เซวียเหอตื่นเต้นมาก มิใช่เพราะเรื่องที่เฉินฉางเซิงทำให้ตนหลุดพ้นจากความทรมานและฟื้นคืนกลับมา แต่รู้สึกซาบซึ้งที่เขาเก็บศพพี่ใหญ่และเข้าร่วมพิธีรำลึก ทั้งยังดูแลฮูหยินที่เป็นม่ายและหลานชายหลานสาว นอกจากนี้ยังพิทักษ์รักษาที่ตอนเหนือและตอนใต้ของเมืองชงโจว…ผ่านไปหลายปี ค่ายกองทัพชงโจวได้ฟื้นฟูความรุ่งเรืองกลับมาเหมือนยุคที่เซวียสิ่งชวนอยู่ นอกจากด่านยงหลานและด่านยงเสวี่ยแล้ว ค่ายกองทัพชงโจวยังถูกขนานนามว่าเป็นค่ายทหารที่สำคัญที่สุดในราชวงศ์โจวอันยิ่งใหญ่ เพราะเขาได้รับความช่วยเหลือจากลูกน้องเก่าเหล่านั้น
เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถอะ”
เซวียเหอรู้จักนิสัยใจคอเขาดี จึงลุกขึ้นพลางส่งสัญญาณให้ฮูหยินของเขาจากไปพร้อมกับเด็กๆ
ก่อนจะจากไป ฮูหยินเล็กเซวียเหลือบมองเขาอย่างประหม่า คิดในใจว่าไม่จำเป็นต้องเตรียมอาหารหรือ นักปราชญผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองจะไม่เคืองหรือ
เซวียเหอมิได้สนใจถึงการแสดงออกของฮูหยินของเขา ความสนใจทั้งหมดของเขาพุ่งไปยังกิเลนเมฆาอัคคีที่เฉินฉางเซิงนำมา
“มีคนให้ข้านำมันมาให้กับเจ้า หวังว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เจ้าจะสามารถขี่มันบุกสังหารเข้าไปในเมืองเสวี่ยเหล่าได้”
เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “ในวันนั้น ข้าคิดว่าท่านขุนพลเทพเซวียสิ่งชวนจะต้องมีความสุขมากแน่”
เซวียเหอรับบังเหียนมาก่อนกล่าวว่า “ท่านวางใจเถอะ ข้าจะดูแลมันอย่างดีแน่นอน”
กิเลนเมฆาอัคคีมีสติปัญญายอดเยี่ยม มันจำได้ว่าเขาคือใคร มันก้มหัวลงสัมผัสไปยังแก้มของเขาเบาๆ
เซวียเหอรู้สึกซาบซึ้งใจนัก เขาคิดว่ากิเลนเมฆาอัคคีน่าจะถูกฮ่องเต้ขอร้องให้ใต้เท้าสังฆราชเป็นผู้นำมา ยิ่งทำให้จิตใจไม่สงบอยู่บ้าง
เขากล่าวกับเฉินฉางเซิงอย่างจริงจังว่า “ข้ารู้แค่ว่าท่านประทานมันให้กับข้า”
ประโยคนี้มีเพียงความหมายเดียว นั่นก็คือมีเพียงความภักดี
เขาให้คนในครอบครัวของเขาออกมาและโขกศีรษะคารวะ ทักทายกับเฉินฉางเซิงก็มีความหมายเช่นนี้
แม้ว่าฝ่าบาทฮ่องเต้จะแต่งตั้งให้เขาเป็นขุนพลเทพแห่งกองทัพชงโจว แต่เขาก็รู้ดีว่าใครคือผู้มีพระคุณที่แท้จริงต่อตระกูลเซวีย
ตระกูลเซวีย เป็นผู้ภักดีต่อเฉินฉางเซิง
ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเซวียในชงโจว หรือตระกูลเซวียบนถนนไท่ผิงในเมืองหลวง
ตราบใดที่ตระกูลเซวียยังคงอยู่ ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ กองทัพชงโจวจะติดตามพระราชวังหลีเท่านั้น
แม้ว่าในอนาคตระหว่างราชสำนักและสำนักฝึกหลวงจะเกิดข้อพิพาทขึ้นอีก เขาพร้อมกับกองกำลังนับหมื่นก็ไม่ลังเลที่จะยืนอยู่ข้างหลังเฉินฉางเซิง
