เหลียงหวังซุนไม่เข้าร่วมรบในครั้งนี้หรอก อย่างน้อยก็ตอนแรกสุด แต่เขาต้องแสดงท่าทีของตัวเอง ดังนั้นจึงฝากคำพูดไว้หนึ่งประโยคและชื่อหนึ่งชื่อ
ชื่อนั้นเป็นตัวแทนทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของจวนเหลียงอ๋อง ยังมีเหลียงหงจวง ยอดฝีมือขั้นรวบรวมดวงดาวด้วย
เหลียงหวังซุนได้รับตำแหน่งในกองทัพผ่านม่ออวี่ และที่ที่เหลียงหงจวงจะไปคือด่านยงหลาน ตัวเขาเองต้องได้เป็นแม่ทัพแน่ ในสนามรบก็ต้องอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกว่า แต่แม่ทัพต้องผ่านสนามรบเป็นร้อย ยิ่งไปกว่านั้น ยังถูกกำหนดให้เป็นการรบครั้งใหญ่ที่ต้องต่อสู้ข้ามวันกันอย่างยาวนาน ใครจะรับรองได้ว่าตนจะมีชีวิตรอดกลับมา
อีกทั้งเหลียงหงจวงก็รู้นิสัยของตนเองดี เชื่อแน่ว่า ครั้งนี้ไปแล้ว ยากมากจะมีชีวิตรอดกลับมา
ที่ว่าดาหน้าไปตาย ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ก่อนหน้านี้ มีความปรารถนาที่ยังทำไม่เสร็จ อย่างเช่นคนเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่
หลายปีมานี้ ความสัมพันธ์ของเขากับผู้เฝ้าเมืองสวินหยาง ใต้เท้ามุขนายก และคนอื่นๆ ดีมาก
แม้ความสัมพันธ์ของเขากับเหลียงหวังซุนธรรมดามาก แต่อย่างไรเขาก็เป็นคนของจวนเหลียงอ๋อง คนใหญ่คนโตในเมืองสวินหยางจึงมักให้เกียรติเขา
สิ่งต่างๆ ทั้งหมด ล้วนเพื่อวันนี้
เดิมทีเหลียงหงจวงเตรียมตัวพร้อมแล้ว คืนนี้ต้องสังหารคนเหล่านี้ทั้งหมด
เขารู้ว่าคนเหล่านี้ชอบอะไร เทียนกระทิง จิตรกรรมฝาผนัง และโคมแดง มีอาหารรวมอยู่ในนี้ด้วย เตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยังมีนักฆ่าหลายคนจากหอความลับสวรรค์เมื่อวันก่อนที่เขาทุ่มเงินจ้างมาซ่อนตัวในความมืด
พอเห็นโคมแดง สวีโหย่วหรงก็รู้สึกได้ถึงเจตนาสังหารที่ปรากฏและหายวับไป จึงขมวดคิ้ว
สุดท้าย เหลียงหงจวงก็เปลี่ยนความคิด จนผ่านไปเนิ่นนาน ก็ไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไร และไม่มีทางรู้ด้วย
ฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึง ทุ่งหญ้าจะเกิดศึกฝ่าวงล้อมขึ้นครั้งหนึ่ง และเขา จะตายภายใต้ค้อนทองแดงของแม่ทัพมารที่เก้า
……
……
ขณะนั่งอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง มองดูใบหน้าตนเอง เฉินฉางเซิงก็นึกถึงเรื่องที่เหลียงหงจวงเล่าไม่จบ จึงทอดถอนใจ
