ตอนที่ 2623

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,623 : เพลิงอมตะ

 

บนสังเวียนอันกว้างใหญ่ของจวนเจ้าเมือง ปรากฏร่างชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลายืนหยัดอยู่อย่างมั่นคง สภาวะร่างปานหอกแกร่งค้ำฟ้าเล่มหนึ่ง ด้วยชุดเกราะสีดำบนตัวทำให้คนแลดูห้าวหาญขึ้นหลายส่วน อีกทั้งท่วงท่าลักษณะรวมไปถึงกลิ่นอายความรู้สึกที่แผ่ออกมาทั่วกายอย่างเป็นธรรมชาติ ช่างหนุนเสริมให้มันแลดูน่าเกรงขามราวเทพสงครามก็ไม่ปาน

 

มองไปจากชุดเกราะที่มันสวมใส่ ก็บอกได้ทันทีว่าเป็นคนของกองทัพมังกรดำ

 

“ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ…”

 

มองไปยังชายหนุ่มในชุดเกราะสีดำแลดูเข้มแข็งที่ยืนหยัดอยู่บนสังเวียนใหญ่ เฉินเฉวียนป้าได้แต่ส่ายหัวไปมาพลางถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่ามันเองก็ไม่เคยคาดหวังเอาไว้…

 

ว่าจะเป็นคนผู้นี้…ที่ยืนหยัดอยู่ได้จนจบ!

 

“ข้าคิดว่าหากจะมีผู้ใดในกองทัพมังกรดำของเราที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ คนผู้นั้นสมควรเป็นแม่ทัพจ้าวต่งชิ่ง…แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นแม่ทัพฉินอวี่ไปได้!!”

 

เมื่อเหล่าทหารของกองทัพมังกรดำมองไปยังชายหนุ่มในชุดเกราะสีดำทมิฬกลางสังเวียน สีหน้าแววตาทั้งหมดก็ฉายชัดถึงความตกใจทั้งเหลือเชื่อ

 

เมื่อครึ่งปีที่แล้ว ฉินอวี่ ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของพวกมันคนนี้ ยังเป็นเพียงไป่ฟูฉางที่ยื่นท้าประลองชิงตำแหน่งแม่ทัพคนหนึ่งเท่านั้น และถึงแม้จะชิงตำแหน่งแม่ทัพมาจนกลายเป็นแม่ทัพคนใหม่ได้สำเร็จ…

 

แต่ในสายตาของคนกองทัพมังกรดำนั้น…

 

วันนี้หากจะมีใครในกองทัพมังกรดำที่ยืนหยัดได้จนจบ สมควรเป็นแม่ทัพจ้าวต่งชิ่งมากกว่า!

 

ไม่มีใครคิดคาดเอาไว้มาก่อน ว่าคนที่สามารถยืนหยัดได้เป็นคนสุดท้ายจะเป็นแม่ทัพฉินอวี่!

 

ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดย่อมแลเห็นกันชัดเจน

 

ที่ฉินอวี่สามารถยืนหยัดอยู่ได้เป็นคนสุดท้ายหาได้เป็นเพราะโชคช่วยไม่! เพราะพลังที่เผยออกมาเมื่อครู่ ช่างแข็งแกร่งดุดัน สามารถสยบผู้อื่นได้อย่างราบคาบ!!

 

“ผู้บัญชาการเฉิน นับว่ากองทัพมังกรดำของท่านงำประกายได้มิดชิดนัก…ตอนแรกก็ต้วนหลิงเทียนคนนึงแล้ว มาตอนนี้ยังมีฉินอวี่อีกคน!”

 

ผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงิน เหมียวไหลหลง หันไปมองจ้องเฉินเฉวียนป้าด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ พลางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

 

“ขอบคุณสำหรับคำชม ผู้บัญชาเหมียว”

 

เฉินเฉวียนป้าเพียงหันไปป้องมือประสานลวกๆ กล่าวตอบคำเหมียวไหลหลงด้วยรอยยิ้มดั่งคนใจกว้าง ไม่ได้จิตใจคับแคบจนต้องกล่าวประชดเหมือนเหมียวไหลหลง

 

“ฉินอวี่ตลอดเดือนหลังจากนี้เจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม ส่งมอบหน้าที่ให้ผู้อื่นเสีย…และหลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนให้เดินทางมายังจวนเจ้าเมือง เพื่อเดินทางไปเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวพร้อมทูตพิเศษ…”

 

