มารดาและบุตรทั้งสองกอดกันแน่นเป็นพักใหญ่ก่อนทั้งสามจะกลับสู่สภาวะปกติ
เสี่ยวอ้ายฉือกระโดดออกจากอ้อมแขนของฉินอวี้โม่และกลับกลายเป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมในร่างเด็กตามเดิม อย่างไรก็ตามใบหน้าที่แดงเรื่อและดวงตาแดงก่ำนั้นพิสูจน์สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้อย่างชัดเจน
เสี่ยวอ้ายโม่ยังคงอยู่ในอ้อมแขนของมารดาและไม่ยอมผละออกไป
ฉินอวี้โม่เองก็ไม่ขัดข้องและกอดบุตรสาวไว้แน่นขณะเดินตรงเข้าไปหาฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าที่ยังคงตะลึงงันอยู่กับที่
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสทั้งสองที่ช่วยดูแลบุตรของข้าเจ้าค่ะ พวกนางคงจะสร้างเรื่องปวดหัวให้กับท่านทั้งสองไม่น้อยเลย”
นางกล่าวขอบคุณฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าอย่างจริงใจ แม้เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่จะเป็นเด็กที่ชาญฉลาดและมีไหวพริบที่ดีกว่าเด็กทั่วไป การอยู่ร่วมกับผู้อาวุโสทั้งสองตลอดทั้งวันทั้งคืนก็คงจะสร้างความปวดหัวให้กับพวกเขาในระดับหนึ่ง
“ไม่เลย ไม่เลย เจ้าตัวน้อยทั้งสองน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนักและเราก็รักพวกนางมาก พวกเราต่างหากที่ต้องขอบคุณ การได้มีเด็กทั้งสองมาอยู่ด้วยทำให้ชีวิตของพวกเรามีสีสันและมีความสุขขึ้นมาก”
เฟิงหย่าเรียกสติกลับคืนจากภวังค์และจับมือฉินอวี้โม่พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง
ฉินอวี้โม่ตรงหน้าทำให้นางรู้สึกถูกชะตาและรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
บางทีอาจเป็นเพราะการใช้เวลาอยู่กับเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่เป็นเวลานาน นางจึงรู้สึกคุ้นเคยกับมารดาของพวกเขาไปโดยปริยาย แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใด เฟิงหย่าก็ชื่นชอบฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก
“อีกอย่าง…เราทราบดีว่าเจ้าคือฉินอวี้โม่—แม่ของอ้ายฉือและอ้ายโม่ เด็กทั้งสองเรียกข้าว่าท่านย่า หากไม่ขัดข้องละก็ เรียกข้าว่าท่านแม่บุญธรรมก็แล้วกัน”
เฟิงหย่ากล่าวออกไปโดยตรงและแสดงทัศนคติอย่างชัดเจน เดิมทีนางวางแผนที่จะรับเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่เป็นหลานบุญธรรม ทว่าเมื่อได้พบกับมารดาของทั้งสอง เฟิงหย่าก็รู้สึกถูกชะตาเป็นพิเศษและต้องการรับฉินอวี้โม่เป็นบุตรบุญธรรมในเวลาเดียวกัน
“ภรรยาของข้า เรามาคุยเรื่องนี้กันทีหลังจะดีกว่า ในเมื่อเดินทางมาตั้งไกล อ้ายฉือและอ้ายโม่คงจะเหนื่อยมากแล้ว เราไปที่ตัวเมืองเพื่อพักผ่อนและพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ จะดีกว่า”
ฉินหลิงเซียวกล่าวขัดจังหวะเฟิงหย่า แม้เขาเองก็มีความคิดเช่นเดียวกันและรู้สึกถูกชะตากับฉินอวี้โม่เป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถตัดสินใจกันได้ง่าย ๆ เพราะถึงอย่างไรพวกนางก็เพิ่งจะได้เจอกัน
