ฝนตกพรำๆ ดุจละอองดุจม่านหมอก ค่อยๆ ทำให้แก้มและปกเสื้อของเขาเปียกชื้น
วัชพืชและใบเก่าที่ถูกโยนไว้ตรงคันดินเปื้อนหยดน้ำ ดูๆ ไปก็สวยดี
ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น เขาทำงานในแปลงสมุนไพรเสร็จ นักพรตน้อยคนนั้นก็ปรากฏตัว บอกใบ้ให้เขาตามมา
ปลายสุดของแปลงสมุนไพรสุดลูกหูลูกตามีภูเขาเขียวลูกเล็กๆ สองสามลูก ถ้าเดินอ้อมไปตามทางบนภูเขา ด้านหน้าจะมีหมอกไอร้อนกระจายตัวอยู่ ด้วยมีน้ำพุร้อนหลายจุดอยู่ระหว่างต้นสน
อยากแช่ตัวในบ่อน้ำร้อน เฉินฉางเซินมีความหวังอยู่บ้าง ขณะเตรียมถอดเสื้อชั้นนอก กลับเห็นเงาร่างนั่นในหมอก
ท่ามกลางหมอกร้อนชื้น ต้นสนยังคงรักษาความสดชื่นไว้ แต่สิ่งที่สดชื่นที่สุด ก็คือตะไคร่น้ำแปลกๆ ที่เติบโตบนหินน้ำพุร้อน
สีของตะไคร่น้ำชนิดนี้ออกเหลืองหน่อย พูดให้ถูกต้องกว่าก็คือสีทอง ซึ่งก็คือเปลือกเงินทองที่หายากมากตามบันทึกตำรับยาสมุนไพร
ร่างที่อยู่ในหมอกนั่น กำลังเก็บเปลือกเงินทองอย่างระมัดระวังยิ่ง ตั้งใจมาก
ไม่รู้ลมภูเขาพัดมาจากที่ใด พัดหมอกร้อนระหว่างต้นสนกระจายออกส่วนหนึ่ง หมอกออกไปแล้ว เผยให้เห็นภาพระหว่างผากับโขดหิน
คนผู้นั้นงอตัวลง แต่ยังคงให้ความรู้สึกสูงตรงแบบนั้น ผมเป็นสีเทาแล้ว แต่ยังคงหวีได้เรียบแปล้ไม่ยุ่งสักเส้น เหมือนเมื่อก่อนอย่างไรอย่างนั้น
เฉินฉางเซินทำความเคารพ จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างๆ
เวลาผันผ่าน ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น ไอหมอกจางหาย เปลือกเงินทองเก็บตัวของมันเอง กลายเป็นตะไคร่น้ำธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไป
ซางสิงโจวนำกระเป๋าสมุนไพรมอบให้กับนักพรตผู้ติดตาม แล้วรับน้ำใสๆ จากมือของนักพรตน้อยมาจิบ ก่อนเดินไปตามทางภูเขา จนถึงศาลา ค่อยนั่งลง
เฉินฉางเซิงเดินตามมาถึงนอกศาลา
ซางสิงโจวไม่แม้แต่จะมองเขา และไม่ได้บอกให้เขานั่ง เพียงถามออกมาตรงๆ “ไป๋สิงเยี่ยคิดจะทำอะไร”
……
……
เมื่อสิบปีก่อน การต่อสู้ในเมืองไป๋ตี้ เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่พวกเขาศิษย์อาจารย์ร่วมมือกัน
เรื่องเริ่มจากเฉินฉางเซิงไม่รู้ตัวก่อน แล้วสวีโหย่วหรงรับบทเป็นสะพานให้ แต่ผลสุดท้ายก็ดีเอามากๆ
พวกเขาสองศิษย์อาจารย์ คนหนึ่งอยู่ใน คนหนึ่งอยู่นอก เดี๋ยวปรากฏ เดี๋ยวซ่อนตัว บีบจนจักรพรรดิขาวผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานไร้ทางหนีทีไล่ สุดท้ายจึงทำตามความคิดของพวกเขาพบกับสรรพสัตว์ แล้วร่วมมือกันสังหารทูตสวรรค์เซิ่งกวงสองคน จัดการมู่ฮูหยิน จนท้ายที่สุด บนทะเลเมฆ จักรพรรดิขาวหลั่งน้ำตาหรือไม่ ไม่มีใครรู้
ดูไปแล้ว เป็นอย่างที่เฉินฉางเซิงคิดไว้ไม่มีผิด เมื่อซางสิงโจวสนใจการยกทัพไปทางเหนือ ก็ต้องเป็นห่วงพันธมิตรเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจ
เฉินฉางเซิงจึงว่า “จักรพรรดิขาวยังคงไม่อยากออกแรงมาก หรือพูดได้ว่า…เขาไม่มีความจริงใจในความร่วมมือ ข้ากังวลเรื่องที่จะตามมาในภายหลังมากกว่า”