ได้ยินเสียง สวบสาบ ดังมาจากด้านหลัง เขาหันหลังมอง เห็นเพียงท่าทางที่สง่างามในกระโจมผ้าโปร่งและเห็นลวดลายดอกไม้สีอ่อนบนเสื้อผ้าสีขาว
เขารีบเดินไปเก็บเครื่องนอนบนพื้นให้เรียบร้อย ไม่ให้เกะกะขวางทาง
สวีโหย่วหรงลงจากเตียง ล้างหน้าล้างตาง่ายๆ สวมเสื้อคลุมตัวเดียว ไม่ติดกระดุม เดินไปผลักหน้าต่างออก
ลมรุ่งอรุณพัดเข้ามาทางหน้าต่าง ปะทะใบหน้านาง ผมดำที่เปียกเล็กน้อยปลิวไสว
ที่ลอดเข้ามาในห้องยังมีแสงของฤดูใบไม้ผลิด้วย
ในห้องจึงเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ขณะมองภาพนี้ เฉินฉางเซินก็นึกถึงเรื่องเมื่อหลายปีก่อนไปโดยปริยาย
ในโรงเตี๊ยมแห่งเดียวกันนี้ วันที่แสงในฤดูใบไม้ผลิสวยงามเช่นกัน
เขาตะโกนใส่เมืองสวินหยางทั้งเมืองไปหนึ่งประโยค ซูหลี อาจารย์อาเล็กแห่งเขาหลีซานอยู่ที่นี่
มรสุมกะทันหัน การสู้รบนองเลือดติดต่อกัน
วันนี้เขาไม่จำเป็นต้องตะโกนประโยคนั้นอีกแล้ว และแน่นอน การได้อยู่กับสวีโหย่วหรง มีความสุขกว่าอยู่กับซูหลีมาก
สิ่งสำคัญที่สุดของการแบ่งแยกอยู่ที่ เผ่ามนุษย์ในตอนนั้นแตกแยก ไม่ว่าจะเป็นระหว่างนิกายหลวงเก่าใหม่สองฝ่าย หรือระหว่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กับเชื้อพระวงศ์ตระกูลเฉิน และในนี้ รอยแตกที่ใหญ่ที่สุดรอยหนึ่งก็คือ รอยแตกระหว่างเหนือใต้ โดยแม้แต่ผู้มีคุณธรรมอย่างท่านสังฆราช ก็ยังคิดฆ่าซูหลีมาโดยตลอด อย่าว่าแต่ผู้อื่นเลย
ตอนนี้ทุกอย่างล้วนไม่เหมือนเดิม
ลั่วหยางส่งกิเลนเมฆาอัคคีกลับไปชงโจว เซวียเหอรักษาความเงียบ
จวนเหลียงอ๋องย้ายครอบครัวออก กลับเหลือทรัพย์สินไว้ครึ่งหนึ่ง และสุดท้ายเหลียงหงจวงก็มิได้ลงมือฆ่าคน แต่ตรงไปยังด่านยงหลาน
ความแค้นยังคงมี รอยแตกยังคงอยู่ แต่ไม่นับเป็นอะไรแล้ว
เผ่ามนุษย์ในตอนนี้ สามัคคีกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ทุกคนล้วนรู้ว่า เร็วๆ นี้ราชวงศ์ต้าโจวจะเดินทัพไปทางเหนือ…หลังจากผ่านมาหลายร้อยปี เผ่ามนุษย์ก็ทำการโจมตีเผ่ามารอีกครั้ง ครั้งนี้เป้าหมายเด่นชัดมาก นั่นคือทำภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่คนในสมัยจักรพรรดิไท่จงทำไม่สำเร็จให้สำเร็จ จู่โจมเมืองเสวี่ยเหล่า เอาชนะคู่ต่อสู้ให้ถึงที่สุด พิชิตคู่ต่อสู้ให้ได้
ในสภาวะสงครามที่อยู่ตรงหน้า อะไรก็ล้วนไม่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นความแค้นส่วนตัวเมื่อพันปีก่อน หรือความขัดแย้งระหว่างแนวความคิด
