ภาค 11 คุนหลุนกลาง กว่างเฉิงบูรพา บทที่ 1053 ผู้นำของประมุขทั้งสิบ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

บุรุษอาภรณ์เหลืองผู้หนึ่งด้านหลังหวังเจิ้งเฉิงขานรับ “ขอรับท่านอาจารย์”

หลังจากเว้นวรรคเล็กน้อย บุรุษผู้นี้ก็พูดว่า “แต่หลังจากผ่านสงครามบนทะเลหวงเจียแล้ว ศิษย์เกรงว่าเขาจะสูญเสียความกล้า ไม่เอ่ยถึงว่าเยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋สองพ่อลูกมีพลังแข็งแกร่ง ต่อให้พวกเขาเป็นคนธรรมดา ทางกษัตริย์กระบี่…”

หวังเจิ้งเฉิงไม่ได้ไม่รู้สึกไม่พอใจต่อความลังเลของผู้เป็นศิษย์ “คนอื่นๆ ไม่ต้องกล่าวถึง แต่เขาจะต้องสนใจแน่ ลูกศิษย์ของจักรพรรดิเจิดจรัสเป็นบิดาของกระเรียนหิมะนั่น ในอดีตตายด้วยน้ำมือของเขา พ่อลูกตระกูลเยี่ยนกับกษัตริย์กระบี่ไม่ทราบ กระเรียนหิมะผู้นั้นกลับทราบ ตอนนี้ยังเป็นแค่ความขัดแย้ง แต่รอกระเรียนหิมะได้พบกับครอบครัว มันจะต้องกลายเป็นแค้นตายแล้ว”

เขาเฉิงถอนใจคำหนึ่ง “ในตอนนั้นถึงแม้จะฆ่าโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เรื่องนี้จะต้องมีผลลัพธ์ เขาจำเป็นต้องป้องกันไว้”

บุรุษอาภรณ์เหลืองเข้าใจ “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง”

หวังเจิ้งเฉิงว่า “ไปเถอะ เขาเป็นคนระวังตัว ไม่มีทางทำข่าวหลุด เพียงแต่ว่าจะขัดขวางไม่ให้กระเรียนหิมะนั่นพบเจอพ่อลูกตระกูลเยี่ยนได้หรือไม่ แผนอยู่ที่คน ผลอยู่ที่ฟ้าแล้ว”

ฝ่ายลูกศิษย์ขานรับ พร้อมทั้งโน้มกายบอกลา “ขอรับท่านอาจารย์ ศิษย์จะออกเดินทางทันที”

สายตาของหวังเจิ้งเฉิงยังคงมองไปยังทางตะวันออกเฉียงใต้ ครู่ต่อมาค่อยถอนใจเบาๆ “สองฝ่ายนี้เกี่ยวข้องกัน…”

กลับไม่มีใครล่วงรู้ว่า เขารำพึงว่ากษัตริย์กระบี่เกี่ยวข้องกับเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยนตี๋ หรือรำพึงว่าเยี่ยนจ้าวเกอสองพ่อลูกเกี่ยวข้องกับเสวี่ยชูฉิง

ณ ทะเลแหน อาณาเขตทางใต้สุดของทะเลหวงเจียบนเขตตะวันอาคเนย์

ที่นั่นมีคลื่นสีมรกตกว้างใหญ่ไพศาล แต่ว่าผิวทะเลกลับเหมือนน้ำนิ่ง ไม่เห็นระลอกคลื่นแม้แต่น้อย

แหนกระจายอยู่บนผิวทะเล ทำให้ที่นี่มองไปดูเหมือนบึงโคลนผืนหนึ่ง

ทันใดนั้นพลันมีเงาคนสายหนึ่งพุ่งผ่านทะเล

ผู้มามีองคาพยพองอาจ มุมปากประดับด้วยรอยยิ้ม ทำให้ผู้คนรู้สึกใกล้ชิด ดุจดั่งลมวสันต์ฤดู เขามีท่วงท่าสง่างาม พิจารณาดูแล้วไม่มีจุดที่จับผิดได้แม้แต่น้อย

เป็นคุณชายดิน เฉินคุนหัว

เขาที่เข้าร่วมพิธีเปิดสำนักของเขากว่างเฉิง ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ บนที่นั่ง เพียงมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างพิธีเงียบๆ เหมือนแขกคนอื่น

หลังพิธีจบลง ก็บอกลาพร้อมกับคนส่วนใหญ่ ไม่มีความผิดปกติแม้แต่น้อย

บุญคุณความแค้นระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอ เซี่ยกวง และเขาสามขา สำหรับคนที่เกี่ยวข้องกับเขาสามขาเช่นเฉินคุนหัวแล้ว กลับไม่มีความหมายใด