การเจรจาของทั้งสองฝ่ายและรายละเอียดภารกิจ ต่างฝ่ายต่างมีเจ้าหน้าที่ราชสำนักกับมุขนายกของพระราชวังหลีเป็นผู้จัดการ
แต่จากรายละเอียดบางอย่างดูออกว่า จริงๆ แล้วจักรพรรดิขาวไม่ค่อยสนใจสงครามในครั้งนี้ หรือใช้คำว่าเฉยเมยก็ได้ บวกกับเส้นสายของลั่วลั่ว เขาจึงควบคุมสถานการณ์ได้มากขึ้น
เผ่าปีศาจในตอนนี้ค่อนข้างอ่อนแอ ถ้าปีนั้น จักรพรรดิขาวไม่ฉวยโอกาสล้างบางเผ่าช้าง อาจจะดีกว่า
เสี่ยวเต๋อก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ผู้แข็งแกร่งรุ่นกลางของเผ่าปีศาจยังมองไม่เห็นสัญญาณของการทะลวงระดับ จุดๆ นี้ต่างกันมาก เมื่อเทียบกับเผ่ามนุษย์
อย่างน้อยในสามปี เผ่าปีศาจยังคงมีจักรพรรดิขาวเพียงท่านเดียวที่เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นแดนศักดิ์สิทธิ์
ความปลอดภัยของเขา สำหรับเผ่าปีศาจแล้วสำคัญเกินไป ดังนั้นเขาไม่มีทางออกจากเมืองไป๋ตี้แน่ ไม่มีทางอยู่ห่างจากการคุ้มครองของค่ายกลใหญ่แม่น้ำแดง
อีกทั้งการที่เผ่าปีศาจได้ช่วยเผ่ามนุษย์โจมตีเผ่ามารจนพ่ายแพ้ สำหรับพวกเขาแล้วมีประโยชน์อะไร
ปัญหาอยู่ที่ เผ่ามนุษย์เรืองอำนาจเช่นนี้ เผ่าปีศาจจึงจนปัญญาที่จะปฏิเสธคำขอให้ส่งทหารไปช่วยในนามพันธมิตร
ถ้าเปลี่ยนจากจักรพรรดิขาวเป็นเฉินฉางเซิง ก็ไม่รู้ว่าควรจัดการสถานการณ์ในตอนนี้อย่างไรดีเหมือนกัน
ซึ่งอันที่จริง เรื่องนี้มีวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายมากมาโดยตลอด
สิบปีมานี้ การพูดเช่นนี้แพร่กระจายในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
“แม่น้ำแดงแปดร้อยลี้ อาณาเขตสามหมื่นลี้ ประชากรเผ่าปีศาจล้วนกำลังรอเจ้าไปขอองค์หญิงของพวกเขาแต่งงาน เฉาเหยี่ยก็ล้วนสนับสนุนเจ้า แล้วเจ้ายังจะลังเลอะไรอีก”
ซางสิงโจวถาม
เฉินฉางเซินอยากพูด แต่ก็หยุดไป
ซางสิงโจวจึงว่า “ภรรยามิใช่ไม่เคยมีแบบอย่างให้ดูมาก่อน”
เฉินฉางเซิงสั่นศีรษะ
ซางสิงโจวไม่แปลกใจในคำตอบและความเร็วในการให้คำตอบของเขา
“ไม่ผิด ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ อีกอย่างเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผู้คนให้ความสำคัญขนาดนั้น”
พอได้ยินคำนี้ เฉินฉางเซิงก็ไม่เข้าใจอยู่บ้าง คิดในใจ หรือกับพันธมิตรเผ่าปีศาจไม่ได้มีความสำคัญสูงสุด
“ไท่จงในปีนั้นอ่อนแอ แต่ต้องต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่ง ดังนั้นจำเป็นต้องรวมพลังกันทั้งหมดเท่าที่จะสามารถรวมกันได้ แต่ตอนนี้ไม่ต้อง การบรรจบกันของเหนือและใต้เป็นเรื่องที่ต้องทำ เพราะเป็นพี่น้องกัน และเผ่าปีศาจยินยอมอุทิศตนให้ก็ดี ไม่ยอมให้ก็ได้ เป็นเพียงเรื่องรอง การจัดการที่สุดแล้วยังคงต้องพึ่งพาตนเอง พวกเราเองแข็งแกร่งพอ ทำไมต้องสนใจคนอื่นด้วย”
คำพูดเหล่านี้ของซางสิงโจวพูดให้เฉินฉางเซิงฟัง และพูดให้ทุกคนในราชวงศ์ต้าโจวฟังเช่นกัน
