม่ได้นำกระบี่เพลิงโลกันตร์ออกมาใช้งาน

เพียงกระบี่เงินเล่มนี้ก็พอแล้ว

หลินเป่ยเฉินยืนถือกระบี่เงิน ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

บรรดาผู้คนจากเผ่าเทพตะวันที่ยืนปักหลักอยู่รอบบริเวณสังเกตเห็นหลินเป่ยเฉินกับชิงเล่ยมาตั้งแต่แรก แต่พวกมันสัมผัสไม่ได้ถึงพลังปราณเทวะจากคนทั้งสอง และเมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินกับชิงเล่ยไม่ได้เป็นพวกเดียวกับตัวประหลาด กลุ่มนักรบเทวะจากเผ่าเทพตะวันก็ไม่ได้ให้ความสนใจพวกเขาอีก

สิ่งเดียวที่พวกมันสนใจคือการไล่ล่าตัวประหลาดตัวนั้น

แต่จังหวะที่ตัวประหลาดกำลังจะพลาดท่าเสียที หลินเป่ยเฉินพลันยื่นมือเข้าไปแทรกแซง

กระบี่เงินในมือของเขาตวัดขึ้น

แม้ว่ากระบี่เล่มนี้จะเกิดรอยแตกร้าว แต่มันก็ยังมีความคมกริบ

หัวคนหลุดออกจากบ่า

ปรากฏว่าเป็นหนึ่งในผู้ไล่ล่าจากเผ่าเทพตะวัน ยามที่ศีรษะของมันลอยกระเด็นขึ้นไปในอากาศ สีหน้ายังบอกถึงความตกตะลึงและเหลือเชื่อ

เกิดอะไรขึ้น?

ทำไมมันถึงถูกโจมตี?

ก่อนที่โลหิตจะฉีดพุ่งออกมาจากลำคอของมันปานน้ำพุ

หลังจากนั้น ร่างของนักรบผู้ถูกตัดศีรษะพลันสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่มีโอกาสได้ส่งเสียงกรีดร้องออกมาเลยสักครั้งเดียว

“เลี่ยอิง…”

“มันผู้นั้นฆ่าเลี่ยอิง”

“พวกเราระวังตัว นักฆ่ามีผู้ช่วยเหลือ”

นักรบเทวะจากเผ่าเทพตะวันที่เหลืออยู่อีกหกคนรีบร้องเตือนบอกต่อกัน

พวกมันนึกว่าหลินเป่ยเฉินเป็นผู้ช่วยเหลือของตัวประหลาด

แต่หลินเป่ยเฉินไม่ได้ให้คำอธิบายใด ๆ

เขากลับทำอีกสิ่งหนึ่ง

ซึ่งก็คือ…

ระเบิดพลังเปลวเพลิงลุกโชนทั่วร่างกาย

พลังอัคคีเทวะของเขาเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น

แล้วเด็กหนุ่มก็โจมตีออกมา

เขาตั้งกระบี่เป็นแนวขวางด้วยมือขวา ก่อนจะหมุนตัวเป็นกงจักรคมกระบี่

กระบวนท่ากระบี่ที่แปด

บัดนี้ ตัวของเด็กหนุ่มหมุนวนกลายเป็นกงจักรคมกระบี่ไฟ

เปลวไฟลุกโชนโชติช่วง

กลุ่มคนจากเผ่าเทพตะวันไม่ทันได้ตั้งตัว กระบี่ไฟก็เข้ามาปะทะถึงใบหน้าแล้ว

บัดนี้ นักรบเทวะที่เหลืออยู่หกคน มีสี่คนที่ถูกไฟไหม้ท่วมร่าง

นักรบเทวะทั้งสี่คนนั้นไม่มีเวลาได้ร้องขอความช่วยเหลือ พวกมันไม่มีเวลาได้กรีดร้องด้วยซ้ำ ตัวคนก็เผาไหม้คล้ายกับมนุษย์กระดาษ กลายเป็นเถ้าถ่านลอยสลายหายไปในสายลม

ส่วนนักรบเทวะที่เหลืออีกสองคนขณะนี้ต่างก็หวาดกลัวแทบตายแล้ว

พวกมันมาที่นี่เพื่อติดตามนักฆ่าผู้บุกเข้าไปลอบสังหารนักบวชในวิหารของเผ่าเทพตะวัน ใครเลยจะไปคิดว่าตนเองจะต้องมาพบกับยอดฝีมือที่น่ากลัวเช่นนี้?

