กู่ฝอจื่อเตรียมตัวมาอย่างดี!
พวกเยวี่ยเจี้ยนหมิง จี้ซิงเหยาต่างใช้ทุกวิธีแต่ล้วนไร้ผล กลับถูกกระบวนค่ายกลใหญ่นั่นซัดสะเทือนจนเลือดลมตีกลับ บาดเจ็บจวนจะกระอักเลือด
ในลานเงียบกริบ มองเห็นลักษณ์ประหลาดไร้สิ้นสุดที่ปรากฏออกมาพวกนั้น ค่ายกลใหญ่เปล่งแสงธรรมไพศาล ในหัวใจต่างสะท้านหนาวเยือก
อารามกษิติครรภ์ เป็นแดนเร้นอริยะแห่งหนึ่งที่เลื่องชื่อลือนามของดินแดนรกร้างโบราณ ผู้สืบทอดของสำนักนี้ล้วนมองว่าการกำจัดพวกนอกรีตเป็นหน้าที่ ดำเนินการอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว ทำให้คนหวาดหวั่น
และกู่ฝอจื่อผู้นี้ยังเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ออกมาจากอารามกษิติครรภ์ เคลื่อนไหวไร้ร่องรอย เก็บงำและลึกลับ ศักยภาพของเขาก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
นี่ยังเป็นครั้งแรกของผู้แข็งแกร่งมากมายที่ได้เห็นกู่ฝอจื่อลงมือ และถูกฝีมือที่สำแดงออกมาของเขาทำเอาหวาดหวั่น!
ไม่ว่าใครเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับนี้ เกรงว่าคงหวาดกลัวกันหมด!
“เจ้านอกรีต เจ้ายังมีสิ่งใดจะกล่าวอีก”
กู่ฝอจื่อยิ้มบางๆ กลางหน้าผากประทับบัวสีดำ ผิวกายผุดผ่อง สมกับฉายานามฝอจื่อ (พระพุทธรูป)
ในใจทุกคนต่างทอดถอนใจ เทพมารหลินถึงคราวต้องจบสิ้นแล้ว!
“ลาหัวโล้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงหนีมาที่นี่”
เหนือความคาดหมายของทุกคน หลินสวินซึ่งถูกขังไว้ในค่ายกลกลับไม่มีทีท่าหวาดกลัว สีหน้าท่าทางสงบนิ่งมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง
“คงไม่พ้นขอความช่วยเหลือเป็นแน่ น่าเสียดาย เจ้าเดินหมากช้าไปก้าวหนึ่ง ไม่เห็นหรือว่าสหายของเจ้าไร้หนทางทลายค่ายกลนี้”
กู่ฝอจื่อกล่าวด้วยเสียงเฉยชา
“เจ้าพูดผิดแล้ว ข้าเพียงแค่อยากรั้งเจ้าไว้ให้ถึงที่สุด”
สีหน้าของหลินสวินราบเรียบ น้ำเสียงก็ราบเรียบเช่นกัน แม้แต่แววตายังเผยความสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง
เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าไอสังหารในใจเขายามนี้พลุงพล่านขนาดไหน บ้าคลั่งเพียงใด แทบจะคุมไว้ไม่อยู่แล้ว!
“รั้งอาตมาให้ถึงที่สุด?”
กู่ฝอจื่อพลันอึ้งงัน คล้ายได้ยินคำพูดน่าขันที่สุดในโลก ในแววตาเผยแววเวทนา
เขาถอนหายใจกล่าว “ระหว่างความเป็นตายทำให้ผู้คนหวาดหวั่น อาตมาไม่คิดเลยว่าเทพมารหลินซึ่งมีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้านี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าความตายก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน เริ่มพูดจาเหลวไหลแล้ว”
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ในลานก็อดทอดถอนใจไม่ได้
เดิมทีเทพมารหลินบาดเจ็บสาหัส สูญเสียพลังไปมาก บัดนี้ถูกไล่ตอนจนมุมย่อมยากจะทำใจยอมรับได้ การพูดจาเหลวไหลจึงพอจะเข้าใจได้
เห็นชัดว่าพวกเขาคิดว่าหลินสวินเพียงแค่ระบายความรู้สึกคับข้องก่อนตาย
“พูดจาเหลวไหล?”
