ตอนที่ 2622

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,622 : ลูกแก้วเงาลอย

 

“ว่าอะไร!?”

 

“ต้วนหลิงเทียนนั่น…อายุมันยังไม่ถึงร้อยปีหรือ?”

 

“หากมันเป็นผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนเราได้ไม่นาน…เช่นนั้นไม่ได้หมายความว่ามันที่เกิดและเติบโตในระนาบโลกียะจนมีพลังฝีมืออย่างทุกวันนี้ได้ ยังใช้เวลาไปไม่ถึงร้อยปี!?”

 

“บ้าน่า…ผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์เช่นนี้ สมควรหาได้ยากยิ่งใช่หรือไม่!?”

 

“ยาก ยังสมควรหาได้ยากยิ่งนัก! ไม่ต้องกล่าวถึงมีพลังฝีมือเช่นมันในปัจจุบัน เอาแค่ผู้คนในระนาบโลกียะที่สามารถขึ้นสวรรค์ได้ในเวลาแค่ 100 ปี…มารดามันสักแสนคนยังมีปรากฏแค่คนเดียวเท่านั้น! เผลอๆในบรรดาแสนคนยังหาไม่ได้ด้วยซ้ำ!!”

 

“ให้ตายเถอะ ในเมืองเฉวี่ยโยวของเรากลับปรากฏตัวตนเหนือสามัญสำนึกเช่นนี้ขึ้นจริงๆ? ช่างน่าเหลือเชื่อนัก!”

 

 

ที่ค่ายของกองทัพมังกรเงินเอง ก็ได้รับทราบข่าวดังกล่าวเช่นกัน

 

ทันใดนั้นนอกจากเหล่าสือฟูฉางและไป่ฟูฉางที่อยู่ในเหตุการณ์และเห็นเรื่องราวมากับตาตัวเอง บรรดาทหารในกองทัพมังกรเงินคนอื่นๆก็เริ่มสงสัยกันแล้ว ว่าต้วนหลิงเทียนอาจจะไม่ใช่ผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มาจริงๆ! นับประสาอะไรกับคนอื่นทีไม่ใช่ทหารของกองทัพมังกรเงิน!!

 

“เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่น…มันยังอายุไม่ถึงร้อยปีงั้นเหรอ แถมมิคาดท่านเจ้าเมืองกลับสงวนสิทธิ์ไปยังจวนผู้ว่าให้มัน?!”

 

พอผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินอย่างเหมียวไหลหลงทราบเรื่องนี้มันก็ถึงกับนั่งไม่ติดเก้าอี้

 

สำหรับเรื่องที่เมืองเฉวี่ยโยวต้องส่งอัจฉริยะรุ่นเยาว์ไปยังจวนผู้ว่า 2 คนมันเองก็ทราบเรื่องนี้แต่แรก แต่ที่มันไม่รู้ก็คือเจ้าเมืองกลับสงวนสิทธิ์นี้ไว้ให้ต้วนหลิงเทียนที่หนึ่งโดยเฉพาะ!

 

“เจ้าเมือง…ทำเช่นนี้เพียงเพราะคิดเพาะสร้างบุญคุณให้ต้วนหลิงเทียน และหวังว่าจะได้รับวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังตอบแทนกลับมาจริงๆหรือ?”

 

จังหวะนี้กระทั่งเหมียวไหลหลงเองก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความลังเลขึ้นมาในใจ

 

เพราะถึงจะเพาะสร้างบุญคุณกับต้วนหลิงเทียนจริง แต่ก็ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลย!

 

อีกทั้งหากต้วนหลิงเทียนเกิดไม่คิดมอบวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังให้ หลังจากที่ได้ไปยังจวนผู้ว่าแล้วจะทำอย่างไร? และไม่ต้องสงสัยเลยว่าด้วยพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน หลังจากไปถึงที่นั่นแล้วต้องมีโอกาสได้รับสิ่งดีๆเหนือกว่าที่มีอยู่ตอนนี้แน่!

 

“ไม่ได้การแล้ว…ข้าต้องไปหาเจ้าเมืองเพื่อถามให้รู้เรื่อง!!”

