เมื่อเข้าไปในจวนอ๋อง เห็นราชรถคันใหญ่ลือชื่อคันนั้น แล้วทั้งสองก็เห็นจดหมายที่เหลียงหวังซุนทิ้งเอาไว้ให้
เหลียงหวังซุนมีอิทธิพลต่อโลกบำเพ็ญพรตทางเหนือรวมถึงประชาชนเป็นอย่างมาก ในวังเคยสั่งการลงมาเชิญเขาหลายครั้งแต่เขาก็ล้วนปฏิเสธ
ในฐานะผู้สืบทอดของเชื้อสายจักรพรรดิองค์ก่อน เขานั้นเกลียดราชวงศ์เฉินเข้ากระดูกดำ จะยินดียื่นมือเข้าช่วยได้อย่างไร
พวกเขามาที่สวินหยางก็เพื่อโน้มน้าวเขา ในตอนแรกเหลียงหวังซุนเข้ามาที่เมืองหลวงช่วยจักรพรรดินีเทียนไห่จัดการผังลายจักรพรรดิ น่าจะมีความรู้สึกดีกับสวีโหย่วหรงไม่น้อย
เมื่อนึกถึงว่าหลังจากที่เหลียงหวังซุนได้รับจดหมายจากเมืองหลวงแล้ว ก็นำคนแก่และเด็กในจวนจากเมืองสวินหยางไปทันที แม้แต่หน้ายังไม่ยอมเจอ
แต่เหลียงหวังซุนเอ่ยในจดหมายไว้ชัดเจนมาก…ช่วยราชวงศ์ทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ยามเมื่อต้องการเขา เขาก็จะปรากฏตัวเอง
มีคำมั่นสัญญานี้ก็เพียงพอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นบนจดหมายยังมีชื่อบุคคลอีกคนหนึ่ง
เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงจากจวนอ๋องไป มาบนถนน
ทหารหลายคนรีบเดินผ่านไป สีหน้างงงวย
กองกำลังทหารในแต่ละแคว้นต่างๆ กำลังปรับการป้องกันและในขณะเดียวกันพวกเขาก็กำลังฝึกฝนเช่นกัน
หากว่ากันตามหลักการแล้ว พวกเขาจะไม่ปรากฏบนสนามรบ แต่ผู้ใดก็ล้วนไม่ทราบ ครั้งนี้จะมีผู้สูญเสียไปอีกเท่าใด
กองทหารอวี่หลินที่รับผิดชอบปกป้องวังหลวงล้วนเตรียมการบุกขึ้นเหนือตลอดเวลา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขา
ตายในสนามรบเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คนข้างหน้าล้มลง คนข้างหลังบุกขึ้นหน้าต่อเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยนัก
เฉินฉางเซิงเข้าใจว่านี่คือเรื่องธรรมดา ยังคงรู้สึกท้อแท้
เพื่อความคิดของเขาคนเดียว คนนับหมื่นนับพันจะต้องมาตาย
บางครั้งก็คิดว่าโชคดีที่ตนเป็นใต้เท้าสังฆราช มิใช่ฮ่องเต้ ไม่อย่างนั้นคำสั่งเหล่านั้นและคำสั่งเกณฑ์ทหารต้องผ่านมือตนแน่
ต่อมา เขายังรู้สึกผิดต่อศิษย์พี่
เขาทราบดีว่าศิษย์พี่ทำเรื่องเหล่านี้ได้ดีมาก แต่เหมือนกันกับเขา ศิษย์พี่ก็ไม่ชอบทำเรื่องเหล่านี้เช่นกัน
ถนนหลังจวนเหลียงอ๋องนั้นเรียกว่าซื่อจี้ชิง (เขียวสี่ฤดู) เป็นถนนมีชื่อที่ตรงที่สุดในเมืองสวินหยางตะวันตก ทั้งสองข้างทางไม่มีร้านค้า เป็นแนวกำแพงศิลาสีเขียว
ถนนเส้นยาวเงียบสงัด ไม่รู้จวนแห่งใดมีเสียงเพลงลอยมา ฟังดูแล้วคล้ายมีคนกำลังขับลำนำ
เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงเดินตามเสียงไป ทะลุผ่านตรอกที่ทอดขวาง มาถึงยังประตูจวนแห่งหนึ่ง มีโคมแดงแขวนทอดยาว