มุมปากหลินสวินเผยรอยยิ้มเย็นชา กลางฝ่ามือธงเล็กสีเหลืองส้มขนาดประมาณฝ่ามือลอยออกมา
บนธงเล็กประทับอักษรมรรคคดเคี้ยวแน่นหนา นอกจากนี้ก็ไม่มีจุดเด่นพิเศษตรงไหนอีก
ทว่าเมื่อเห็นหลินสวินสงบนิ่งมั่นคงเช่นนี้ กลับทำให้กู่ฝอจื่อสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“นะโม!”
เขาเริ่มกล่าวเสียงธรรม กระตุ้นกระบวนค่ายกลใหญ่อย่างไม่ลังเล
พริบตานั้นแสงธรรมกึกก้องเต็มฟ้า ปกคลุมท้องนภาราวกับกระแสน้ำเชี่ยว เสียงสวดท่องธรรมเป็นสายๆ ประหนึ่งมุนินทร์ท่องธรรม แผ่กว้างไพศาล
ค่ายกลนี้ พลานุภาพไร้จำกัด!
พวกจี้ซิงเหยา เยวี่ยเจี้ยนหมิงเดือดดาลตาแทบถลน ในใจถูกความโกรธและความไม่ยินยอมถมทับ เคราะห์สังหารระดับนี้หลินสวินจะสลายได้อย่างไร
ไกลออกไปผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างถอยหลบ ล้วนรับรู้ถึงความรุนแรง กลัวว่าจะถูกม้วนเข้าไปด้วย
กู่ฝอจื่อในตอนนี้ชุดโบกสะบัด เงาร่างสูงชะลูด ทั่วกายอาบไล้แสงธรรมอันยิ่งใหญ่ ทั้งตัวราวกับเดินออกมาจากในหมู่อริยเทพ มีท่วงท่าสง่างามชวนให้ทั้งใต้หล้าต้องตะลึง
“หลินสวิน วันนี้อาตมาจะโปรดสัตว์เพื่อเจ้า!”
เขาพนมมือ ปากท่องธรรม
ชั่วขณะเดียวกระบวนผนึกมหาข้ามทุกข์กษิติครรภ์ก็ถูกโคจรถึงขีดสุด เพลิงธรรมสีดำสายแล้วสายเล่าร่วงพรูลงมา แปลงเป็นดอกบัวขนาดเท่าปากถ้วยหลากหลายดอก
บัวเพลิงโทสะพุทธ!
ความมั่นใจของกู่ฝอจื่อนั้น ไม่ต้องเอ่ยถึงหลินสวิน ต่อให้เป็นมกุฎราชันที่มีปราณสูงกว่าถูกกักขังไว้ ยามนี้ก็ต้องถูกเผาเป็นเถ้าธุลี ดับสูญทั้งรูปกายและจิตวิญญาณ
ทว่าในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานสุดขีดนี้ หลินสวินกลับโบกธงเหลืองส้มในมือเบาๆ
การเคลื่อนไหวเรียบง่ายแผ่วเบา แต่กลับเหมือนผีเสื้อสยายปีกโบกสะบัด พัดกระพือให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างไม่คาดฝัน
ก็เห็นบนเขาจำศีลหัวโล้น บนพื้นผิวของหินผา พืชพันธุ์ แร่ธาตุ สายน้ำ พลันมีเส้นชีพจรที่คลุมเครือหนาแน่นปรากฏขึ้นแถบแล้วแถบเล่า ส่องประกายวับวาว อวลกลิ่นอายพลังกฎเกณฑ์
ก็เห็นบนผืนฟ้าชั้นเมฆแหวกแยก มีรุ้งเทพพร่างพราวหลากสายร่วงหล่นจากฟากฟ้า ราวกับเปิดประตูใหญ่แดนเซียน
ก็เห็นพื้นดินในรัศมีพันลี้ซึ่งมีเขาจำศีลหัวโล้นเป็นศูนย์กลาง ปรากฏกระบวนค่ายกลไพศาลและวิจิตรให้เห็นกระบวนแล้วกระบวนเล่า
ก็เห็นบนใบไม้เขียวขจีแถบหนึ่ง เส้นใยที่แสนจะธรรมดาเริ่มทอประกายออกมาทีละเส้น ริมฝั่งธารน้ำปลาตัวหนึ่งกระโจนออกมา หางสะบัดกลางห้วงอากาศออกเป็นวงโคจรอัศจรรย์สายหนึ่ง…
ก็เห็น…
มองแล้วดูเหมือนช้า ทว่าอันที่จริงแต่ละภาพที่ปรากฏอย่างไม่คาดฝันนี้กลับเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว!