มีคนส่วนหนึ่งคิดว่า คุณชายดินถูกพลังอันแข็งกล้าของเขากว่างเฉิงข่มขวัญ ดังนั้นต่อให้ตอนแรกมีความคิดอะไรก็ไม่ได้ลงมือวู่วาม

ถึงอย่างไรแม้เฉินคุนหัวจะเป็นยอดฝีมืออายุน้อยที่มีชื่อเสียงบนโลกซ้อนโลก ทว่าก็เทียบกับประมุขไม่ได้ ยิ่งอย่าว่าแต่จักรพรรดิเอกภพกำเนิดเลย

แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ก็ยังคว้าน้ำเหลวเพราะเขากว่างเฉิง จวงเซินประมุขทักษิณต้องสังเวยชีวิต เฉินคุนหัวรักษาความเงียบขรึม รู้สึกสมเหตุสมผล ไม่ได้รู้สึกว่าน่าหัวเราะเยาะแต่ประการใด

บางทีถ้าประมุขทิศบนเฉินเฉียนหัว พี่ชายของเขามา เรื่องราวอาจจะมีความน่ากังวลกว่านี้

ทว่าหลังจากจักรพรรดินี รวมถึงพวกเนี่ยจิงเสิน ไป๋เทา และหวังผู่ปรากฏตัว พร้อมกับเผยว่าตระกูลเยี่ยนเกี่ยวข้องกับกษัตริย์กระบี่ ทุกคนต่างรู้สึกว่าต่อให้ประมุขทิศบนมา ก็เกรงว่าจะแก้ไขผลลัพธ์สุดท้ายไม่ได้

คุณชายดินยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว

ถึงขั้นที่มีคนรู้สึกว่า เฉินคุนหัวน่าจะกำลังคิดว่าผูกมิตรกับเขากว่างเฉิงไว้ดีกว่า และจะปรับปรุงความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นอย่างไรได้บ้าง ดังนั้นการแสดงออกของเขาในระหว่างพิธีจึงปกติเป็นอย่างยิ่งในสายตาของพวกเขา แต่ว่าหลังจากพิธีจบลง เขาที่ทำตัวปกติมาโดยตลอด กลับผิดปกติไปเล็กน้อย

เขาไม่ได้ขึ้นเหนือเพื่อกลับเขตมหานภากลาง แต่กลับลงใต้มาถึงบริเวณทะเลแหนซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเขตตะวันอาคเนย์

ต่อให้เฉินคุนหัวมีพลังฝึกปรือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้้นแปด ก็ไม่กล้าเหยียบโดนแหนที่อยู่ด้านล่าง เพราะเพียงแค่มีขนห่านตกลงไปน้ำของทะเลแหน มันก็จะจมลงไปในชั่วอึดใจ แม้จะเล็กราวกับเม็ดผักกาดหรือฝุ่น ก็ไม่มีทางรอดไปได้

เฉินคุนหัวบินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตรงหน้าปรากฏเกาะขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง จึงค่อยเหาะลงไป

สถานที่แห่งนี้เป็นที่อยู่ของเกาะสุมมรกต สำนักใหญ่ในทะเลแหน ซึ่งนับว่าเป็นขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนทะเลแหน ผู้ปกครองเกาะมีพลังฝึกปรืออยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปด เป็นผู้ทรงอำนาจคนหนึ่งของเขตตะวันอาคเนย์

บนเกาะสุมมรกตมีผู้คนมากมาย ยอดฝีมือดุจหมู่เมฆ แม้จะอยู่ในทะเลแหน แต่ก็ไม่เคยละวางการป้องกัน ภายนอกดูสบายๆ ภายในมีการเฝ้าระวังแน่นหนา

เพียงแต่เฉินคุนหัวไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านี้

กระนั้นพอเขามาถึง จอมยุทธ์บนเกาะสุมมรกตก็เหมือนกับมองไม่เห็น ไม่พบการดำรงอยู่ของเขาแต่อย่างใด

ถ้าหากคนที่คุ้นเคยกับสถานการณ์ของเกาะสุมมรกตเห็นเหตุการณ์นี้ จะต้องรู้สึกประหลาดใจ

เพราะว่าจอมยุทธ์ที่มีพลังฝึกปรือสูงสุดที่สุดบนเกาะ ในปัจจุบันมีมีแค่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดง กลับไม่เห็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนสามคน ซึ่งเป็นผู้คุมหางเสือที่แท้จริงของสำนัก