ทุกยุคทุกสมัย ก็เป็นเช่นนี้
สวีโหย่วหรงมิได้หันกลับ หรี่ตาลง มองดูแสงของฤดูใบไม้ผลิในเมืองสวินหยาง ราวกับกระต่ายที่เพิ่งตื่นนอน น่ารักอยู่บ้าง
“เจ้าค้างอยู่ในเมืองไป๋ตี้นานขนาดนี้ การเจรจาเป็นอย่างไรบ้าง”
ปลายฤดูหนาวปีก่อน คณะทูตนิกายหลวงออกจากจิงตู ไปยังอาณาจักรปีศาจที่อยู่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้ สังฆราชเฉินฉางเซิงก็อยู่ในกลุ่มด้วย
จวบจนวันก่อน เข้าฤดูใบไม้ผลิ เซียวจางจะกลับมา เฉินฉางเซิงถึงได้ขี่กระเรียนขาวจากมา
ช่วงเวลานั้นก็ราวร้อยกว่าวัน
เฉินฉางเซินว่า “แม้บอกว่าเรื่องทั้งหมดมีแบบอย่างก่อนหน้า แต่ก็ล่วงเลยเวลามาหลายร้อยปี ทำให้จักรพรรดิขาวตอบรับแนวร่วมได้ไม่ยาก แต่รายละเอียดกลับมีปัญหามาก”
สวีโหย่วหรงว่า “เห็นทีคงยากกว่าตกปลาในแม่น้ำแดงอีก”
ตอนพูดประโยคนี้ ใบหน้าของนางไม่มีความรู้สึกอะไร
แต่ใครจะรู้ว่า นางอยากแสดงอารมณ์อย่างไรออกมา
พอได้ยินประโยคนี้ เฉินฉางเซิงก็อึ้ง คลับคล้ายเข้าใจแล้วว่าเหตุใด ตั้งแต่คืนก่อนจนถึงวันนี้ นางถึงได้มีท่าทีเย็นชาเช่นนี้ จึงไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไรไปชั่วขณะ
สักพัก เขาพลันนึกถึงคำชี้แนะของถังซานสือลิ่ว ท่าทีจึงเปลี่ยนเล็กน้อย ก่อนตะโกน “เจ้าดูนั่น บนฟ้ามีว่าวด้วย”
สวีโหย่วหรงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองดูท้องฟ้านอกหน้าต่าง เห็นเพียงฟ้าครามกระจ่างใส ไม่มีวัตถุใดๆ
เฉินฉางเซิงรีบก้าวไปข้างหน้า กอดนางจากด้านหลัง แขนของทั้งสองเกาะเกี่ยวกันอย่างพอเหมาะพอดี
“ข้าไม่ปล่อยมือ”
“คนทั้งดินแดนต้าลู่สามัคคีกันเช่นนี้ เราจะแยกจากกันอย่างไรเล่า”
“เหนือใต้บรรจบกัน ราชสำนักนิกายรวมเป็นหนึ่ง ล้วนชี้มาที่พวกเรา”
“เจ้าก็ทำตามสิ”
“หรือ ข้าทำตามเจ้า”
สวีโหย่วหรงเลิกคิ้วน้อยๆ ไม่พูดอะไร
เดิมทีน่าจะรังเกียจความรู้สึกนี้ แต่ภายใต้แสงฤดูใบไม้ผลิอันเจิดจ้า ทำไมกลับรู้สึกเขินอายยิ่งนัก
……
……
ยามเช้า ฝนตกปรอยๆ กลับมาที่เก่าอีกครั้ง คนดูเหงาๆ และหลบเลี่ยง
ห่างกันสิบกว่าลี้ ขณะมองจิงตูในระยะไกล เห็นขบวนรถแบ่งออกเป็นสองแถว แถวหนึ่งเลียบแม่น้ำเข้าเมือง อีกแถวกลับไปในเส้นทางที่ไกลกว่า
จิงตูที่อยู่ไกล มิใช่พื้นที่อื่นใดในดินแดนต้าลู่ แต่คือลั่วหยาง นี่เป็นวิธีการพูดที่เป็นบทกวีมาก
