บทที่ 2048 ศึกที่สร้างผลงานความสำเร็จ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

การบัญชาการของกำลังพลสายตระกูลผังเดิมทีก็ตั้งใจจะเปิดช่องโหว่อยู่แล้ว ทัพใหญ่ร่วมมือกันไม่ออกแรง เรียกได้ว่าโดนโจมตีทัพแตกคาที่

ซิงปะปนอยู่ในทัพใหญ่ที่บุกไปข้างหน้า นางเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน พบว่าการบาดเจ็บล้มตายของเผ่าอสรพิษดำในปีนั้นไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย ลองสุ่มนับการบาดเจ็บล้มตายของที่นี่ก็พรวดพราดไปถึงแสนแล้ว นางพบว่านักพรตมนุษย์ไม่ได้อำมหิตต่อเผ่าอสรพิษดำอย่างเดียว มนุษย์อำมหิตกับมนุษย์ด้วยกันเองยิ่งกว่า

ฮูเหยียนหลุนเต๋อ แม่ทัพของทัพฝ่ายศัตรูตกใจ บอกว่าทำหลอกๆ ไม่ใช่เหรอ?

กระทั่งเห็นทัพใหญ่แดนรัตติกาลปะทะแล้วสังหารฝ่าไป ไม่พัวพันใดๆ ถึงได้แน่ใจว่าแกล้งทำจริงๆ แต่พลังรบที่ห้าวหาญไม่กลัวตายของทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่เห็นกับตาเมื่อครู่นี้กลับเป็นของจริง โชคดีที่แกล้งทำเฉยๆ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าฝั่งนี้คงบาดเจ็บล้มตายยับเยิน

“แม่ทัพใหญ่ ว่ากันว่าหนิวโหย่วเต๋อเชี่ยวชาญการรบ วันนี้ได้เห็นกับตา สมคำร่ำลือจริงๆ ด้วย!” แม่ทัพที่อยู่ข้างๆ กล่าวอย่างตกใจไม่เบา

“พูดมากอะไรกัน!” ฮูเหยียนหลุนเต๋อโบกมือ “ตาม!”

ท่านจอมพลสั่งมาแล้วว่าให้เห็นละครให้สมบูรณ์ เบื้องล่างไม่รู้ความจริง แต่เขากลับรู้อยู่แก่ใจ

กำลังพลเกือบร้อยล้านที่ถูกตีกระจัดกระจายถูกเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์ แล้วรีบตามหลังทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่เก็บกำลังพลแล้วเช่นกัน ตามติดไม่ปล่อย

เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วสั่งให้ฝ่ายตัวเองเร่งเดินทางต่อไป ไม่ต้องสนใจว่าจะพัวพันกัน จากนั้นหันตัวนำพวกเหิงอู๋เต้าเข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของซิงอีกครั้ง

พอเข้ามาในกระเป๋าสัตว์ เหมียวอี้ก็ติดต่อฮ่าวเต๋อฟางทันที ให้เขาระดมพลสายมะเส็งมาช่วยสกัดกำลังพลที่ตามหลังมา

เขาไม่กลัวกำลังพลที่ไล่ตามมาข้างหลัง แต่ไม่อยากพัวพันด้วย ที่สำคัญกว่านั้นก็คืออยากจะถ่วงกำลังพลส่วนหนึ่งของตระกูลฮ่าวเอาไว้ จะได้ไม่เกิดเหตุไม่คาดคิด ช่วงชิงเวลาให้แผนการในตอนหลัง

เมื่อรู้ว่าทัพใหญ่ห้าสิบล้านของแดนรัตติกาลโจมตีกำลังพลสายตระกูลผังแตกไปเกือบร้อยล้าน พลังรบนี้ก็ทำให้ฮ่าวเต๋อฟางตกใจอีกครั้ง ค้นพบอย่างแท้จริงว่าหนิวโหย่วเต๋อที่อยู่ข้างเตียงตัวเองยิ่งใหญ่แล้ว แม้ก่อนหน้านี้จะเคยได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อนำกำลังพลบุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ รบชนะทุกศึก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นกำลังพลที่แบ่งกลุ่มกันโดนตีแตก ความหมายแตกต่างกับกำลังพลร้อยล้านที่ถูกตีแตกโดยสิ้นเชิง

ฮ่าวเต๋อฟางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า : น้องชาย อวี่เหวินชวนมีตระกูลเซี่ยโห้วก่อกวน ทั้งยังมีกำลังพลชองกบฏผังโจมตีก่อกวนเพื่อยับยั้งไว้ เกรงว่าจะมาช่วยเจ้าสกัดข้าศึกไม่ทัน!