แม้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าดูแล้ว ฝ่าบาทและใต้เท้าสังฆราชจะมีความผูกพันที่ลึกซึ้ง ความเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องมีมากมายกว่าพี่น้องทางสายเลือดนัก แทบจะไม่มีทางเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ได้ แต่…ใครเล่าจะรู้ว่าอนาคตจะเกิดสิ่งใดขึ้น เมื่อครั้งจักรพรรดิไท่จู่ได้นำทัพออกจากเมืองเทียนเหลียง ท่านอ๋องหนุ่มเหล่านั้นจะสามารถจินตนาการได้หรือไม่ว่าไม่กี่สิบปีหลังจากนั้นสวนร้อยหญ้าจะเกิดการนองเลือดมากมายเพียงนั้น
เฉินฉางเซิงรู้ว่าเซวียเหอเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว ก่อนเอ่ยว่า “นี่น่าจะเป็นเจตนาของทางลั่วหยางฝั่งนั้น”
หลังจากได้ฟังประโยคนี้แล้ว เซวียเหอก็เงียบไปนาน
ลั่วหยางซึ่งเป็นเมืองหลวงทางตะวันออกเงียบสงบอยู่นานหลายปี โดยไม่ส่งเสียงใดๆ แต่ยังมีสายตามากมายจับจ้องดูที่นั่นอยู่
เพราะเหตุอันใดหรือ แน่นอนว่าเป็นเพราะมีอารามฉางชุนอยู่ที่นั่น
ตอนนี้คนทั่วหล้าเมื่อพูดถึงลั่วหยาง หากไม่มีการกล่าวอันใดเพิ่มเติมอีก นั่นก็หมายถึงอารามฉางชุน กล่าวถึงนักพรตอาวุโสท่านนั้นที่อยู่ในอารามฉางชุน
ถ้าหากกิเลนเมฆาอัคคีถูกส่งมาจากอารามฉางชุนแห่งลั่วหยาง เช่นนั้นเจตนาก็ชัดเจนอย่างมากโดยปริยาย
“ท้ายที่สุดแล้วข้ามิกล้ามีความแค้นในใจอีกแล้ว”
ชั่วขณะที่พูดประโยคนี้ ความเร็วในการพูดของเซวียเหอนั้นช้ามาก แต่น้ำเสียงของเขานั่นแสดงถึงความตั้งใจอย่างยิ่ง
ตอนนี้เขาได้ตัดสินใจแล้ว เขามิได้ต้องการให้ใต้เท้าสังฆราชคิดว่าตนเองยังมีอะไรในใจอีก
แม้ว่าการพูดประโยคนี้ออกไปจะทำให้เขาไม่มีความสุขมากนัก หรือเรียกว่าไม่เต็มใจนักก็ตาม
“ไม่ว่าจะคิดสิ่งใดก็ล้วนเป็นเรื่องที่ผู้ใดก็ควบคุมไม่ได้ทั้งนั้น ทั้งความรักและความเกลียดชังล้วนปรากฏ ยิ่งกว่านั้นเมื่อท่านมีเหตุผลที่จะเกลียด เช่นนั้นใครเล่าจะมีคุณสมบัติพอที่จะห้ามมิให้ท่านเกลียดได้”
เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “แต่ก่อนที่เราจะโค่นเมืองเสวี่ยเหล่า พวกเราอาจจะต้องลืมคนเหล่านั้นชั่วคราวเสียก่อน”
ในสงครามครั้งนี้ กองทัพชงโจวที่นำทัพโดยเซวียเหอจะเป็นกองกำลังหลักอย่างแน่นอน
คนในลั่วหยางท่านนั้นที่คืนกิเลนเมฆาอัคคีแก่เซวียเหอ เขามิได้กล่าวสิ่งใดแต่มีความหมายลึกซึ้งยิ่งนัก
ความหมายดังเช่นที่เฉินฉางเซิงกล่าว
……
……
เมื่อสีแห่งพลบค่ำเริ่มเข้มขึ้น เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงไม่ได้อยู่ในจวนขุนพลเทพต่อเพื่อรับประทานอาหารค่ำ แต่เลือกที่จะออกเดินทางทันที
บัดนี้พวกเขาทั้งสองคนจำเป็นต้องโดยสารไปบนกระเรียนตัวเดียวกัน
เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นแล้วหลายครั้งในอดีตที่ผ่านมา และนกกระเรียนขาวก็เคยชินกับเรื่องนี้มานานแล้ว แต่มันก็สามารถตระหนักได้ถึงความแตกต่างในสถานการณ์วันนี้
สีพลบค่ำนั้นแผ่ขยายกว้างใหญ่ ความรกร้างยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด
สวีโหย่วหรงมองไปยังทิวทัศน์อย่างตั้งใจ เฉินฉางเซิงพูดกับนางสี่ถึงห้าประโยค นางจึงจะตอบกลับมาสักหนึ่งประโยค ดูแล้วมีความเย็นชาอยู่เล็กน้อย