 

ทันทีที่เหมียวไหลหลงตัดสินใจได้ มันก็พุ่งร่างออกจากกระโจมผู้บัญชาการเหินร่างตัดฟ้าไปยังจวนเจ้าเมืองด้วยความเร็วสูงสุด

 

และหลังจากที่ข้อสงสัยของเหมียวไหลหลงถูกกล่าวถามออกไป

 

“ไหลหลง…”

 

ภายในห้องโถงใหญ่ หลิ่วเฟิงกู่ที่นั่งบนเก้าอี้ด้านบน เหลือบมองลงมายังเหมียวไหลหลงที่นั่งอยู่ด้านล่าง ค่อยพูดว่า “ที่เจ้ากล่าวถามมา…ข้าขอบอกเจ้าตามตรง ว่าข้าไม่คิดเรื่องบีบให้ต้วนหลิงเทียนส่งมอบวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังอะไรออกมาเลย…”

 

“ในฐานะที่เจ้าเองก็อยู่กับข้ามานาน ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่มีความคิดอะไรทำนองนั้นเช่นกัน ลักษณะนิสัยของต้วนหลิงเทียนเจ้าสมควรเห็นแล้วว่าดื้อรั้นเพียงใด คนเช่นนี้ยอมตายไม่ยอมสยบ มันไม่มีวันยอมส่งวรยุทธ์ทั้งเวทย์พลังเพราะถูกบังคับแน่…”

 

“อีกทั้งในบรรดาผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มานับแสนๆคน ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องพลังฝีมือ เอาแค่สามารถขึ้นสวรรค์มาได้ก่อนอายุจะครบร้อยปีก็หาได้ยากแล้ว…อนาคตของมันย่อมไร้ขีดจำกัด! แทนที่จะเป็นศัตรูกับตัวตนเช่นนี้ ดีเสียกว่าที่เจ้าจะผูกมิตรเอาไว้…”

 

“เจ้าว่าเช่นนั้นหรือไม่?”

 

กล่าวถึงท้ายประโยค สายตาที่หลิ่วเฟิงกู่ใช้มองเหมียวไหลหลงก็แหลมคมนัก ราวกับกำลังข่มขู่ด้วยสายตาอย่างไรไม่ทราบ

 

ใจเหมียวไหลหลงดิ่งลงทันใด และถึงมันจะไม่เต็มใจแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็ไม่กล้าเปิดเผยออกมาให้เห็น “เคารพมิสู้เชื่อฟัง ข้าเห็นด้วยกับท่านเจ้าเมือง…”

 

“ท่านเจ้าเมือง หากท่านไม่มีอะไรจะบัญชาแล้ว…ข้าขอตัวลา”

 

เหมียวไหลหลงกล่าวคำอำลาจบ จากนั้นก็เหินร่างออกจวนเจ้าเมืองเข้าทันที

 

ก่อนที่จะเดินทางไปยังจวนเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว ในกระโจมเหมียวไหลหลงมีมันอยู่คนเดียว

 

แต่ขากลับมันได้แวะพาน้องสาวที่อยู่ในเหลาอาหารไหลเฟิ่งกลับมาด้วย

 

กระทั่งหลังทั้งคู่กลับมาถึงกระโจมแล้ว ยังให้ทหารที่เฝ้าระวังด้านนอกกระโจมไปตามตัวหยางกงผิงมา…

 

หยางกงผิงที่สูญเสียแขนขาไป เมื่อมาถึงก็ยืนเก้ๆกังด้วยขาข้างเดียว สีหน้าแลดูซึมเซาสิ้นสูญความฮึกเหิมถือดีอย่างในอดีตโดยสมบูรณ์ ลึกลงไปในแววตาคล้ายปิดซ่อนความเกลียดชังเอาไว้ตลอดเวลา…

 

“ท่านพี่…ตกลงได้เรื่องเช่นไรบ้าง?”

 

เหมียวไหลเฟิ่ง ไปพยุงร่างสามีค่อยหันไปมองถามพี่ชายด้วยน้ำเสียงท่าทางสงสัย

 

“ทุกอย่างผิดเพี้ยนไปหมด…ท่านเจ้าเมืองไม่มีความคิดช่วงชิงวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังของต้วนหลิงเทียนนั่นเลย! เป็นข้าคาดการณ์ผิดพลาด!!”

 

เหมียวไหลหลงกล่าวออกเสียงหนัก

 

“อะไร!?”

 

แทบจะทันทีที่เหมียวไหลหลงกล่าวจบคำ หน้าเหมียวไหลเฟิ่งกับหยางผิงก็เปลี่ยนสีไปทันที

 

ต้องทราบด้วยว่าตอนนี้พวกมันทั้ง 3 ได้แต่พึ่งพาเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวเรื่องแย่งชิงวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังของต้วนหลิงเทียน เป็นการล้างแค้นเท่านั้น…

 

เพราะจากที่เหมียวไหลหลงบอก เจ้าเมืองผู้นี้มีนิสัยรอบคอบนัก หลังจากได้วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังของต้วนหลิงเทียนแล้ว เพื่อตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมไม่เป็นการทิ้งเภทภัยอะไรไว้เบื้องหลัง ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนหลือลมหายใจอยู่ต่อแน่!