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้ความร่วมมือเหมียวอี้ แต่เขาเดาว่าตอนนี้อวี่เหวินชวนคงเฝ้าดูสถานการณ์เฉยๆ อาจไม่ฟังคำสั่งระดมพลของเขา เขาไม่จำเป้นต้องตบหน้าตัวเอง

เหมียวอี้เหมือนโมโหแล้ว ถามว่า : ท่านอ๋อง ท่านพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? หรือว่าหนิวทำผิดที่บุกน้ำลุยไฟเพื่อท่านอ๋อง? ต่อให้ตระกูลเซี่ยโห้วกับกบฏผังจะก่อกวนแค่ไหน แต่มีหรือที่จะยับยั้งกำลังพลสายมะเส็งทั้งหมดได้? ที่อาณาเขตสายมะเส็ง จอมพลสายมะเส็งผู้สง่าผ่าเผยทำไม่ได้แม้กระทั่งสกัดกำลังพลให้ข้า คิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไง? อย่ารังแกกันเกินไปสิ!

แม้ฮ่าวเต๋อฟางจะรู้ว่าตัวเองไม่มีทางมอบอาณาเขตสายเถาะให้เหมียวอี้ง่ายๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาแตกคอกับเหมียวอี้ เหมียวอี้พูดถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็ทำได้เพียงเตือนว่า : ข้าออกคำสั่งได้ แต่ตอนนี้ข้าตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ยังเอาตัวเองไม่รอด กลัวก็แต่จะมีคนคิดไม่ซื่อ!

เหมียวอี้ย่อมรู้ถึงความลำบากของเขาอยู่แล้ว ตอนแรกที่คาดคะแนแผนการกับหยางชิ่ง ก็คาดคะเนได้แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เมื่อตระกูลเซี่ยโห้วมีท่าทีแน่วแน่ แล้วแผนการนี้สำเร็จขึ้นมา ก็ยากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เบื้องล่างถูกสถานการณ์บีบบังคับจนมีใจคิดเป็นอื่น

รู้ก็ส่วนรู้ แต่กลับเบี่ยงเบนออกจากแผนการไม่ได้ เหมียวอี้กล่าวอย่างดุดันว่า : ข้าเข้าใจความลำบากของท่านอ๋อง แต่ท่านอ๋องออกคำสั่งได้เลย อวี่เหวินชวนไม่กล้าไม่เชื่อฟังหรอก!

ฮ่าวเต๋อฟาง : เจ้ามั่นใจจริงเหรอ? น้องชาย ตอนนี้ข้าไม่กลัวเจ้าหัวเราะเยาะเช่นกัน ข้าทำได้แค่พยายามลองดูสักครั้ง!

เหมียวอี้ : ถ้าเขากล้าพูดคำว่า ‘ไม่’ คำเดียว พ่อจะเลี้ยวกำลังพลไปกำจัดอวี่เหวินชวนก่อน ให้เขาฝันลมๆ แล้งๆ หามารดาเขาไปเถอะ!

“…” ฮ่าวเต๋อฟางอึ้งเล็กน้อย พบว่าวิธีการนี้เด็ดขาดจริงๆ อวี่เหวินชวนคงไม่เชื่อฟังไม่ได้แล้ว บอกทันทีว่า : ได้!ข้าจะออกคำสั่งต่อเขา แล้วฝั่งน้องชายค่อยช่วยกดดันอีกที!

หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว ฮ่าวเต๋อฟางก็รีบหยิบระฆังดาราออกคำสั่งกับอวี่เหวินชวน ส่วนอวี่เหวินชวนจะฟังหรือไม่ฟัง ตอนนี้เขาก็ไม่มีเวลามาสนใจ ให้หนิวโหย่วเต๋อไปจัดการเอาเอง

พอเก็บระฆังดาราแล้ว ฮ่าวเต๋อฟางก็บอกซูอวิ้นที่อยู่ข้างกันว่า “ประมาทพลังรบของหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้เลย ถ้าปล่อยให้เขาเติบโตกว่านี้ก็จะเป็นภัยในวันข้างหน้า จะปล่อยให้คนอื่นมานอนกรนอยู่ข้างเตียงได้ยังไง ถ้าผ่านภัยพิบัติครั้งนี้ไปได้ ต้องกำจัดทิ้ง!”

