เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตลอดช่วงที่ผ่านมานี้ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็พักอยู่ในเรือนที่ตระกูลเฟิงจัดเตรียมไว้ให้ นอกเหนือจากผู้ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันซึ่งแวะเวียนมาทักทายก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติเกิดขึ้น
เนื่องจากงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของอดีตผู้นำตระกูลเฟิงใกล้จะมาถึง ในฐานะหลานชาย เป็นธรรมดาที่เฟิงหว่านหลี่จะยุ่งวุ่นวายกับการจัดการดูแลสิ่งต่าง ๆ และไม่มีเวลาว่างออกมาพบกับพวกนาง
หลินหว่านหว่านและเฟิงชิงหลิงก็แวะเวียนมาที่นี่สองถึงสามครั้งและพูดคุยกับฉินอวี้โม่เกี่ยวกับบุตรน้อยทั้งสอง
ในเวลาเพียงสามวัน ฉินอวี้โม่และหลินหว่านหว่านพัฒนาความสัมพันธ์จนสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น ราวกับเป็นพี่น้องกันก็ว่าได้
เฟิงชิงหลิงก็รู้สึกชื่นชอบท่านน้าผู้นี้ยิ่งนัก ทุกคราที่มาที่นี่ นางมักจะโผเข้าไปกอดและเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของฉินอวี้โม่โดยที่ไม่ยอมปล่อยออกไป
หลินหว่านหว่านเคยหยอกเย้าฉินอวี้โม่และเสนอที่จะให้เฟิงชิงหลิงหมั้นหมายกับฉินอ้ายฉือเป็นการล่วงหน้า ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ทว่านางก็ต้องการปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปตามโชคชะตา หากในอนาคตทั้งสองชอบพอกันหรือต้องการสานสัมพันธ์และครองคู่กัน นางก็ย่อมยินดีเป็นอย่างมาก
ในเช้าตรู่ของวันนี้ หลินหว่านหว่านก็พาเฟิงชิงหลิงมาพบกับฉินอวี้โม่อีกคราพร้อมด้วยเฟิงหว่านหลี่ซึ่งนางไม่ได้พบหน้าตลอดสามวันที่ผ่านมา
“อวี้โม่ ท่านลุง ท่านป้าและเจ้าตัวน้อยทั้งสองคงจะใกล้มาถึงแล้ว เราไปรอพวกเขาที่ศาลานอกตัวเมืองกันเถอะ”
ในเวลานี้ เฟิงชิงหลิงตรงเข้าไปเกาะแขนฉินอวี้โม่ไว้แน่นเช่นเคย หลินหว่านหว่านก็เพียงมองบุตรสาวด้วยความเอ็นดูและกล่าวกับฉินอวี้โม่
“เจ้าค่ะ”
เพียงนึกถึงบุตรน้อยทั้งสองที่พลัดพรากจากกันมานาน ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม นางเลือกที่จะไม่ใช้อุปกรณ์สื่อสารเพื่อติดต่อกับทั้งสองก่อนเนื่องจากต้องการสร้างความประหลาดใจให้กับทั้งสอง
หลังจากที่พูดคุยกัน ฉินอวี้โม่และครอบครัวของหลินหว่านหว่าน รวมถึงเถาเซี่ยวเซี่ยวก็มุ่งหน้าออกจากเมืองจูเฟิงไปด้วยกัน
ไกลจากตัวเมืองจูเฟิงประมาณสิบลี้คือที่ตั้งของศาลาขนาดใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจที่ตระกูลเฟิงเตรียมไว้สำหรับผู้ที่สัญจรผ่านไปมา
เนื่องจากกำลังจะมีงานเลี้ยงใหญ่เช่นงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของอดีตผู้นำตระกูลเฟิง ในบริเวณศาลาจึงมีผู้คนนั่งอยู่เป็นจำนวนมากและพวกเขาต่างก็พูดคุยกันอย่างสบาย ๆ
เมื่อเห็นเฟิงหว่านหลี่และคณะมุ่งหน้ามา หลายคนก็จดจำพวกเขาได้ทันที
“ที่แท้ก็เป็นนายน้อยแห่งตระกูลเฟิงและภรรยานี่เอง ส่วนเด็กสาวผู้นี้คงจะเป็นลูกสาวของนายน้อยเฟิงซึ่งเป็นที่รักของทุกคนในตระกูลเฟิง คุณหนูเฟิงชิงหลิง”
ผู้คนเหล่านั้นเข้ามาทักทายเฟิงหว่านหลี่อย่างเป็นมิตร ในฐานะหนึ่งในขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของโลกแห่งเทพ ทายาทผู้สืบทอดอำนาจของตระกูลเฟิงในอนาคตเช่นเฟิงหว่านหลี่จึงมีชื่อเสียงที่เลื่องชื่อในหมู่ผู้คน เป็นธรรมดาที่คนส่วนใหญ่จะต้องการผูกมิตรกับเขา
ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเฟิงเป็นตระกูลที่ใครหลายคนให้การยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นเฟิงฉง—ผู้นำตระกูลเฟิงคนปัจจุบัน หรือผู้นำตระกูลเฟิงคนก่อน พวกเขาก็ล้วนเป็นบุคคลที่ยึดมั่นในความถูกต้องและมีความตรงไปตรงมา ชื่อเสียงของพวกเขาจึงอยู่ในด้านบวกอยู่เสมอ
“ทุกคนไม่ต้องมีพิธีรีตองนักหรอก พวกเรามาที่นี่เพียงเพื่อรับใครบางคนและไม่ตั้งใจที่จะขัดจังหวะการพักผ่อนของทุกท่าน เชิญทำตัวตามสบายเถิด”
เฟิงหว่านหลี่ประกบกำปั้นและกล่าวกับทุกคนอย่างเกรงอกเกรงใจก่อนหาที่นั่งลง
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็นั่งลงเช่นกันโดยที่ไม่สนใจสายตาสงสัยใคร่รู้ของผู้คนเหล่านั้น
ทุกคนก็พูดคุยกันอย่างออกรสในระหว่างที่เฝ้ารอ
หลังจากที่รอเวลาจนถึงเที่ยงวัน ในที่สุดเสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้น
“เสี่ยวอ้ายฉือ ดูนั่นสิ เมืองตรงหน้านั่นคือเมืองจูเฟิงใช่หรือไม่ ?”