 

แต่ตอนนี้เหมียวไหลหลงกลับมาบอกพวกมันว่า…

 

เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวของพวกมัน กลับไม่มีความคิดช่วงชิงวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังของต้วนหลิงเทียนเลย?

 

“ข่าวที่กำลังลืออยู่ตอนนี้…เรื่องที่เจ้าเมืองคิดสงวนที่ไปยังจวนผู้ว่าการมณฑลจิ่วโยว 1 ใน 2 ไว้ให้ต้วนหลิงเทียน เดิมข้าคิดว่าเป็นเพียงสิ่งที่ท่านเจ้าเมืองใช้สร้างบุญคุณให้ต้วนหลิงเทียนเพื่อจะได้รับวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลัง…แต่ตอนนี้เจ้าเมืองกลับไร้ความคิดช่วงชิง เช่นนั้นมิได้หมายความว่าตั้งใจส่งต้วนหลิงเทียนไปยังจวนผู้ว่าการมณฑลจิ่วโยวจริงๆหรอกหรือท่านพี่?”

 

หยางกงผิงเอ่ยออกเสียงหนัก สองตามองจ้องเหมียวไหลหลงเขม็งเพื่อรอฟังคำตอบ

 

หากมีคนนอกอยู่หยางกงผิงจะเรียกเหมียวไหลหลงว่า ‘ท่านผู้บัญชาการ’ แต่หากอยู่กันส่วนตัวมันมักจะเรียกอีกฝ่ายว่าท่านพี่ตามภรรยา

 

“มิผิด เจ้าเมืองวางแผนส่งต้วนหลิงเทียนไปแต่แรกจริงๆ…ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดที่กระทำลงไป ข้าฟังจากวาจาของเจ้าเมืองแล้ว ไม่พ้นเป็นแค่ความพยายามในการผูกมิตรกับต้วนหลิงเทียนเท่านั้น!”

 

เหมียวไหลพยักหน้า

 

“ผูกมิตรกับต้วนหลิงเทียน!?”

 

หน้าหยางกงผิงจมลงทันใด “หรือ…เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนอายุไม่ถึงร้อยปีจะเป็นความจริง?”

 

“ถึงมันยากจะเชื่อเพียงใด…แต่มันเป็นเรื่องจริง!”

 

เหมียวไหลหลงพยักหน้าอีกรอบ “อีกทั้งหลังจากข้าได้ยินคำพูดของเจ้าเมืองแล้ว ดูเหมือนว่าท่านเจ้าเมืองจะรู้จักต้วนหลิงเทียนดีไม่น้อย ท่านบอกว่าคนอย่างต้วนหลิงเทียนเป็นพวกยอมตายไม่ยอมจำนน มันไม่มีทางมอบวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังออกมาเพราะถูกบีบคั้นแน่…เช่นนั้นท่านเจ้าเมืองจึงเลือกหนทางเพาะสร้างไมตรี หมายผูกมิตรกับต้วนหลิงเทียนตั้งแต่เนิ่นๆก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะเป็นตัวตนที่สูงส่งเกินเอื้อม!!”

 

“ท่านพี่…เช่นนั้นมิใช่พวกเราได้แต่เฝ้ามองต้วนหลิงเทียนออกจากเมืองเฉวี่ยโยวไปยังมณฑลจิ่วโยวหรือไร และหากมันไปถึงจวนผู้ว่ามณฑลจิ่วโยวขึ้นมาจริงๆ หลังจากนี้หากพวกเราคิดจัดการมันอีกไม่ยากแล้วหรือ พวกเราต้องลืมเลือนความแค้นนี้จริงๆ…”

 

เหมียวไหลเฟิ่งกล่าวออกมาด้วยสีหน้าไม่ยินยอม

 

“แน่นอนว่าพวกเรามิอาจลืมได้”

 

เหมียวไหลหลงกล่าวออกเสียงหนัก “อย่างไรก็ตามพวกเราไม่มีพลังมากพอจะหยุดต้วนหลิงเทียนมิให้ไปยังมณฑลจิ่วโยวได้…สิ่งที่พวกเราทำได้ตอนนี้ คืออยู่ในค่ายกองทัพมังกรเงินหรือในเมืองเฉวี่ยโยวอย่างสงบ!”