“จริงสิ ดูเหมือนว่าข้าจะตื่นเต้นเกินไป เสี่ยวอวี้โม่…ปกติแล้วข้าแทบจะไม่ได้พบกับใครที่ทำให้รู้สึกถูกชะตาตั้งแต่ครั้งแรกเช่นนี้ ข้าจึงทำตัวเสียมารยาทเกินไปสักหน่อย อย่าถือสาข้าเลย ข้ารักเจ้าหนูทั้งสองมากและรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะโชคชะตานำพา ข้าจึงมีความคิดเช่นนั้น เจ้าลองไตร่ตรองดูแล้วกัน หากไม่ต้องการ ข้าก็จะไม่กดดัน”
เฟิงหย่ากล่าวด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพยทันทีและแสดงทัศนคติที่ดูจะถ่อมตนไม่น้อย ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด ทว่านางไม่ต้องการทำให้ฉินอวี้โม่ผู้นี้รู้สึกไม่สบายใจหรือขุ่นเคืองใจ และต้องการเพียงให้อีกฝ่ายมีความสุข ตราบใดที่ฉินอวี้โม่สุขกายสบายใจ เฟิงหย่าก็จะมีความสุขเช่นกัน แม้อาจฟังดูแปลกพิลึกนัก แต่มันก็เป็นความรู้สึกจากใจจริงของนาง
ฉินหลิงเซียวเองก็รู้สึกในแบบเดียวกัน นับตั้งแต่พบหน้าฉินอวี้โม่ หัวใจของเขาก็เกิดความปั่นป่วนบางอย่าง มันมิใช่ความห่างเหินใด ๆ หากแต่เป็นความรู้สึกที่ต้องการจะใกล้ชิดสนิทสนมด้วย ในขณะเดียวกันเขาก็กังวลว่าตนเองจะกล่าวสิ่งใดมากเกินไปและทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกรำคาญ สรุปสั้น ๆ ก็คือสิ่งที่เขารู้สึกในตอนนี้เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดและไร้คำอธิบาย…
“หากท่านทั้งสองยอมรับข้าเป็นลูกบุญธรรม ข้าก็ยินดีเจ้าค่ะ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เราไปที่เมืองเพื่อพักผ่อนกันก่อนจะดีกว่า การพูดคุยเรื่องเหล่านี้ในภายหลังก็ยังไม่สายเกินไป”
ฉินอวี้โม่จับมือเฟิงหย่าไว้และไม่ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมองผู้อาวุโสทั้งสองตรงหน้า นางก็เกิดความรู้สึกผูกพันบางอย่างขึ้นมา ความรู้สึกนี้แปลกประหลาดราวกับได้พบเจอคนที่คุ้นเคยและทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกผ่อนคลายเพียงได้อยู่ใกล้กับพวกเขา…
“ตกลง ตกลง ไปที่เมืองกันก่อนเถอะ”
เฟิงหย่ายิ้มกว้างอย่างสุขใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ นางยังคงจับมืออีกฝ่ายไว้ขณะเดินหน้าตรงไปยังเมืองจูเฟิง
“ท่านแม่ ท่านย่าดูจะชอบท่านแม่มากเลย”
เสี่ยวอ้ายโม่กระโดดลงจากอ้อมแขนของฉินอวี้โม่และจับมืออีกข้างหนึ่งของมารดาก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
เสี่ยวอ้ายฉือเองก็รู้สึกได้เช่นเดียวกัน โดยปกติแล้วเฟิงหย่ามักจะสงบนิ่งในทุกสถานการณ์และแทบจะไม่แสดงความรู้สึกใดออกมา ทว่าเมื่อพบหน้าฉินอวี้โม่ สตรีชราผู้นี้กลับมีปฏิกิริยาที่ชัดเจนเป็นพิเศษ
อีกอย่าง ท่านปู่เคยบอกกับเด็กทั้งสองว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ท่านย่าเฟิงหย่าเอาแต่เก็บตัวอยู่ในภูเขาม่านหมอกและแทบไม่ต้องการพบผู้ใด อาจเป็นเพราะโชคชะตาบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกชื่นชอบฉินอวี้โม่อย่างออกนอกหน้าเช่นนี้…