หลิ่วเฟิงกู่เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวมองฉินอววี่ด้วยสายตาประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่ามันเองก็ไม่คาดคิดมาก่อน

 

ว่าวันนี้ผู้ที่สามารถยืนหยัดได้เป็นคนสุดท้ายจะเป็นฉินอวี่ คนที่พึ่งขึ้นมารับตำแหน่งแม่ทัพของกองทัพมังกรดำได้ไม่ถึงครึ่งปี…

 

มันเองก็เห็นพลังฝีมือฉินอวี่ชัดเจนดี อีกฝ่ายนับว่าเหนือกว่าอีก 9 คนมาก

 

และนั่นทำให้ฉินอวี่ยืนหยัดได้จนเป็นคนสุดท้าย ได้รับสิทธิ์ไปยังเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว!

 

“คิดไม่ถึงจริงๆว่าคนที่จะเป็นสหายร่วมเดินทางไปเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวกับข้า จะเป็นฉินอวี่…”

 

ในสถานที่ลับตาคน ปรากฏร่างต้วนหลิงเทียนในชุดสีม่วง หยีตามองฉินอวี่ที่ยืนหยัดอยู่บนสังเวียนประลอง พลางกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ

 

ฉินอวี่นั้นพึ่งได้กลายเป็นแม่ทัพตอนที่เขาพึ่งมาถึงกองทัพมังกรดำ

 

อีกทั้งฉินอวี่ที่กล่าวท้าประลองชิงตำแหน่งก็ไม่ได้ลงมืออะไรทั้งนั้น เพราะเจี่ยนชิวผิงที่ถูกท้าเป็นฝ่ายยอมแพ้เสียก่อน

 

และเหตุผลที่เจี่ยนชิวผิงยอมแพ้ กล่าวไปก็เป็นเพราะเขา…

 

เจี่ยนชิวผิงคิดเก็บแรงมาสู้ชิงตำแหน่งแม่ทัพกับเขา!

 

เนื่องจากตอนนี้ความสนใจของทุกคนตกอยู่บนร่างฉินอวี่บนเวที จึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นเลยว่าต้วนหลิงเทียนได้หันหลังจากไป

 

ต้วนหลิงเทียนยังมาถึงก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้น จึงได้เห็นเรื่องราวการประลองทั้งหมดชัดถนัดตา

 

และพอได้เห็นผลลัพธ์ของการประลอง เขาก็กลับทันทีเพราะไม่มีเหตุผลอะไรให้รั้งอยู่ต่อ…

 

ผ่านมาแล้วก็จากไปอย่างเงียบงัน…

 

อย่างไรก็ตามหลังกลับจากเวทีประลองเขาก็ไม่ได้กลับไปบ่มเพาะ แต่เตรียมมุ่งหน้าออกจากจวนเจ้าเมืองแทน

 

‘คิดไม่ถึงจริงๆ…ในเวลาไม่กี่เดือนข้าจะทะลวงผ่านเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ครามมายังเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ม่วงได้สำเร็จ! นอกจากหินอมตะ โอสถเสริมวิญญาณและสถานที่บ่มเพาะแล้ว ต้องยกความดีความชอบให้ชีพจรสวรรค์ 99 เส้นในร่าง!’

 

หลังออกจากจวนเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวแล้ว ต้วนหลิงเทียน​ที่นึกถึงความก้าวหน้าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในใจก็พุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้งอย่างอดไม่ไหว

 

หลังจากมาถึงแดนสวรรค์ต้วนหลิงเทียนจึงได้รับทราบแล้วว่าชีพจรสวรรค์ 99 เส้นมีประโยชน์อย่างไร

 

ความรู้สึกแบบนี้ยากนักที่ในระนาบโลกียะเขาจะรู้สึกได้ชัด

 

‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้เฒ่าหั่วจะพูดบอกไว้…ว่าชีพจรสวรรค์ 99 เส้นในร่างของข้ามันจะส่องประกายเมื่อมาถึงแดนสวรรค์ ผู้เฒ่าหั่วไม่ได้หลอกข้าจริงๆ’

 

ต้นหลิงเทียนลอบกล่าว

 

ไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากที่ทะลวงผ่านมาถึงเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ม่วงและปรับระดับพลังเรียบร้อยต้วนหลิงเทียนได้ตัดสินใจหยุดการบ่มเพาะพลังเอาไว้แต่เพียงเท่านี้

 

ส่วนสาเหตุที่ไฉนไม่ตีเหล็กตอนร้อนและเลือกบ่มเพาะพลังต่อนั้น…

 