หลายปีก่อน ตอนเดินทางจากเมืองซีหนิงไปจิงตู เฉินฉางเซิงต้องผ่านลั่วหยาง แต่เขาในตอนนั้นมิได้เข้าเมือง
การใช้ชีวิตอยู่ในลั่วหยาง มิใช่เรื่องง่าย โรงเตี๊ยมที่นั่นเป็นที่ยอมรับว่าแพง
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงเข้ามาในลั่วหยาง เป็นครั้งแรกที่เข้ามาในอารามฉางชุน
และเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่ผ่านมา ที่เขาได้พบกับอาจารย์ของตัวเอง ซางสิงโจว
การต่อสู้ที่สำนักฝึกหลวงในปีนั้น ซางสิงโจวถอยกลับลั่วหยาง มาอยู่ที่อารามฉางชุนโดยไม่ออกมาอีก
จนถึงตอนนี้ก็สิบปีแล้ว
อดีตผ่านพ้น แต่ไม่เหมือนลม แม้เผ่ามนุษย์ในตอนนี้กลมเกลียวกันอย่างไร้ที่เปรียบ แต่ก็มักเกิดรอยร้าวอยู่บ้าง ระหว่างคนบางคนกับเรื่องบางอย่าง
ในจำนวนนี้ รอยร้าวที่ลึกที่สุดและสำคัญที่สุด ย่อมเป็นรอยระหว่างเฉินฉางเซิงและซางสิงโจว
ซางสิงโจวไม่สนใจการเมืองมาหลายปี แต่เขายังมีชีวิตอยู่ และเป็นตัวแทนอำนาจฝ่ายหนึ่ง หรือพูดได้ว่า เป็นที่ศรัทธาของผู้คนมากมาย
นักพรตในอารามฉางชุนมิได้กั้นขวาง ส่งคำขอพบของเฉินฉางเซิงเข้าด้านในอย่างสงบนิ่ง
ดังนั้นแม้เจ้าอาวาสของพวกเขาถูกหลิวชิงที่เฉินฉางเซิงเชิญมาสังหารไปเมื่อสิบปีก่อน แต่พวกเขาก็ยังคงรักษามารยาทที่ดีกับเฉินฉางเซิง ไม่มีความเกลียดชังใดๆ
ท่าทีไร้อารมณ์เช่นนี้ หรือพูดได้ว่า ไม่มีการดำรงอยู่ของจิตสำนึกหลัก น่ากลัวจริงๆ
ซึ่งก็มีแต่พวกนักพรตเช่นนี้ ที่น่าจะบีบให้เซียวจางเข้าไปในทุ่งหิมะได้
เฉินฉางเซินคิดเงียบๆ จากนั้นก็ได้รับคำตอบจากด้านใน
นักพรตน้อยอายุหกเจ็ดขวบเดินออกมาจากด้านในอารามฉางชุน หอบหายใจแล้วว่า “อาจารย์ปู่บอกว่า วันนี้ไม่รับแขก!”
เฉินฉางเซิงยื่นมือออกไปหยิกแก้มแดงๆ ของนักพรตน้อย ยิ้มพลางว่า “บอกอาจารย์ปู่ว่า นี่เป็นเรื่องของเมืองไป๋ตี้”
ไม่มีใครขวางทางเขาอีก เห็นทีคำพูดประโยคนี้ มีความหมายต่อซางสิงโจวมากจริงๆ
อารามฉางชุนล้อมรอบไปด้วยทุ่ง
แต่ทุ่งมิได้ปลูกข้าว ต้นสนบนคันดินสวยงามมาก แต่มิได้หมายความว่าในทุ่งปลูกทิวทัศน์
แปลงปลูกพืชต้นฤดูใบไม้ผลิที่มีกลิ่นหอมบางๆ ปกคลุม ที่ดินนับสิบแปลงในอาราม ที่แท้ล้วนปลูกสมุนไพร
ภายใต้การนำของนักพรตน้อย พอเฉินฉางเซิงเดินมาถึงแปลงสมุนไพร ก็หยิบจอบขุดสมุนไพรข้างคันดินขึ้นมา เริ่มกำจัดวัชพืชและเด็ดใบ