โคมแดงนั้นทำจากกระดาษแดง สีแดงเข้ม เหมือนกับมีความเปียกชื้นอยู่ เทียนกระทิงที่อยู่ด้านในสาดแสงทะลุผ่าน มองดูแล้วคล้ายโลหิต แสบตาอยู่บ้าง
สวีโหย่วหรงมองไปทางโคมแดงหนึ่งที คิ้วนางขมวดเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
เสียงเพลงดังมาจากด้านในจวน เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงเดินเข้าไปข้างใน แต่กลับไม่มีผู้ใดห้ามปรามพวกเขาเลย
เข้าไปในจวนพบเป็นศิลาแบนขนาดใหญ่ ปูด้วยศิลาสีเขียวชิ้นใหญ่ หยาบๆ ไม่ประณีต บวกกับคบเพลิงที่ลุกไหม้อยู่รอบๆ ให้กลิ่นอายเหมือนสนามรบที่รกร้างว่างเปล่าอยู่หลายส่วน
ด้านหน้าคือเวที ซึ่งกำลังจุดเทียนกระทิงที่ใหญ่ราวแขนหนา เปลวไฟก็ส่องสว่างที่ผนังด้านหลังที่ทำจากกระดาษสีขาว จนขาวโพลน ราวกับว่าเป็นเวลากลางวัน
ชายคนหนึ่งกำลังร้องเพลง สวมชุดสีแดง และการแต่งหน้าของเขาก็สีฉูดฉาดมาก
เขาไม่ได้จงใจปกปิดลำคอด้วยเสื้อผ้าปกสูง และไม่จงใจกดเส้นเสียงของเขา เขาร้องอู้อี้ไปเรื่อย เสียงที่แหบพร่าและแหลมเล็ก ช่างได้อารมณ์ยิ่งนัก
เพลงหยุดกะทันหันโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
ชายคนนั้นมองมาข้างหลังแล้วพูดว่า “ท่านคิดอย่างไรกับการแสดงของข้า”
คืนนี้มีคนมาฟังละครไม่มากนัก มีเพียงสิบกว่าคน ต่างก็นั่งสบายๆ อยู่หน้าเวที ดูจากท่าทางและการแต่งตัว พวกเขาทั้งหมดน่าจะเป็นบุคคลสำคัญในเมืองสวินหยาง ในตอนนี้เมื่อได้ยินที่ชายคนนั้นพูดบนเวที ทุกคนก็หันไปมองรอบๆ เพียงเห็นเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงพวกเขาก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
เหลียงหงจวงกำลังร้องเพลงและให้ความบันเทิงกับตัวเองในจวนในวันนี้ มีการเชิญคณะละครที่ดีที่สุดในเมืองหลานหลิง และมีการร้องเพลง ค่ำคืนแห่งวสันตฤดูที่มีชื่อเสียง ที่กำลังแสดงก็คือบทเจ้าสาวผู้มีเสน่ห์และเย้ายวน และกำลังร้องเพลงอย่างบันเทิง เมื่อดวงตาของเขาพลิ้วไหวดวงตาอ่อนโยน ทันใดนั้นเขาก็เห็นชายหนุ่มและหญิงสาวเดินเข้ามาจากนอกบ้าน โดยคิดว่าในที่สุดก็มาถึงที่นี่แล้ว
“ข้าไม่เคยฟังมาก่อน แต่รู้สึกว่าไม่เลว”
เมื่อเฉินฉางเซิงคิดอีกที ก็เอ่ยเสริมว่า “ไม่คล้ายกับละครในเมืองหลวงเท่าใดนัก”
“เมื่อข้ายังเล็กเคยไปเรียนมาจากจวนหลูหลิง วิธีการร้องของพวกเขาค่อนข้างแปลก แต่ก็ไพเราะมาก”
เหลียงหงจวงเอ่ยต่อ “ได้ยินมาว่าเป็นวิธีการร้องที่เผยแพร่มาจากทางด้านต้าซีโจว ก็ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่จริง”
บรรดาบุคคลระดับสูงในเมืองสวินหยาง มองดูท่าทางของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง โดยเฉพาะคนหลัง ไม่นานก็คาดเดาสถานะของพวกเขาได้แล้ว