หนึ่งเลยเป็นเพราะเขารู้ตัวดีว่าต่อให้บ่มเพาะพลังสืบไป ก็ไม่มีทางบรรลุถึงขอบเขตจินเซียนได้ทันก่อนที่จะออกเดินทางไปยังเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวแน่นอน

 

ประการที่สองเป็นเพราะเขาคิดเรียนรู้ถึงเรื่องพื้นฐานทั้งหลายในหลิงหลัวเทียนรวมถึงเรื่องของมณฑลจิ่วโยว ก่อนที่จะเดินทางไปยังเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว…

 

ตอนนี้สิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับหลิงหลัวเทียนช่างมีจำกัดนัก เพราะเขาได้ความรู้มากจากการนั่งฟังบทสนทนาของผู้คนในเหลาอาหาร กับคำบอกเล่าจากปากของเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งเท่านั้น แล้วไหนเลยเสี่ยวเอ้อในเหลาอาหารเล็กๆคนหนึ่งจะล่วงรู้ทุกสิ่ง เป็นไปไม่ได้ที่มันจะบอกเขาให้รู้ทุกเรื่อง…

 

เช่นนั้นหลังออกจากจวนเจ้าเมืองแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตระเวนไปตามร้านที่แลดูเหมือนร้านขายตำรับตำราอะไรทำนองนั้น ก่อนจะใช้หินอมตะที่มีซื้อหายันต์อมตะเก็บความทรงจำมาหลายสิบแผ่น…

 

ยันต์อมตะเก็บความทรงจำเหล่านี้ เมื่อแผ่สำนึกเทวะลงไปในตัวยันต์ ก็จะสามารถรับทราบถึงข้อมูลที่บันทึกเอาไว้ได้ทันที และหากมียันต์เปล่าก็สามารถบันทึกความทรงจำของตัวเองลงไปได้เช่นกัน

 

อย่างไรก็ตามยันต์อมตะเก็บความทรงจำเหล่านี้ เป็นเพียงของใช้ได้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง…เพราะเมื่อบันทึกข้อมูลลงไปแล้ว หากมีสำนึกแผ่เข้ามาเริ่มอ่าน ตัวยันต์ก็จะแตกสลายเป็นผุยผงและถ่ายทอดข้อมูลหรือความทรงจำที่กักเก็บเอาไว้ให้ผู้ใช้ทันที

 

อีกทั้งต้องกล่าวเลยว่า

 

ยันต์อมตะที่กล่าวถึงบนแดนสวรรค์นั้น ทั้งหมดเป็นแผ่นหยกไม่ใช่กระดาษ!

 

หลังจากตระเวนซื้อยันต์เก็บความทรงจำได้มากมาย ต้วนหลิงเทียนก็เดินทางกลับจวนเจ้าเมือง และเตรียมกลับไปยังคฤหาสน์ที่หลิ่วเฟิงกู่อาศัยอยู่ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้คิดกลับไปยังห้องอันเป็นสถานที่บ่มเพาะส่วนตัวของเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวอีกต่อไป แต่คิดกลับไปยังบ้านพักที่หลิ่วเฟิงกู่ตระเตรียมไว้ให้เขาแทน

 

แม้จะได้ฟังมาว่ามันเป็นที่พักเอาไว้สำหรับรับรองแขก แต่ก็เป็นบ้านลานขนาดกว้างขวางมีห้องพักมากมายน้องๆคฤหาสน์เลยก็ว่าได้

 

“ใต้เท้าต้วนหลิงเทียน!”

 

“ใต้เท้าต้วนหลิงเทียน!”

 

ยามสองคนที่ยืนเฝ้าประตูทางเข้าบ้านลาน เดิมทีก็แน่นิ่งไม่ไหวติงประหนึ่งเทพพิทักษ์ประตู แต่พอเห็นต้วนหลิงเทียนก้าวอาดๆเข้ามา พวกมันก็เร่งประสานมือโค้งคารวะทักทายต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงมากเคารพทันที

 

“หือ? พวกเจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนอดมองไปยังยามเฝ้าประตูทั้ง 2 ด้วยความประหลาดใจไม่ได้ เพราะเขาจำได้ว่าตอนที่หลิ่วเฟิงกู่พาเขามาที่นี่ครั้งแรกเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ยามที่เฝ้าประตูวันนั้นไม่ใช่สองคนนี้

 