และในชั่วพริบตานี้
ฟ้าพลิก!
ดินคว่ำ!
พื้นที่ในพันลี้จักรวาลแปรผัน กลายเป็นโลกที่สร้างและวาดโครงออกมาด้วยกฎเกณฑ์ลายมรรคที่เร้นลับนับไม่ถ้วน
ภายในอาณาเขตนี้ ทัศนียภาพยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าพลังและกฎระเบียบกลางฟ้าดินแห่งนี้กลับต่างไปจากเดิมลิบลับ!
เพราะนี่คือกระบวนผนึกกระบวนหนึ่งที่หลินสวินกางไว้ ประหนึ่งโลกอีกใบ
“ไม่ถูกต้อง ข้าสัมผัสถึงกลิ่นอายมหามรรคไม่ได้แล้ว!”
“จักรวาลแปรผัน มหามรรคแปรเปลี่ยน นี่… เป็นวิชาอะไรกัน”
เวลานี้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างตกตะลึง ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
“เป็นกระบวนค่ายกล!”
“พวกเราถูกขังไว้ตั้งแต่แรกแล้ว…”
บุคคลชั้นยอดส่วนหนึ่งสีหน้าเคร่งขรึม สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่อาจถึงตายได้
ชั่วพริบตานั้นฟ้าดินแปรเปลี่ยน ส่วนพวกเขากลับถูกขังไว้ในกระบวนผนึกที่ถูกกางไว้นานแล้วโดยไม่ทันรู้ตัว
สามารถแน่ใจได้ว่ากระบวนผนึกนี้ต้องสะท้านใต้หล้า มิฉะนั้นคงไม่สามารถปิดหูปิดตาพวกเขาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้
“รีบดูทางนั้นเร็ว!”
มีคนร้องตกใจ
เมื่อกวาดสายตาไป ก็เห็นกระบวนผนึกมหาข้ามทุกข์กษิติครรภ์ที่ถูกกู่ฝอจื่อโคจรถึงกับอับแสงลงทันใด
เงามายาพระโพธิสัตว์อรหันต์เหล่านั้น แสงธรรมโหมคลั่งที่ยิ่งใหญ่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น เสียงสวดธรรมราวกับท่องคัมภีร์เป็นระยะๆ พวกนั้น ล้วนแต่สูญสิ้นจิตวิญญาณและพลานุภาพในยามนี้ ค่อยๆ เลือนหายไป
แม้แต่บัวเพลิงโทสะพุทธที่โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าก็หยุดชะงักกลางอากาศอย่างน่าประหลาด ทันใดนั้นก็อับเฉาแห้งเหี่ยวกลายเป็นฝุ่นธุลีสลายไป!
ชั่วขณะนั้นทั่วลานเงียบกริบ เหล่าผู้กล้าขวัญผวา
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา เร็วจนคาดไม่ถึง
และตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ หลินสวินเพียงสะบัดธงเล็กเหลืองส้มในมือเบาๆ เท่านั้น!
พวกจี้ซิงเหยา เยวี่ยเจี้ยนหมิงที่เดิมทีร้อนใจดุจไฟลนก็ล้วนอึ้งค้างอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง
ก่อนหน้านี้หลินสวินยังอยู่ในสถานการณ์ใกล้ตายอยู่เลย
แต่พริบตาต่อมาทุกสิ่งอย่างกลับแปรเปลี่ยน พลิกฟ้าคว่ำดิน!
ฝีมือระดับนี้ เรียกได้ว่าสร้างปาฏิหาริย์จากสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แล้วชัดๆ!
“ข้าเข้าใจแล้ว!”