 

“ข้าอยู่กับท่านเจ้าเมืองมาหลายปี ข้ารู้นิสัยท่านเจ้าเมืองดี…ในเมื่อผู้อื่นหวังผูกมิตรกับต้วนหลิงเทียนเช่นนี้ ย่อมไม่มีทางปล่อยให้พวกเรากระตุกขาหลังต้วนหลิงเทียนอีกแน่นอน!”

 

“หลังจากนี้ไปพวกเจ้าต้องอดทนรออย่างสงบอย่าได้ส่อพิรุธอันใดเด็ดขาด…รอให้ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นไปยังจวนผู้ว่าสักระยะ ให้เจ้าเมืองหยุดจับตามองพวกเราเสียก่อน เช่นนั้นพวกเราค่อยไปแพร่เรื่องราววรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังของต้วนหลิงเทียนที่เมืองประจำมณฑลจิ่วโยว”

 

“ถึงตอนนั้นต่อให้ต้วนหลิงเทียนจะอยู่ในจวนผู้ว่า แต่มันก็ถูกกำหนดให้มิอาจอยู่อย่างสงบ!”

 

“มิใช่มันเป็นพวกหัวดื้อยอมตายไม่ยอมจำนนหรือไร? เช่นนั้นก็ให้มันเป็นเช่นนั้นต่อไปเถอะ! พอมันเจอยอดฝีมือที่คิดช่วงชิงขึ้นมาจริงๆ หากมันไม่ยอมให้มันก็ได้แต่ต้องตายเท่านั้น!!”

 

หลังกล่าวจบคำสองตาของเหมียวไหลหลงก็ทอประกายอำมหิตเยียบเย็น มองไปดั่งอสรพิษที่ซุ่มซ่อนในความมืดหมายรอฉกเหยื่ออย่างต้วนหลิงเทียน!

 

“ท่านพี่ฉลาดยิ่ง!”

 

พอเหมียวไหลเฟิ่งกับหยางกงผิงได้ยินแผนการของเหมียวไหลหลงสองตาทั้งคู่ถึงกับลุกวาวขึ้นมาประหนึ่งดาราสุกสกาวกลางฟ้ายามค่ำคืน

 

 

ไม่ทันรู้ตัว…ดุจชั่วพริบตา กาลเวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านพ้นไปอีก 4 เดือน…

 

ในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่อยู่ในเมืองเฉวี่ยโยว เหล่าทหารในกองทัพมังกรดำหรือกองทัพมังกรเงิน ล้วนหยุดสนใจทุกสิ่งเพียงหันไปให้ความสนใจกับเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นในจวนเจ้าเมืองทั้งสิ้น…

 

เพราะวันนี้เป็นวันที่เหล่าอัจฉริยะที่บรรลุด่านพลังจินเซียนและอายุไม่ถึงร้อยปีในเมืองเฉวี่ยโยว จะมาประชันขันแข่งกันเพื่อเฟ้นหาผู้ชนะคนสุดท้าย!

 

และผู้ชนะคนสุดท้ายที่ว่าก็จะได้รับสิทธิ์ในการออกจากเมืองเฉวี่ยโยว เพื่อเดินทางไปยังเมืองประจำมณฑลเฉวี่ยโยว!

 

“น่าเสียดายจริงๆ ที่มีแต่คนในกองทัพมังกรเงิน กองทัพมังกรดำและคนขององครักษ์งูทองเท่านั้นที่สามารถไปชมการประลองข้างสนามได้…พวกเราล้วนอดเป็นสักขีพยานในการประลองของเหล่าอัจฉริยะไม่ถึง 100 ปีที่โดดเด่นที่สุดในเมือง…”

 

หลายคนในเมืองเฉวี่ยโยวได้แต่ระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน

 

“พวกเจ้าไม่ต้องเสียดายกันไปหรอก เห็นว่าท่านเจ้าเมืองได้คำนึงถึงเรื่องนี้ไว้แต่แรก จึงสั่งให้คนใช้ลูกแก้วเงาลอยเพื่อบันทึกเรื่องราวการประลองทั้งหมดเอาไว้…เมื่อจบเรื่องราวแล้ว ลูกแก้วเงาลอยนั่น จักถูกเอามาไว้ที่จัตุรัสกลางเมืองเฉวี่ยโยวของพวกเราเป็นเวลาหนึ่งเดือน!”