ซูอวิ้นได้ยินแล้วพยักหน้าเบาๆ นางเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนฝั่งเหมียวอี้ หลังจากรอสักพักก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวี่เหวินชวนโดยตรง

คนที่อยู่ในตำแหน่งระดับเขา ระหว่างพวกลูกพี่ใหญ่ของตำหนักสวรรค์แทบจะสร้างช่องทางการติดต่อระหว่างกันโดยตรง ที่ให้ฮ่าวเต๋อฟางสั่งก่อนก็เพราะเขาไม่มีอำนาจบัญชาการอวี่เหวินชวน ต้องให้ฮ่าวเต๋อฟางออกคำสั่งก่อน

หลังจากเชื่อมสัญญาณติดแล้ว เหมียวอี้ก็ถามทันทีว่า : จอมพลได้รับคำสั่งจากอ๋องสวรรค์ฮ่าวหรือยัง?

อวี่เหวินชวนย่อมปฏิเสธ : ได้รับแล้ว ข้าเข้าใจเจตนาของน้องหนิว ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากไปสกัดกำลังที่ไล่ตามให้น้องหนิวหรอกนะ แต่เป็นเพราะตระกูลเซี่ยโห้วก่อกวนหนักมาก ทั้งยังมีกำลังพลของกบฏผังโจมตีก่อกวน ข้าระดมพลไม่สะดวกเลย แต่น้องหนิววางใจเถอะ ข้าจะช่วยเต็มที่แน่นอน!

คำพูดดีกับคำพูดไม่ดีก็พูดไปหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าเหลือทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง ถ้าไม่สกัดกำลังพลให้เจ้าไม่ทันก็แสดงว่ามีเหตุผล

เหมียวอี้ตะคอกอย่างโมโหทันที : อวี่เหวินชวน อย่ามาเล่นลูกไม้นี้ อย่าปฏิเสธที่ข้าไว้หน้า ใครกล้าทำงานใหญ่ของข้าพัง ข้าก็จะเด็ดหัวคนนั้น!ไม่ว่าฮ่าวเต๋อฟางหรือผังก้วนจะได้คุมอาณาเขตทัพใต้ ข้าก็ไม่เป็นไรทัง้นั้น ข้าเคลื่อนทัพใหญ่ออกจากแดนรัตติกาลแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะกลับไปมือเปล่า ไม่ว่าใครก็ทำให้ผลประโยชน์ของข้าน้อยลงไม่ได้!ภายในครึ่งชั่วยามนี้ ถ้าข้าไม่เห็นกำลังพลสายมะเส็งมาสกัดกำลังพลให้ข้า พ่อก็จะร่วมมือกับกำลังพลของกบฏผังกำจัดเจ้าซะอวี่เหวินชวน ถ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู!

พอระฆังดาราแล้วก็ไม่สนใจอีก ล้อเล่นอะไรกัน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มีหรือที่เหมียวอี้จะยอมให้สถานการณ์บิดเบือนไปจากแผนการของตัวเอง

อีกฝั่งหนึ่ง อวี่เหวินชวนที่อยู่ในดาราจักรเดี๋ยวหน้าซีดเดี๋ยวหน้าแดง เรียกได้ว่าในดวงตาฉายแววดุร้าย โดนเหมียวอี้ทิ้งคำพูดโหดๆ ไว้จนเสียหน้า เขาเรียกเหมียวอี้อย่างเกรงใจว่าน้องชาย แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ไว้หน้าเขาขนาดนี้

ทว่าเรื่องบางเรื่องก็ต้องยอมจำนนต่อความจริง ถ้ายั่วโมโหให้หนิวโหย่วเต๋อนำทัพมาปะทะจริงๆ ลดทอนกำลังพลของเขาจำนวนมาก แผนการที่เห็นแก่ตัวของเขาก็จะพังแน่นอน ที่สำคัญคือคนบ้าอย่างหนิวโหย่วเต๋อมีโอกาสทำอย่างนี้จริงๆ ก็อย่างที่หนิวโหย่วเต๋อบอก ระหว่างฮ่าวเต๋อฟางกับผังก้วน หนิวโหย่วเต๋อสามารถเลือกฝั่งได้ทุกเมื่อ มีเหตุผลเยอะกว่าเขา