โม่เทียนเหอตะโกนก้อง ปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เขานึกขึ้นได้ว่าไม่กี่วันก่อนหน้านี้หลินสวินตะลอนไปทั่วเขาจำศีลหัวโล้นโดยไม่สนใจเรื่องภายนอก บ้างก็เด็ดดอกไม้ บ้างก็ย้ายต้นไม้ บ้างก็ทะลวงเขาเก็บก้อนหิน ขุดหลุมขุดบ่อต่างๆ นานา…
ทำเอาเขาจำศีลหัวโล้นทั้งลูกเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ เละเทะไปหมด
ใครเล่าจะคาดคิดว่าการเปลี่ยนแปลงที่ดูเหมือนเล็กๆ น้อยๆ ไม่สะดุดตาเหล่านี้ ในเวลานี้กลับปรากฏอานุภาพปรับเปลี่ยนฟ้าดิน ช่วงชิงใต้หล้าอย่าง!
นี่ คือกระบวนค่ายกล!
ก่อนที่ขุมอำนาจแดนนรกจะมาถึงมันก็ถูกกางไว้เงียบๆ แล้ว
บางทีคงเพราะเหตุนี้ หลินสวินถึงได้กำชับพวกเขาให้นั่งชมเหตุการณ์บนเขาจำศีลหัวโล้น!
กระทั่งโม่เทียนเหอถึงขั้นคิดว่า ต่อให้ตอนนั้นหลินสวินสู้บุตรนรกไม่ได้ แต่ขอแค่ใช้ค่ายกลนี้ก็สามารถพลิกวิกฤตได้!
คำพูดของโม่เทียนเหอทำให้ผู้อื่นฉุกคิดได้ ทำให้ผู้สืบทอดเรือนกระบี่เร้นปุจฉาอย่างพวกจี้ซิงเหยาต่างตระหนักขึ้นมา ล้วนสะท้านสะเทือนอย่างอดไม่อยู่
ที่แท้ไพ่ตายแท้จริงของหลินสวินก็คือกระบวนค่ายกลใหญ่ที่เร้นลับกระบวนนี้! ก่อนหน้านี้ทุกคนล้วนคาดเดาผิดหมด!
“นะโม!”
กู่ฝอจื่อเปล่งเสียงธรรมทุ้มลึก สงสัยไม่คลาย เห็นชัดว่าถูกภาพตรงหน้าโจมตีจนรับมือไม่ทัน ทว่าเขาตอบสนองว่องไวยิ่ง โจมตีกลับในทันที
แต่ที่น่าอึดอัดคือ กระบวนผนึกมหาข้ามทุกข์กษิติครรภ์ที่เขากางไว้กลับนิ่งสนิทไม่มีการเคลื่อนไหว การตอบสนองสักนิดยังไม่มี
ในที่นั้นสีหน้าทุกคนเปลี่ยนเป็นแปลกพิกลขึ้นมา
ต่างคิดไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียว หลินสวินที่ถูกขังอยู่ในค่ายกลกลับพลิกสถานการณ์ ทำลายแผนการทั้งหมดของกู่ฝอจื่อ!
อีกทั้งฟ้าดินผืนนี้ก็คือค่ายกลใหญ่กระบวนหนึ่ง อยู่ในนี้ไม่ว่าจะเป็นกู่ฝอจื่อหรือผู้ฝึกปราณอย่างพวกเขาเหล่านี้ ล้วนถูกกังขังไว้ภายใน!
“เจ้านอกรีต! วิธีการของเจ้าช่างต่ำช้านัก!”
กู่ฝอจื่อสีหน้ามืดทะมึน ชี้หลินสวินพลางตะคอก ไม่มีท่าทีเฉยเมยพิสุทธิ์และเคร่งขรึมอย่างก่อนหน้านี้แล้ว กลับมีความหัวเสียอยู่บ้าง
“ต่ำช้า? ลาหัวโล้นอย่างเจ้าลอบโจมตีข้าถึงสองครั้งสองครา เมื่อครู่ยังคิดจะใช้ค่ายกลใหญ่สังหารข้าอีก ใครกันแน่ที่ต่ำช้า”
นัยน์ตาดำของหลินสวินดุจสายฟ้า น้ำเสียงเย็นชา ถึงแม้เสื้อผ้าของเขาจะเปื้อนเลือด บาดเจ็บสาหัส แต่ยามนี้กลับมีอานุภาพอหังการกำราบผู้คน
“ตายซะ!”