น้ำเสียงตื่นเต้นของเสี่ยวอ้ายโม่ดังขึ้นเมื่อเห็นเมืองจูเฟิงจากระยะห่างออกไป
เวลานี้ เสี่ยวอ้ายโม่และเสี่ยวอ้ายฉือกำลังเดินนำหน้าและจับมือกัน โดยที่มีฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าเดินตามหลังขณะมองดูเด็กน้อยทั้งสองด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความรักและความเอ็นดู
“ใกล้ถึงแล้ว ข้าไม่แน่ใจว่าท่านป้าและท่านลุงของพวกเจ้าจะรอรับเราอยู่ที่หน้าประตูเมืองรึไม่”
เมื่อเห็นเมืองจูเฟิงเบื้องหน้า ความรู้สึกมากมายก็เอ่อล้นในหัวใจของเฟิงหย่า นางไม่ได้มาที่นี่นานนับร้อยปีแล้ว ทว่าเมืองจูเฟิงยังดูเหมือนเดิมและไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าใดนัก
เพียงแต่เมื่อเข้าใกล้เมืองจูเฟิงมากขึ้นเรื่อย ๆ เรื่องราวที่ฝังลึกในหัวใจจากครานั้นก็ผุดขึ้นมาอีกคราและยากที่เฟิงหย่าจะนิ่งเฉยอยู่ได้ แววตาของนางแสดงความชิงชังต่อตระกูลฉินอย่างชัดเจน หากมิใช่เพราะคนเหล่านั้น นางและสามีคงไม่ต้องพลัดพรากจากบุตรสาวอันเป็นที่รัก ไม่ว่าอย่างไร นางก็จะต้องทวงคืนความเป็นธรรมให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ได้ !
“ไม่ต้องกังวล ข้าอยู่นี่เสมอ”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนในอารมณ์ของภรรยา ฉินหลิงเซียวก็เขย่ามือนางเบา ๆ เพื่อปลอบประโลมให้จิตใจของนางสงบลง
“น้องอ้ายฉือ น้องอ้ายฉือ !”
เมื่อเฟิงชิงหลิงสังเกตเห็นกลุ่มคนทั้งสี่ที่เดินเข้ามาจากระยะห่างออกไป นางก็กระโดดออกจากอ้อมแขนของฉินอวี้โม่และวิ่งตรงเข้าไปหาเสี่ยวอ้ายฉือด้วยความตื่นเต้น
“ยัยเหม็นเอ๋ย คงมีแต่อ้ายฉือสินะที่อยู่ในสายตาของเจ้า ข้าอยู่ที่นี่ทั้งคน ทว่าเจ้ากลับมองไม่เห็น !”
เสี่ยวอ้ายโม่ขยับออกไปขวางหน้าเฟิงชิงหลิงทันทีและหยิกแก้มนุ่มของอีกฝ่ายด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“ฮี่ ๆ ๆ ข้าก็เห็นน้องอ้ายโม่แล้ว เพียงแต่ข้ายังไม่ทันได้เรียกน่ะ”
เฟิงชิงหลิงยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อน ทว่าสายตาของนางก็มองไปที่เสี่ยวอ้ายฉืออย่างเป็นประกายและไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย
เสี่ยวอ้ายฉือไม่ได้กล่าวสิ่งใด เพียงแต่เขาก็มองไปยังทิศทางที่เฟิงชิงหลิงวิ่งออกมาเมื่อครู่ และภาพของบุคคลที่คุ้นตาก็ทำให้เขาชะงักนิ่งไปทันที
“เอาล่ะ ไปหาน้องอ้ายฉือของเจ้าเถอะ”
เสี่ยวอ้ายโม่หยอกเย้าเฟิงชิงหลิงอย่างมีความสุข เมื่อหันไปอีกครั้ง นางก็พบว่าน้องชายฝาแฝดของตนกำลังชะงักนิ่งอยู่กับที่โดยที่มีดวงตาเบิกกว้าง
“เสี่ยวอ้ายฉือ นี่เจ้าสมองเบลอหรืออย่างไร ?”