นกกระเรียนขาวนึกถึงประโยคที่เซียวจางเคยพูดไว้ ในใจคิดว่า หรือระหว่างทั้งสองท่านนี้จะมีปัญหาอะไรจริงๆ
แม้ว่าเฉินฉางเซิงจะมีความรู้สึกช้าเช่นไร แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงความเฉยเมยของสวีโหย่วหรงนานแล้ว และรู้ว่าต้องมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นแล้วจริงๆ
ปัญหาคือเขาก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นปัญหา ปัญหาเริ่มมาจากไหน แม้จะอยากถามนางแต่ก็ไม่รู้ว่าเขาควรถามนางจากตรงไหน
ลมหนาวที่ตีมาปะทะใบหน้า ไม่สามารถทำให้เขามีสติขึ้นเลย แต่กลับยิ่งทำให้เขาสับสนมากขึ้น
นกกระเรียนขาวบินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ผ่านไปไม่นานก็เข้าสู่เมืองเทียนเหลียง
เมื่อมองไปยังทิวทัศน์รกร้างที่คุ้นเคยเบื้องล่าง และเมืองที่คุ้นเคยเบื้องหน้าแล้ว เฉินฉางเซิงก็นึกถึงฉากที่เขาได้หนีไปกับซูหลี อดไม่ได้ที่จะรำลึกถึง
ตามคำแนะนำของเขานกกระเรียนขาวร่อนลงที่ป่านอกเมือง ชั่วขณะที่กำลังร่อนลงมาจากท้องฟ้านั้น เฉินฉางเซิงก็สังเกตเห็นจวนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไร้ผู้คน ประตูใหญ่นั้นปิดอยู่ อดไม่ได้ที่จะจนใจ คิดในใจว่าหรือแท้จริงแล้วเหลียงหวังซุนจากไปแล้ว แล้วเหตุใดในจวนจึงไม่มีใครเลยสักคน
นกกระเรียนขาวบินไปในรัตติกาล เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงเดินออกมาจากป่าทึบข้างถนนหลวง
เมืองสวินหยางนับว่าเป็นเมืองโบราณแห่งหนึ่ง แต่ประตูเมืองทางทิศใต้ยังดูใหม่อยู่เล็กน้อย อย่างน้อยก็ไม่ได้โบราณมากนัก
“ปีนั้นอาจารย์ของเจ้าเป็นผู้ระเบิดประตูเมืองนี้ออก กวนซิงเค่อและจูลั่วโดนลูกหลงไปด้วยอย่างแรง”
เฉินฉางเซิงยังคงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น รู้สึกละอายใจเล็กน้อยที่เขาไม่เก่งเรื่องเล่าเรื่องนัก คิดในใจว่ามันจะน่าตื่นตาตื่นใจกว่านี้หากเขาเปลี่ยนให้ถังซานสือลิ่วมาเล่าแทน
เรื่องราวของค่ำคืนแห่งมรสุมในเมืองสวินหยางได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งดินแดน สวีโหย่วหรงทราบรายละเอียดทั้งหมดมานานแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เฉินฉางเซิงอธิบาย
เมื่อมองไปยังประตูเมือง ก็นึกถึงอาจารย์ รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง
เฉินฉางเซิงโล่งใจเล็กน้อย คิดในใจว่าจริงๆ แล้วการจัดเตรียมนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว
เมื่อเดินเข้าไปในเมืองสวินหยาง พวกเขาก็ตรงไปยังจวนเหลียงอ๋อง
ประตูใหญ่ของจวนเหลียงอ๋องปิดสนิท
พวกเขาใช้จิตสัมผัสกวาดมอง เพื่อต้องการมั่นใจว่าด้านในนั้นไม่มีผู้ใด
เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงสบตากันด้วยความงงงวย ในใจสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นในจวนกัน เหตุใดเหลียงหวังซุนจึงขับไล่คนรับใช้ในบ้านออกทั้งหมด