อารามฉางชุนกับพระราชวังติดต่อกันมาโดยตลอด ฝ่าบาทมักมาฉลองปีใหม่ที่ลั่วหยาง แต่ว่ากันว่า ซางสิงโจวไม่เคยพูดกับคณะปกครองสักคำ
พูดอีกอย่างก็คือ สิบปีมานี้ เป็นครั้งแรกที่ซางสิงโจวส่งเสียงให้กับเรื่องทางโลก
ความคิดของเขาชัดเจนมาก นั่นคือ ต้องมีท่าทีแข็งกร้าวกับเผ่าปีศาจ
แม้เมืองไป๋ตี้ไม่ยอมส่งทหารมา การสู้รบในครั้งนี้ก็ไม่สามารถหยุดลงได้
เฉินฉางเซิงจึงพูดถึงปัญหาสำคัญที่สุด
“เหตุใดท่านต้องเขียนจดหมายถึงหวังผ้อ ให้เขาช่วยเหลือพวกเรา ท่านรู้ได้อย่างไรว่านั่นเป็นกับดักที่คนชุดดำกับแปดขุนเขาผู้ยิ่งใหญ่ร่วมมือกันวาง”
ซางสิงโจวว่า “เป็นคนชุดดำจงใจให้ข้ารู้”
เฉินฉางเซิงตกใจจนพูดไม่ออก คิดในใจ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ หรือเป็นการสู้กันภายในของเผ่ามาร โดยคนชุดดำกับผู้คุมกฎเผ่ามารอยากใช้ผู้แข็งแกร่งในเผ่ามนุษย์เป็นเครื่องมือ กำจัดนักศึกษาทั้งหมดให้สิ้นซาก แต่คิดอีกอย่าง เมื่อเผ่ามารได้มาถึงช่วงเวลาอันตรายเช่นนี้ มีหรือที่คนชุดดำจะไม่เฉลียวใจเช่นนี้
ขนาดซางสิงโจวก็ยังไม่แน่ใจว่าคำตอบที่แท้จริงคืออะไร เนื่องจากนางอย่างไรก็เป็นมนุษย์ หรือจะบอกว่าหวังจือเช่อไปเมืองเสวี่ยเหล่าแล้ว
เฉินฉางเซิงตื่นขึ้นจากความตื่นตระหนก ก่อนถาม “คนชุดดำเป็นใครกันแน่”
ที่สุดแล้วซางสิงโจวก็ไม่ได้ตอบคำถามนี้
เฉินฉางเซิงถูกนักพรตน้อยพาไปยังห้องพักเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง รับประทานอาหารที่เรียบง่ายมื้อหนึ่ง จากนั้นก็ได้รับกล่องหนึ่งใบ
“นี่เป็นของที่อาจารย์ปู่ให้เจ้าเอามาให้ข้าหรือ”
เขามองนักพรตน้อยพลางถามอย่างแปลกใจ
นักพรตน้อยพยักหน้าหงึกๆ จากนั้นก็วิ่งออกจากห้องน้อย แขนน้อยๆ สะบัดไปมา ดูแล้วน่ารักสุดๆ
เฉินฉางเซิงแปลกใจมากจริงๆ
ในความทรงจำของเขา คล้ายไม่เคยได้รับของจากอาจารย์เลย
ของสองสิ่งที่ยากจะได้มา หลายปีต่อมากลับถูกพิสูจน์ว่าเป็นคำชี้แนะที่ได้แต่ทำให้คนเศร้าใจ
เขารู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้างขณะเปิดกล่องออก พบว่าข้างในเป็นศาสตราวิเศษฝีมือประณีตสองชิ้นเล็กๆ ดูจากวัสดุหลักน่าจะเป็นสำริด วิเคราะห์อยู่ครึ่งวัน ค่อยเข้าใจว่า ที่แท้คือศาสตราวิเศษสื่อสารสองชิ้นที่ทำมาจากเศษกระจกเฮ่าเทียน ใช้ประโยชน์จากจิตหยั่งรู้ล่วงหน้าของกระจกเฮ่าเทียน ทำให้คนสองฝ่ายที่อยู่ไกลกันสื่อสารกันได้ตามเวลาจริง
นี่เป็นของที่น่าอัศจรรย์มากจริงๆ สามารถติดอันดับทำเนียบร้อยศาสตราใหม่ล่าสุดได้อย่างไม่มีปัญหา คิดว่าซางสิงโจวต้องหลอมขึ้นเองกับมือแน่ และต้องสูญเสียพลังไปมากทีเดียว
ศาสตราวิเศษล้ำค่าเช่นนี้ ควรใช้ในสมรภูมิรบ อาจารย์มอบให้ตนทำไม
จิตสัมผัสของเขาตกอยู่บนลูกปัดหินที่ข้อมือ ลูกปัดหินสีเทาเม็ดหนึ่งสว่างขึ้น
ลูกปัดหินเม็ดนี้พลันถ่ายทอดเสียงของสวีโหย่วหรง
“พูด ข้ากำลังยุ่ง”
เฉินฉางเซิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางฟังหนึ่งรอบ
เสียงของสวีโหย่วหรงหายไปช่วงหนึ่ง จากนั้นก็ดังขึ้นใหม่
“หรือ…นี่มอบให้เรา”