นางจิ้มหน้าผากของน้องชายและกล่าวขึ้น ทว่าสายตาของนางก็เลื่อนตามไปยังทิศทางเดียวกันโดยอัตโนมัติ
“ท่านแม่ ?”
เมื่อเห็นใบหน้าของบุคคลผู้นั้นอย่างชัดเจน นางก็เอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจและขยี้ตาหลายคราเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เห็นคือความจริง มิใช่ภาพลวงตา
ไม่ไกลจากจุดนั้น ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นบุตรตัวน้อยทั้งสองและดวงตาเริ่มแดงด่ำขึ้นมา
จากนั้นร่างของนางก็กะพริบหายไปและปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าเด็กน้อยทั้งสองทันทีโดยที่เข้าสวมกอดทั้งสองอย่างแรง
“เป็นอะไรไป ? จำแม่ไม่ได้แล้วหรือ ?”
นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างก่อนหอมแก้มเด็กทั้งสองอย่างอดไม่ได้
“ท่านแม่ ท่านจริง ๆ ด้วย ใช่ท่านจริง ๆ ด้วย…”
เสี่ยวอ้ายโม่และเสี่ยวอ้ายฉือเรียกสติกลับคืนจากภวังค์ แม้จะตื่นเต้นอย่างมาก เสี่ยวอ้ายฉือก็ยังวางมาดเคร่งขรึมเช่นเคย ในทางตรงกันข้าม เสี่ยวอ้ายโม่ตะโกนเสียงดังและกอดมารดาในขณะที่น้ำตาไหลอาบแก้ม
“ฮึก~ ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่านแม่มาก ๆ เลยเจ้าค่ะ นึกว่าจะต้องรอจนโตจึงจะได้พบท่านแม่อีกครั้ง ฮึก~ฮือ~ ฮือออ…”
น้ำตาที่ไหลอาบแก้มเหล่านี้มิได้เกิดเพราะความเศร้าเสียใจ หากแต่เป็นเพราะความตื้นตันใจอย่างที่สุด เด็กน้อยทั้งสองไม่ได้พบหน้ามารดามานาน เป็นธรรมดาที่จะคิดถึงและกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ต่อให้ทั้งสองจะเป็นเด็กที่มีความเป็นผู้ใหญ่และชาญฉลาดกว่าเด็กทั่วไป บางสิ่งบางอย่างก็เป็นสิ่งที่ฝังลึกเข้าไปถึงชั้นกระดูก ไม่มีทางเลยที่ทั้งสองจะไม่ตื่นเต้นเมื่อได้พบกับมารดา
“ฮึก~ ท่านแม่ ข้าก็คิดถึงท่านแม่มาก ๆ เลย”
ในที่สุด เสี่ยวอ้ายฉือก็ไม่สามารถรักษาท่าทีได้อีกต่อไปและมุดหน้าลงบนไหล่ของฉินอวี้โม่ก่อนส่งเสียงสะอื้น
“แม่ก็คิดถึงพวกเจ้ามาก”
น้ำตาของฉินอวี้โม่ไหลรินอาบแก้มเช่นกัน ปกตินางแทบจะไม่แสดงด้านที่อ่อนแอหรือด้านเปราะบางต่อหน้าผู้ใด อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ ทั้งสามเพียงกอดกันแน่นในขณะที่ร่ำไห้ด้วยความดีใจซึ่งเป็นภาพที่ทำให้ทุกคนอดซาบซึ้งใจไม่ได้
พวกเขาทราบถึงเบื้องหลังความเป็นมาของครอบครัวฉินอวี้โม่พอสมควร และความรู้สึกเมื่อได้พบหน้ากันของพวกนางย่อมลึกซึ้งกว่าคนทั่วไปมาก
เวลานี้ เฟิงชิงหลิงซึ่งยืนอยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าที่สับสนงุนงงอย่างเห็นได้ชัดพลางคิดกับตัวเองในใจ นี่ข้าเป็นใครกันเนี่ย ? ข้าอยู่ที่ไหนกัน ? ไม่นะ…ไม่ นี่คือน้องอ้ายฉือผู้สุขุมเยือกเย็นและดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กทั่วไปของข้าหรือ ? ข้าคงจะตาฝาดไปแน่ ๆ…
ห่างออกไปไม่กี่ก้าว เฟิงหย่าตกตะลึงและหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด กลิ่นอายที่แผ่มาจากร่างของฉินอวี้โม่ทำให้นางรู้สึกถึงความคุ้นเคยบางอย่าง…