พอนึกขึ้นได้ว่ากำลังพลห้าสิบล้านของหนิวโหย่วเต๋อกำจัดทัพใหญ่ร้อยล้านของตระกูลผังได้เร็วมาก พลังรบนี้ทำให้เขาต้องชั่งน้ำหนักผลที่ตามมาจากการยั่วโมโหอีกฝ่าย ว่ากันว่าผู้รู้สถานการณ์คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ พอคิดไปคิดมาก็พบว่าแค่ไปสกัดกำลังพลให้หนิวโหย่วเต๋อเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องที่สิ้นเปลืองมากมายอะไร อวี่เหวินชวนออกคำสั่งกับคนข้างๆ ด้วยใบหน้าบึ้งตึง “รีบดึงกำลังลสามสิบล้านไปสกัดทหารที่ไล่ตามทัพใหญ่แดนรัตติกาล สกัดไว้นิดหน่อยก็พอ รักษากำลังเอาไว้ ไม่ต้องสู้สุดชีวิต…”

ความชุลมุนของทัพใต้ จนป่านนี้ตรงด่านยุทธศาสตร์จากน่านฟ้าชวดอู้ไปน่านฟ้าขาลกุ่ยก็เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ที่สุด เข่นฆ่ากันดุเดือดที่สุด ย่อมดึงดูดความสนใจของบุคคลระดับสูงจากอำนาจแต่ละฝ่าย คนที่มีตากระจ่างต่างก็รู้ ว่านี่คือกุญแจสำคัญในการตัดสินแพ้ชนะของศึกนี้ อีกฝั่งบุกเข้าใส่สุดชีวิต อีกฝ่ายก็ต้านทานสุดชีวิต!

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่กำลังจ้องแผนที่ดาวเอามือลูบเครา “ฝั่งฮ่าวเต๋อฟางยังยืนหยัดไหว ตอนนี้เหลือแค่ดูว่าทัพอารักขาจะสังหารเข้ามาทันเวลาหรือเปล่า ถ้าสังหารเข้ามาทันเวลา ก็สามารถกู้สถานการณ์ให้ฮ่าวเต๋อฟางได้ ถ้ามาไม่ทันเวลา สถานการณ์ของฮ่าวเต๋อฟางก็เอาคืนไม่ได้แล้ว!”

โกวเยว่ที่อยู่ข้างๆ เก็บระฆังดารา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอ๋อง ผังก้วนระดมทัพใหญ่ร้อยล้านไปสกัดทัพใหญ่แดนรัตติกาล!”

“สถานการณ์การรบเป็นยังไง?” ก่วงลิ่งกงหันกลับมาถาม

โกวเยว่ตอบด้วยเสียงต่ำ “เปราะบางมาก!โดนหนิวโหย่วเต๋อนำทัพตีแตกในรวดเดียว สกัดทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่ไหว!ทัพใหญ่แดนรัตติกาลโจมตีโหดเกินไป กำลังพลร้อยล้านยืนหยัดได้ไม่นานก็ถูกโจมตีฝ่าไปได้แล้ว!”

“ฟืดด!” ก่วงลิ่งกงสูดหายลึกด้วยความตะลึง “กำลังพลร้อยล้านยืนหยัดได้ประเดี๋ยวเดียวก็โดนกำลังพลห้าสิบล้านตีแตกแล้วงั้นเหรอ?”

โกวเยว่พยักหน้า “สายลับที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ ส่งข่าวมา การโจมตีของทัพใหญ่แดนรัตติกาลโหดหาญเป็นพิเศษ ตอนนี้ทัพของผังก้วนที่ถูกตีแตกรีบเก็บคนแล้วไล่ตามต่อไม่หยุด หนิวโหย่วเต๋อไม่มีท่าทีจะพัวพัน เร่งมุ่งหน้าต่อไป!”

“เจ้าหมอนี่มันคิดจะทำอะไรกันแน่?” ก่วงลิ่งกงขมวดคิ้วพึมพำ แล้วจู่ๆ ก็ตาเป็นประกาย จ้องบนเข็มทิศแล้วรีบปรับแผนที่ดาว ตรวจดูเส้นทางการเดินทัพของเหมียวอี้อีกครั้ง จนกระทั่งปรับแผนที่ดาวกลับไปที่น่านฟ้าชวดอู้ เขาก็ชี้พร้อมกล่าวอย่างแน่ใจว่า “จุดมุ่งหมายของหนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่นี่ จุดประสงค์ของเขาก็คือนำทัพไปรวมกับศึกตัดสินตรงนี้!”