โถชาหก เก้าอี้ระเนระนาด
ภายใต้การนำของมหามุขนายกเมืองสวินหยาง ผู้คนต่างก็ถวายความคำนับ
เฉินฉางเซิงผายมือเพื่อให้พวกเขาลุกขึ้น แต่กลับไม่มีใครเอ่ยวาจากับพวกเขาเลย ดังนั้นผู้คนทำได้เพียงทำความเคารพอยู่ข้างๆ ไม่กล้าออกเสียง
“นี่ก็คือเรื่องสิบกว่าปีมาแล้ว จวนเหลียงมีคนเสียชีวิตนับไม่ถ้วน บิดาเองก็สิ้นแล้ว บุตรคนโตก็หนีออกจากบ้านไป วันคืนเหล่านั้นข้าลำบากนัก ราชสำนักไม่ชื่นชอบในตระกูลข้า แน่นอนว่าต้องไม่มีผู้ใดชื่นชอบข้า ยามนี้ไม่มีผู้อาวุโสคอยปกป้อง ผู้ใดยังเกรงใจข้าอีกเล่า ยามที่ขมขื่นที่สุด แม้แต่ข้าวยังไม่มีทาน ในใจคิดแค่หาวิธีเลี้ยงตัวเอง บิดาชื่นชอบฟังเพลง ข้าเองก็ชอบฟัง คุ้นเคยในวิชาชีพเหล่านี้มาก ดังนั้นจึงเลือกเดินทางสายนี้ ในตอนนี้ไม่เลือกก็ไม่ได้ พวกท่านไปจวนอ๋องมาแล้วหรือ ในตอนนั้นแม้แต่จวนอ๋องยังถูกยึด…”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเหลียงหงจวง บรรดาคนใหญ่คนโตในเมืองสวินหยางต่างก็สีหน้าเปลี่ยนไป ในใจคิดว่าคืนนี้เกิดเรื่องแล้วหรือ
ต่อมาเหลียงหงจวงกลับเงียบไปนาน
เดิมทีเขายังมีคำพูดมากมายอยากเอ่ย
เมื่อเกิดเรื่องตอนนั้น คนที่แย่งชิงอำนาจและเงินทองของจวนเหลียงอ๋องต่างก็อยู่เบื้องหน้า ก็คือคนใหญ่คนโตเหล่านี้ในเมืองสวินหยาง
หากมิใช่เพราะเหลียงหวังซุนความสามารถโดดเด่น อายุยังน้อยก็กลายเป็นผู้แข็งแกร่งบนประกาศเซียวเหยา ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับในวัง คนเหล่านี้จะยอมก้มหัวยอมแพ้ได้อย่างไร ต่อให้เป็นอย่างนี้ คนเหล่านี้ยังอาศัยการเฝ้าระวังของราชสำนักต่อจวนเหลียงอ๋องและอำนาจของตระกูลเทียนไห่ ในการปราบปรามจวนเหลียงอ๋องจนไม่อาจตอบโต้
คนที่ยึดครองจวนเหลียงอ๋องจริงๆ มิใช่คนเหล่านี้ สำหรับคนเหล่านี้แล้ว การกลืนกินยึดอำนาจแบบนั้นมันน่าเกลียดเกินไป
เมื่อย้อนรำลึกถึงภาพความวุ่นวายเมื่อสามปีก่อนนั้น เหลียงหงจวงก็ถอนหายใจหนึ่งที
เขาหยิบกล่องจากแขนเสื้อแล้วโยนมันออกไป
กล่องดังกล่าวเป็นสมบัติของจวนเหลียงอ๋องถึงครึ่งหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้เป็นค่าใช้จ่ายทางการทหารได้
“ข้าต้องการสุรา”
เหลียงหงจวงจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน หญิงสาวคนหนึ่งก็ยกถ้วยสุราเดินขึ้นไปบนเวที ด้วยท่าทีร้อนรน
เหลียงหงจวงรับมาพร้อมกับดื่มหมดไปในอึกเดียว ก่อนนำถ้วยสุราโยนลงพื้น เกิดเสียงดัง เพล้ง ถ้วยแตกละเอียดทันที
เขาเอียงคอมองท้องฟ้า การดูแคลนและความอดสูช่างพูดไม่ออก เขาเดินลงเวทีไป พลางเตะรองเท้าปักลายเมฆทิ้งไป โยนผ้าคลุมผมออก เดินเข้าไปในรัตติกาล
หญิงสาวผู้นั้นรีบร้อนตะโกนออกไป “คุณชายสามจะไปยังใดกันเจ้าคะ”