เฉินคุนหัวไม่รู้สึกประหลาดใจ ตัดทะลุที่อยู่อาศัย มาถึงด้านหลังเกาะเกาะสุมมรกต ที่นี่เป็นที่ที่ยอดฝีมือระดับสุดยอดของเกาะสุมมรกตเข้าฌาน เขาเปิดนิวาสสถานที่ถูกปิดผนึกแห่งหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปราวกับคุ้นเคยเป็นอย่างดี

เพียงแต่หลังจากเข้ามาแล้ว เฉินคุนหัวก็ไม่ได้ทำตัวสบายๆ เช่นเดิมอีก กลับปลุกปลอบสมาธิขึ้นมาสิบสองส่วน เพราะต่อจากนี้เขาจะต้องไปเจอคนผู้หนึ่ง

แม้จะเคารพเพียงใด แต่ถ้าหากทำได้ เฉินคุนหัวไม่อยากจะพูดคุยกับคนคนนั้นจริงๆ…ต่อให้พวกเขาจะโตขึ้นมาด้วยกันก็ตาม และต่อให้ที่หลายปีมานี้เขาจะเคลื่อนไหวบนโลกซ้อนโลกได้สะดวก อย่างน้อยครึ่งหนึ่งเป็นเพราะว่าคนผู้นั้นก็ตาม

หากแต่ครั้งนี้กลับจำเป็นต้องเข้าพบแล้ว

พอถึงส่วนลึกของนิวาสสถาน ด้านในก็มีเสียงที่เต็มไปด้วยตัณหาดังมา

เฉินเฉียนหัวคุ้นเคยกับเสียงนี้ดี ทราบว่าเป็นเสียงของบุรุษสตรีที่ร่วมรักกัน

หลังจากผ่านระเบียงมาถึงห้องสงบใจที่อยู่ส่วนลึกของนิวาสสถาน ตรงหน้าของเฉินคุนหัวก็สว่างขึ้นมา

ด้านในห้องสงบใจวางโต๊ะศิลากับม้านั่งศิลาไว้ง่ายๆ นอกจากนี้มีเก้าอี้ไม้โบราณที่ไม่ใช่ของของที่นี่ แต่ถูกนำเข้ามาจากด้านนอกอยู่ด้วยตัวหนึ่ง

บุรุษคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้โบราณ พิงพนักพิงอย่างเกียจคร้าน ท่าทางเหมือนไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่าง

เขาเป็นคนหนุ่มที่ดูมีอายุราวๆ ยี่สิบปี สวมอาภรณ์สีม่วง ใบหน้าดูคล้ายกับคุณชายดินเฉินคุนหัวอยู่หลายส่วน เป็นประมุขทิศบนเฉินเฉียนหัว ผู้เป็นอันดับหนึ่งในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ของโลกซ้อนโลกในปัจจุบัน

ทว่าคุณชายฟ้าที่เป็นผู้นำของประมุขทั้งสิบผู้นี้ กลับดูหมดอาลัยตายอยาก แต่งตัวปอนๆ ใบหน้าแม้จะนับว่าองอาจ แต่ก็ยังสดใสสู้เฉินคุนหัว น้องชายของเขาเองไม่ได้

เพียงแต่ในตอนนี้คุณชายดินที่ร่าเริงยืนกุมมืออยู่ใกล้ๆ อย่างว่าง่าย

เสียงแห่งตัณหาที่ล่อลวงจิตใจคน ทำให้ผู้คนเกิดจินตนาการ ยังคงดังมาจากห้องข้างๆ ไม่ขาดหู เมื่อฟังดูอย่างละเอียด กลับพบว่าไม่ว่าจะเป็นเสียงบุรุษหรือสตรี ในความหรรษาขั้นสุดยอดนี้แทรกด้วยความอึดอัด ความเจ็บปวด หรือกระทั่งความเดือดดาล

บุรุษอาภารณ์ม่วงไม่นำพาโดยสิ้นเชิง ยามนี้ในที่สุดก็หันมามองน้องชายของตัวเอง ถามอย่างเกียจคร้านว่า “กลับมาแล้วหรือ”

เขาใช้หางตามองคน ราวกับว่าทุกคนติดหนี้เขาหลายร้อยตำลึง

เฉินคุนหัวตอบอย่างจริงจัง “ขอรับท่านพี่”

“รอไปก่อนก็แล้วกัน เรื่องทางข้าใกล้จะจบแล้ว ถ้าหากว่าคราวนี้ยังไม่ได้ผลอีก ข้าก็ไม่คิดจะตามหาจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าต่อแล้ว” คนหนุ่มอาภรณ์ม่วงโบกมือ

เฉินคุนหัวโน้มตัวเล็กน้อย ยืนอยู่กับที่ รอเป็นเพื่อนคนหนุ่มอาภรณ์ม่วงผู้นั้น

………………..