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทัพใหญ่ของเหมียวอยู่ไม่ห่างจากน่านฟ้าชวดอู้แล้ว ทำให้นึกเชื่อมโยงได้ง่ายมาก

โกวเยว่ก็ถูกเรียกสติแล้วเช่นกัน รีบคำนวณเส้นทางของเหมียวอี้ จากนั้นก็พยักหน้าซ้ำๆ ทันที “ไม่ผิดหรอก!ที่แท้เขาก็ใช้ทางลัดมุ่งหน้าไปทางจุดทำศึกตัดสินอย่างน่านฟ้าชวดอู้ตั้งแต่แรก มิน่าล่ะระหว่างทางเขาถึงไม่พัวพันกับใครเลย ทะลุผ่านไปผ่านมาอยู่ในอาณาเขตสามสายนี้ต่อเนื่องกัน!หรือพูดได้อีกอย่างว่า เขาตัดสินได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าน่านฟ้าชวดอู้คือจุดตัดสินแพ้ชนะ ทักษะการคาดการณ์ตัดสินสถานการณ์การรบของเจ้าเวรนี่โหดเกินไปแล้ว กันว่าเขาเชี่ยวชาญการรบ วันนี้เพิ่งจะรู้ว่าสมคำร่ำลือจริงๆ!”

“หลังจากจบเรื่องนี้ ก็จะพิสูจน์บารมีขุนพลเลื่องชื่อแห่งยุคของเขาได้แล้ว!” ก่วงลิ่งกงเอามือบีบเคราพลางกัดฟัน แล้วจู่ๆ ก็ถอนหายใจยาว “น่าเสียดายที่ความสามารถของเขาไม่ได้มีไว้ให้ข้าใช้งาน หนิวโหย่วเต๋อมีตาหามีแววไม่ นางหนูเม่ยเอ๋อร์ไม่ดีตรงไหน? ความงาม คุณสมบัติประจำตัว ฐานะ ชาติกำเนิด มีสิ่งไหนที่ไม่คู่ควรกับเขาเหรอ?”

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่ยืนอยู่หน้าแผนที่ดาวหันตัวกลับมา เหมือนไม่อยากดูอีกแล้ว เอามือไขว้หลังพลางส่ายหน้ “ร้ายกาจ!ศึกนี้เป็นศึกที่สร้างผลงานความสำเร็จของหนิวโหย่วเต๋อ ถ้าพูดถึงทักษะการบัญชาการในสนามรบ ขุนศึกในใต้หล้าก็ไม่มีใครเทียบเขาได้แล้ว!”

โค่วเจิงจ้องผนที่ดาวอย่างตะลึงงัน เงียบงันไปนานมาก หนิวโหย่วเต๋อสังหารมาตลอดทาง ไม่น่าเชื่อว่ารอจนท่านพ่อท่านท่านอาถังมองออกแล้วนิดหน่อย ตัวเองถึงได้เข้าใจกลยุทธ์ของหนิวโหย่วเต๋อ นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะคาดคะเนได้ตั้งแต่แรกแล้วว่านี่คือจุดทำศึกตัดสินระหว่างฮ่าวเต๋อฟางกับผังก้วน แบบนี้พิลึกเกินไปแล้วมั้ง?

พระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงกำหมัดทุบบนแผนที่ดาว แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “มุ่งหน้าไปยังจุดทำศึกตัดสินตลอดทาง เจ้าหมอนี่ไม่กลัวจะเกิดเหตุไม่คาดคิดระหว่างทางเชียวหรือ แน่ใจหรือว่าตัวเองจะไปทันเวลา?”

“เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้ว ว่าเหตุการณ์ไม่คาดคิดใดๆ ระหว่างทางก็ต้านเขาไม่ไหว เมื่อครู่ยังโจมตีกำลังพลร้อยล้านของผังก้วนแตกในรวดเดียว นี่ก็คือความมั่นใจในตัวเอง มั่นใจแบบมองข้ามหัววีรบุรุษทั้งใต้หล้า เดิมทีเป็นขุนพลเก่งกาจที่กองทัพองครักษ์ชุบเลี้ยงขึ้นมา แต่กลับถูกความระแวงของฝ่าบาทบีบให้เขาไปตั้งตนเป็นอิสระ!” โพ่จวินกล่าวเสียงเย็นอยู่ข้างๆ

“เขาคิดไม่ซื่อต่อเบื้องบน เจ้าดูไม่ออกเชียวหรือ?” ประมุขชิงถลึงตา

“ข้าน้อยไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะมีความคิดแบบนี้ตั้งแต่เริ่มต้น ตอนแรกเกรงว่าเขาคงไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าตัวเองจะเดินมาถึงทุกวันนี้ บางครั้งคนเราก็ถูกบีบให้ทำ!” โพ่จวินกล่าว

………………