เพียงพริบตาเดียว กลุ่มผู้ไล่ล่าก็ถูกฆ่าตายไปห้าคน

จิตวิญญาณหาญกล้าของพวกมันแตกสลายลงไปในทันที

นักรบเทวะทั้งสองคนนั้นเลิกติดตามไล่ล่านักฆ่าและหมุนตัวหมายหลบหนีไป

แต่มีหรือที่หลินเป่ยเฉินจะปล่อยให้พวกมันหนีรอด?

ก่อนหน้านี้ เขาถูกหอกแห่งตะวันพานตั่วชิงลอบโจมตีจนเกือบเสียชีวิตและคนกลุ่มนี้ก็นับเป็นบริวารของเผ่าเทพตะวันเช่นกัน

หลังจากสังหารนักรบเทวะตายไปได้ห้าคนติด ๆ กัน หลินเป่ยเฉินก็ยังคงมีจิตสังหารแรงกล้าไม่เสื่อมคลาย

“กระบวนท่ากระบี่ที่ 6”

คมกระบี่สาดประกายเจิดจ้า

ยอดฝีมือจากเผ่าเทพตะวันยกมือกุมหน้าอกบริเวณหัวใจ ก่อนที่ตัวคนจะล้มลงฟุบหน้ากับพื้นดิน มือเท้าชักกระตุก ร่างกายลุกไหม้ด้วยเปลวไฟอันร้อนแรง

ส่วนนักรบเทวะคนสุดท้ายที่เหลืออยู่มีอาการมือสั่นเท้าสั่น พยายามจะใช้วิชาเวทมนตร์ออกมา หอกทองคำในมือของมันระเบิดรัศมีทองคำเจิดจ้าและลำแสงทองคำเหล่านั้นก็กำลังพุ่งตรงเข้าไปหาหลินเป่ยเฉิน

“เฮอะ… กำแพงวายุ”

หลินเป่ยเฉินรั้งกระบี่กลับคืนมา

กำแพงวายุที่ลุกเป็นไฟปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

แล้วลำแสงทองคำเหล่านั้นก็ถูกดูดหายเข้าไปในกำแพงวายุนี้เอง

ในเวลาเดียวกันนี้…

กระบี่เงินก็สาดประกายอีกครั้ง

นักรบเทวะจากเผ่าเทพตะวันผู้เหลือรอดอยู่เป็นคนสุดท้ายพลันยืนตัวแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน

แสงสีทองเป็นประกายระยิบระยับ

แล้วหอกทองคำในมือของมันก็แตกหักออกเป็นสี่ส่วนร่วงหล่นลงกระแทกพื้นดิน

“ขะ… ข้า… เป็นคนจาก… เผ่าเทพตะวัน… เจ้ากล้าดีอย่างไร…”

พูดไม่ทันจบประโยค

บริเวณกลางหว่างคิ้วก็ปรากฏรอยแยก โลหิตไหลทะลักออกมา

หลังจากนั้น ไฟศักดิ์สิทธิ์ก็ทะลุทะลวงออกมาจากรูโลหิต เผาไหม้ตัวคนและชุดเกราะกลายเป็นเถ้าถ่านบนพื้นดิน

หลินเป่ยเฉินลดกระบี่ลงและเดินกลับไปยืนอยู่ข้างกายชิงเล่ย

นางคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเป่ยเฉินจะยื่นมือเข้าไปแทรกแซงเช่นนี้

รู้ตัวอีกที นักรบเทวะจากเผ่าเทพตะวันทั้งเจ็ด ก็ร่างกายแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ถูกสายลมพัดพาหายไปในท้องฟ้ายามราตรีเสียแล้ว…

หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองเงามืดรอบตัว

แต่ไม่พบเห็นตัวประหลาดนั้นอีก

ดูเหมือนมันจะใช้โอกาสที่เกิดความวุ่นวายโกลาหลเมื่อสักครู่นี้หลบหนีไป

หนีได้ก็หนีไปเถอะ

อย่างไรหลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้สนใจตัวประหลาดตัวนั้นอยู่แล้ว

บางทีตัวประหลาดตัวนี้อาจจะเพียงแค่ไปหาเรื่องคนของเผ่าเทพตะวันโดยไม่ได้ตั้งใจเข้าก็เป็นได้

แต่ที่หลินเป่ยเฉินยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ก็เพื่อแก้แค้นพานตั่วชิงเท่านั้น

และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น

หลินเป่ยเฉินเลือกที่จะไม่เก็บกวาดสถานที่เกิดเหตุ

เพราะเขาอยากจะให้พานตั่วชิงทราบว่าตนเองเป็นคนลงมือ

“พวกเราไปกันเถอะ”

หลินเป่ยเฉินจับมือชิงเล่ยอีกครั้งและรีบเดินออกมาจากถนนร้างอย่างรวดเร็ว

ระหว่างทางกลับที่พัก หลินเป่ยเฉินบีบมือของชิงเล่ยพร้อมกับถามว่า “ท่านไม่สงสัยหรือว่าข้าฆ่าพวกเขาทำไม?”

ชิงเล่ยส่ายหน้าตอบว่า “ข้าน้อยไม่สงสัย เพราะคุณชายย่อมมีเหตุผลในทุก ๆ การกระทำเสมอ”

หลินเป่ยเฉินยิ้มและเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้นางฟังทั้งหมด

ชิงเล่ยจึงได้รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ต้องเผชิญหน้าอันตรายขนาดไหน

นางกัดริมฝีปาก นิ่งเงียบไปตลอดทาง

ผ่านไปชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย ทั้งสองคนก็กลับมาถึงภูเขาเซียวฝู

แต่เมื่อเดินพ้นประตูรั้วเข้าไปเท่านั้น ชิงเล่ยกลับโถมตัวเข้ามาอยู่ในอ้อมอกของหลินเป่ยเฉิน

“ข้าน้อยจะเรียนวิชาเวทมนตร์กับผู้อาวุโสอู่จิวเจ้าค่ะ”

นางโอบแขนกอดรอบลำคอหลินเป่ยเฉิน ดวงตาทองแววจริงจังขึงขัง “ข้าน้อยจะต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้ ข้าน้อยต้องมีดีพอที่จะยืนอยู่เคียงข้างคุณชายได้ ข้าน้อยอยากจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับคุณชาย แล้วก็ไม่อยากให้คุณชายปกป้องตลอดเวลาอีกแล้ว”

หลินเป่ยเฉินบีบก้นอวบอัดแผ่วเบา

“เรื่องฝึกวิชาเวทมนตร์น่าเบื่อน่ะเอาไว้ทีหลังเถอะ”

เขายิ้มกริ่ม “สิ่งสำคัญคือหากท่านอยากจะแข็งแกร่งมากขึ้น ก็ต้องขยันฝึกวิชากับข้าให้บ่อยขึ้น เพราะมันคือหนทางเดียวที่จะทำให้ท่านแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วที่สุด”

ใบหน้ารูปไข่อันงดงามของหญิงสาวกลายเป็นสีแดงก่ำขึ้นมาทันที

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะและโอบกอดชิงเล่ยเดินตรงเข้าสู่ห้องนอนในคฤหาสน์

ทันใดนั้น เสียงที่เด็กหนุ่มคุ้นหูก็ดังขึ้น

‘ตรวจพบการอัปเดตระบบครั้งใหม่ ต้องการอัปเดตระบบเลยหรือไม่เจ้าคะ?’

เป็นเสียงของเสี่ยวจี้จากโทรศัพท์มือถือนั่นเอง

หลินเป่ยเฉินฉีกยิ้มกว้าง

หมายความว่ากำลังจะมีแอปพลิเคชันใหม่ให้เขาได้ดาวน์โหลดอีกแล้วสินะ?