กู่ฝอจื่อกระชับวัชระในมือ แหวกอากาศโจมตีออกไปอย่างรวดเร็วน่าอัศจรรย์ เขามองออกแล้วว่าธงเล็กเหลืองส้มในมือหลินสวินคือกุญแจสำคัญของการควบคุมค่ายกลนี้
เปรี้ยง!
สายฟ้าเจิดจ้าสายหนึ่งผ่าลงมา กู่ฝอจื่อสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย โดนผ่าจนชุดจีวรที่สวมใส่ขาดวิ่น ผิวเนื้อไหม้เกรียม ร่วงลงพื้นเสียงดังตึง
“ลาหัวโล้น นี่ก็คือจุดจบของคนต่ำช้า จะต้องโดนฟ้าผ่า”
หลินสวินยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน เสียงของเขาเรียบเฉย แต่กลับทำเอาในใจทุกคนทั้งที่นั้นหนาวสะท้าน
พวกเขาก็ถูกขังไว้ในโลกแห่งนี้เช่นกัน แม้แต่กลิ่นอายมหามรรคยังถูกสกัดกั้น ไร้ทางสัมผัสถึง สามารถจินตนาการได้ว่า ขอแค่หลินสวินต้องการ ล้วนสามารถอาศัยค่ายกลนี้ดับทำลายพวกเขาทั้งหมด!
ความโชคดีเพียงหนึ่งเดียวคือ เวลานี้หลินสวินยังไม่มีใจมาสนใจพวกเขา อีกทั้งพวกเขาแทบทั้งหมดเป็นผู้ที่มาชมดูความครึกครื้น ไร้ความแค้นกับหลินสวิน
เพียงแต่เมื่อคิดว่าตกสู่ค่ายกลที่หลินสวินกางไว้โดยไม่รู้ตัว ยังคงทำให้ยอดบุคคลอย่างพวกราชันเผิงปีกทองน้อยเกิดความโมโหและกริ่งเกรงอยู่ในใจไม่สิ้น
ทว่าก็ทำได้แค่ขัดเคืองแต่ไม่กล้าปริปากออกไป!
“แค่กๆ…”
กู่ฝอจื่อกระอักเลือด อสนีบาตรนั่นแปลงมาจากกฎเกณฑ์กระบวนค่ายกล พลานุภาพน่าเกรงขามกว่าที่คาด ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ
แววตาของเขาวับวาบ จ้องหลินสวินที่อยู่ไกลออกไปเขม็ง เอ่ยว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นเทพมารหลินผู้เลื่องชื่อลือชา ฝีมือเยี่ยม! แต่เจ้าคิดว่าเช่นนี้ก็สามารถจัดการอาตมาได้หรือ”
ไม่ทันสิ้นเสียงร่างกายของเขาพลันเปล่งพริบไหวกลางฟ้า จากนั้นก็ปรากฏกายเบื้องหน้าจี้ซิงเหยาที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด
ตูม!
และในมือเขา วัชระฟาดฟันลงอย่างรุนแรง
เห็นได้ชัดว่าเขาหมายใช้จี้ซิงเหยามาข่มขู่หลินสวิน ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าลงมือ!
ไกลออกไปนัยน์ตาดำของหลินสวินเย็นเยียบ ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด นี่ก็คือกู่ฝอจื่อ ดูเหมือนเฉยชาเคร่งครัด แต่แท้จริงอำมหิตไร้ยางอาย ทำได้ทุกสิ่ง
เมื่อสัมผัสได้ถึงความไม่เข้าที ก็คิดจะเอาชีวิตผู้อื่นมาข่มขู่
ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าการเคลื่อนไหวนี้แม้จะต่ำช้าถึงที่สุด ทว่ากลับได้ผลดีที่สุดเช่นกัน
แต่น่าเสียดาย กู่ฝอจื่อประเมินเขาหลินสวินต่ำเกินไป และประเมินกระบวนผนึกที่เขากางไว้ต่ำไป!