“เรียนใต้เท้าต้วนหลิงเทียน หลังจากที่ท่านมาถึง ใต้เท้าเจ้าเมืองก็ได้สั่งให้คนนำภาพเหมือนของท่านไปติดไว้ทั่วทุกที่ในจวนเจ้าเมือง…ยังกำชับทุกคนในจวนไว้อีกว่าหากเห็นท่าน ให้ปฏิบัติเสมือนเห็นใต้เท้าเจ้าเมืองมาเอง หากผู้ใดกล้าเสียมารยาทต่อท่าน ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในจวนอีกต่อไป…”

 

ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ยามคนหนึ่งก็เอ่ยตอบด้วยท่าทีมากสุภาพ

 

“ท่านเจ้าเมืองนับว่าเอาเรื่องจริงๆ…”

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหน้าพลางยิ้ม จากนั้นเขาก็เดินเข้าบ้านลานหลังใหญ่ไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน ระหว่างทางก็มีสาวใช้หยุดเพื่อโค้งคารวะมากมาย สุดท้ายก็ผ่านมาถึงห้องโถงหลังหนึ่งที่มีห้องเล็กสองห้องประกบข้าง…

 

เมื่อมาถึงห้องโถงดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้า เรียกยันต์เก็บความทรงจำออกมากองเรียงรายไว้เป็นตั้งๆ ค่อยหยิบขึ้นมาทั้งแผ่สำนึกเทวะเข้าไปทีละแผ่น…

 

เปรี๊ยะ!

 

เมื่อยันต์หยกแผ่นใดแตกสลาย ข้อมูลหรือความทรงจำที่กักเก็บไว้ก็จะไหลเข้ามาในใจต้วนหลิงเทียน

 

แม้จะเป็นข้อมูลที่บันทึกเอาไว้เป็นข้อความ หากแต่ยันต์เก็บความทรงจำนี้ก็ช่างมีความสามารถยอดเยี่ยมนัก เพราะมันไม่เหมือนเขามานั่งอ่านเอง แต่ทำให้เขารู้สึกเสมือนเคยอ่านผ่านตามาแล้ว กลายเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของเขา…

 

‘โอสถทิพย์ของแดนสวรรค์ถูกแบ่งออกเป็นระดับต่ำ กลาง สูง สูงสุด โอสถทิพย์ระดับต่ำ ผู้หลอมโอสถระดับต่ำขึ้นไปสามารถหลอมสร้างได้ และบางคราผู้หลอมโอสถระดับต่ำก็สามารถหลอมสร้างได้กระทั่งโอสถทิพย์ระดับกลาง…’

 

‘แต่เป็นธรรมดาว่าอัตราความสำเร็จในการหลอมกลั่นโอสถทิพย์ระดับกลางของผู้หลอมโอสถระดับต่ำช่างน้อยนิดนัก…’

 

‘นอกจากผู้หลอมโอสถระดับต่ำแล้ว ยังมีผู้หลอมโอสถระดับกลาง ระดับสูงและระดับสูงสุดอยู่อีกด้วย…และผู้หลอมโอสถโดยทั่วไป สามารถหลอมสร้างหรือกลั่นปรุงโอสถทิพย์ระดับต่ำกว่าหรือระดับเดียวกับตัวเองได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร…นอกจากโอกาสสำเร็จและความบริสุทธิ์ที่จะขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถ และโดยปกติแล้วผู้หลอมโอสถทั้งหลายจะพอหลอมสร้างได้ก็แต่โอสถทิพย์ที่มีระดับมากกว่าตัวเองระดับเดียวเท่านั้น…และยิ่งระดับสูงขึ้นความสำเร็จยิ่งลดหลั่นลงมา’

 

‘โดยเฉพาะโอสถทิพย์ระดับสูงสุด…ในหลิงหลัวเทียนไม่มีใครเคยได้ยินว่ามีผู้หลอมโอสถระดับสูงคนไหนสามารถหลอมกลั่นหรือปรุงโอสถทิพย์ระดับสูงสุดได้มาก่อนเลย กระทั่งสำเร็จเพราะโชคช่วยก็ไม่มี…’

 

‘แต่ไม่ใช่ว่าผู้หลอมโอสถระดับสูงจะไม่อาจหลอมโอสถทิพย์ระดับสูงสุดได้เลย เพราะถึงในหลิงหลัวเทียนไม่มี…แต่ในระนาบเทวโลกระนาบอื่นกลับมีให้ได้ยินอยู่บ้าง…’

 

 

ยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่พึ่งแตกสลายกลายเป็นฝุ่นหายไปในมือต้วนหลิงเทียน ก็ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับระดับของโอสถทิพย์เอาไว้…

 

แน่นอนว่ายันต์อมตะเก็บความทรงจำดังกล่าวยังบันทึกเรื่องระดับของผู้หลอมโอสถเอาไว้ด้วย ซึ่งผู้หลอมโอสถที่ว่าถูกเรียกขานอย่างเป็นทางการว่า ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะ

 

‘ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะ…’

 

สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายสว่างวาบเล็กน้อยค่อยหยิบยันต์อมตะเก็บความทรงจำอีกแผ่นขึ้นมา และเริ่มแผ่สำนึกเทวะผสานลงไป

 

เมื่อยันนต์อมตะแผ่นนี้แตกสลายลง ข้อมูลและความทรงจำที่บันทึกเก็บไว้ก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในใจต้วนหลิงเทียน กลับกลายเป็นส่วนหน่งของความทรงจำเขาอีกครา

 

‘ยอดสมบัติสวรรค์เองก็แบ่งออกเป็นยอดสมบัติสวรรค์ระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง และระดับสูงสุด…’

 

ยันต์เก็บความทรงจำที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งใช้ไปก็บันทึกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับยอดสมบัติสวรรค์กับปรมาจารย์หลอมอุปกรณ์อมตะ ที่มีเนื้อหาไม่ต่างอะไรกับยันต์เก็บความทรงจำแผ่นเมื่อครู่สักเท่าไหร่…

 

ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะ กับปรมาจารย์หลอมอุปกรณ์อมตะ จะต่างกันก็แค่คนหนึ่งหลอมโอสถปรุงยา ไม่ว่าจะยาน้ำยาเม็ดยาทายาผง ยาประเภทสารระเหยแม้กระทั่งยาพิษ…ส่วนอีกคนหลอมสมบัติทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาวุธชุดเกราะหรืออุปกรณ์เครื่องใช้ใดอื่น…

 

‘ส่วนยันต์อมตะเก็บความทรงจำแผ่นนี้ ได้อธิบายเอาไว้ว่าหากคิดจะเป็นปรมาจารย์หลอมอมตะทั้ง 2ชนิดต้องทำอย่างไรบ้าง…’

 

ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็หยิบยันต์อมตะเก็บความทรงจำขึ้นมาอีกแผ่น และเริ่มแผ่สำนึกเทวะออกไปรวมผสาน

 

‘หากคิดจะเป็นปรมาจารย์หลอมอมตะไม่ว่าจะโอสถหรืออุปกรณ์ นอกจากต้องศึกษาเรื่องคุณสมบัติและความสามารถของสมุนไพรและวัตถุดิบทั้งหลายจนมีความรู้มากพอผ่านการประเมินเป็นผู้หลอมฝึกหัดแล้ว…ยังต้องได้รับเพลิงอมตะมาครองอีกด้วย?’

 

จากยันต์อมตะเก็บความทรงจำแผ่นนี้ ต้วนหลิงเทียนจึงได้รู้ว่า…

 

ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างปรมจารย์หลอมอมตะชนิดต่างๆในระนาบเทวโลก กับปรมาจารย์เซียนหลอมชนิดต่างๆในระนาบโลกียะมันคืออะไร…

 

อย่างหลังนั้นท่านสามารถโคจรพลังของตัวเองตามแนวทางเฉพาะ เพื่อจุดเพลิงหลอมโอสถและอุปกรณ์ใดๆขึ้นมาด้วยพลังของตัวเอง…

 

ทว่าอย่างแรกนั้นจำต้องได้รับ ‘เพลิงอมตะ’ มาเสียก่อน แล้วค่อยมาดูกันว่าสามารถศึกษาศาสตร์การเล่นแร่แปรธาตุได้แตกฉานเพียงใด มีความสามารถมากพอจะหลอมโอสถหรืออุปกรณ์ใดๆได้หรือไม่ในภายหลัง…

 

‘เพลิงอมตะ ในระนาบเทวโลกถือว่ามันเป็นสมบัติฟ้าดินที่จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีมากมายหลากหลายประเภทและคุณสมบัติก็แตกต่างกันไปตามต้นกำเนิด หากแต่ทั้งหมดทั้งมวลยังสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 ชนิดหลักๆ อ่อนโยน กับแข็งกร้าว!’

 

‘อย่างแรกเหมาะแก่การหลอมโอสถ…ส่วนอย่างหลังเหมาะแก่การหลอมอุปกรณ์…’