 

“ลูกแก้วเงาลอย? ยอดสมบัติสวรรค์ระดับต่ำที่มีพลังดุจเดียวกับยันต์เต๋าม่านกระจกสะท้อนลักษณ์ แต่มิได้ใช้ได้ครั้งเดียวเหมือนยันต์ แต่ใช้ฉายซ้ำเท่าไหร่ก็ได้ตามใจน่ะหรือ!?”

 

“ใช่แล้ว”

 

 

พอทราบว่าเจ้าเมืองคิดใช้ลูกแก้วเงาลอย ยอดสมบัติสวรรค์ระดับต่ำบันทึกเรื่องราวการประลองอันน่าตื่นเต้นในจวนเจ้าเมืองวันนี้ให้ชาวเมืองได้รับชมในภายหลังเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ชาวเมืองเฉวี่ยโยวก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยอย่างคึกคัก

 

ขณะเดียวกันผู้คนมากมายก็เริ่มมารวมตัวกันในจวนเจ้าเมือง

 

ในบรรดาผู้คนที่ว่านอกจากคนที่อยู่ในนจวนเจ้าเมืองแต่แรก ย่อมประกอบไปด้วยคนของกองทัพมังกรดำ กองทัพมังกรเงิน และคนขององครักษ์งูทอง…

 

“กองทัพมังกรดำของพวกเรามี 3 คนที่มีคุณสมบัติขึ้นประลองครบถ้วน…แม่ทัพจ้าวต่งชิ่ง แม่ทัพฉินอวี่ และนายกองเฉวี่ยล่าง”

 

ไป่ฟูฉางนาม ถงเจิ้น ซึ่งเป็นทหารใต้บังคับบัญชาของต้วนหลิงเทียนก่อนหน้าก็มาชมดูเรื่องราวในวันนี้เช่นกัน หลังมันมองไปยังเวทีประลองกว้างใหญ่เบื้องหน้า มันก็หันไปคุยกับนายกองของกองทัพมังกรดำคนอื่นๆข้างกาย “เฮ่ พวกเจ้าดูนั่นสิ…พวกทัพมังกรเงินมันมีกันแค่ 2 คนเอง”

 

วันนี้คนของกองทัพมังกรเงินที่มีคุณสมบัติขึ้นประลองมีแค่ 2 คนเท่านั้น

 

ทั้งหมดเป็นเพราะในกองทัพมังกรเงินมีตัวตนขอบเขตจินเซียนที่มีอายุไม่ถึงร้อยปีแค่ 2 คนเท่านั้น

 

“โห คนจากองครักษ์งูทองมีถึง 5 เชียวหรือ…ร้ายกาจ!”

 

ถึงแม้ผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มาจากระนาบโลกียะจะยาสกบรรลุขอบเขตจินเซียนได้ในเวลาไม่ถึงร้อยปี แต่ชนพื้นเมืองของสวรรค์ที่มีคุณสมบัติครบก็มีไม่น้อย…

 

อนิจจาด้วยความที่เมืองเฉวี่ยโยวมันเป็นแค่เมืองเล็กๆ จึงไม่ได้มีคนมากมายอะไร…

 

“เริ่มเลยเถอะ”

 

ไม่นานหลังจากที่ทุกคนมากันพร้อมหน้าพร้อมตาและคารวะทักทายเจ้าเมืองเรียบร้อยแล้ว เสียงของอย่างหลิ่วเฟิงกู่ก็ดังขึ้น

 

หลังจากนั้น ทั้ง 9 คนที่อยู่บนเวทีประลองก็เริ่มต่อสู้กันทันที

 

การประลองเป็นการต่อสู้แบบตะลุมบอน! ผู้ที่สามารถยืนหยัดได้บนเวทีเป็นคนสุดท้ายในวันนี้คือผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ไปยังจวนผู้ว่าการประจำมณฑลจิ่วโยวพร้อมกันกับทูตพิเศษที่ทางจวนส่งมารับตัวโดยเฉพาะ..

 

หลังผ่านไปแค่ 2 ก้านธูปผลลัพธ์ก็ออกมาแล้ว…

 

“อะไรกัน…เจ้านั่นมันกลับยืนหยัดอยู่ได้เป็นคนสุดท้ายจริงๆ!?”

 

“ไฉน…เป็นมันไปได้!?”

 

และผลลัพธ์ที่ออกมาก็ช่างค้านสายตา พาลให้ผู้ชมทั้งหมดประหลาดใจนัก!