ท่ามกลางสิ่งที่เกิดขึ้น เฟิงหว่านหลี่และหลินหว่านหว่านก็ตกตะลึงยิ่งกว่า ทั้งสองทราบดีว่าเฟิงหย่าจะไม่แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อฉินอวี้โม่ เพียงแต่คาดไม่ถึงเลยว่านางจะอ่อนโยนต่อฉินอวี้โม่เป็นพิเศษเช่นนี้ หากมิใช่เพราะการที่อายุไม่สอดคล้องกัน พวกเขาก็คงสงสัยไปแล้วว่าฉินอวี้โม่อาจเป็นบุตรสาวของเฟิงหย่าที่พลัดพรากจากกันไปเมื่อครั้งอดีต…
ทุกคนเดินหน้าตรงไปยังเมืองจูเฟิงอย่างไม่รีบร้อน ทว่าดึงดูดสายตาทุกคู่รอบบริเวณ คนส่วนใหญ่ก็รู้จักฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าเป็นอย่างดี ถึงอย่างไร ทั้งสองก็เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลอย่างมากเมื่อครั้งอดีต แน่นอนว่าหลายคนเคยได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสองเช่นกัน
ในครานั้น ฉินหลิงเซียวยอมสละตำแหน่งผู้สืบทอดของตระกูลฉินเพียงเพื่อเฟิงหย่า และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนทั้งดินแดนต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
แม้ตกเป็นเป้าสายตาของคนมากมาย ทุกคนก็เดินหน้ากันต่อไปโดยที่ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมโดยรอบแม้แต่น้อย
“อวี้โม่ เจ้าและเด็กทั้งสองไปที่จวนตระกูลเฟิงกับเราก่อนเถอะ ท่านปู่ของข้าออกมาจากสภาวะจำศีลเมื่อวานนี้พอดิบพอดี และบิดาของข้าก็ต้องการจะพบเจ้าเช่นกัน”
เมื่อมาถึงประตูหน้าของเมืองจูเฟิง หลินหว่านหว่านก็กล่าวขึ้นเพื่อเชื้อเชิญฉินอวี้โม่
นางทราบดีว่าท่านป้าและท่านลุงคงไม่ต้องการแยกจากเด็กน้อยทั้งสองและฉินอวี้โม่ที่เพิ่งพบหน้ากันอย่างแน่นอน อีกอย่าง สิ่งที่นางกล่าวออกไปก็เป็นความจริงเช่นกัน
เมื่ออยู่ที่จวนตระกูลเฟิงก่อนหน้านี้ นางกล่าวถึงฉินอวี้โม่หลายครั้งหลายคราจนทำให้ผู้นำตระกูลเฟิงคนปัจจุบันและภรรยาสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่ยิ่งนัก
“พี่อวี้โม่ ท่านไปเถอะ ข้าจะกลับไปบอกกับท่านพ่อท่านแม่เอง”
เถาเซี่ยวเซี่ยวสนับสนุนฉินอวี้โม่และกล่าวทิ้งท้ายก่อนแยกออกไป
นางสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์บางอย่างที่มองไม่เห็นระหว่างฉินอวี้โม่และคนแก่คนชราคู่นั้น ราวกับว่าทั้งสามเคยเป็นครอบครัวเดียวกันมาก่อน...
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและตามทุกคนไปยังจวนเจ้าเมือง
คฤหาสน์ที่พักของตระกูลเฟิงตั้งอยู่ภายในจวนเจ้าเมืองของเมืองจูเฟิง ส่วนเจ้าเมืองจูเฟิงก็คือเฟิงฉง—ผู้นำตระกูลเฟิงคนปัจจุบันนั่นเอง
ณ จวนเจ้าเมือง เฟิงฉงได้รับข่าวแล้วว่าเฟิงหย่าและคนอื่น ๆ กำลังเดินทางมา เขาจึงมารอที่หน้าประตูจวนเป็นการล่วงหน้า
เมื่อเห็นเฟิงหย่าและทุกคนจากระยะไกล รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าของเขาและกล่าวทักทายอย่างรวดเร็ว
“น้องเล็ก น้องเขย ไม่ง่ายเลยที่จะได้พบหน้าพวกเจ้าทั้งสอง !”
เขากล่าวด้วยความดีใจเนื่องจากไม่ได้พบหน้าเฟิงหย่าและฉินหลิงเซียวมานานนับร้อยปี แม้เวลานับร้อยนับพันปีจะเป็นเพียงตัวเลขสำหรับจอมยุทธ์ที่มีความแข็งแกร่งในระดับของพวกเขา มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไร้ความรู้สึกต่อกัน
ถึงอย่างไร พวกเขาก็เป็นพี่น้องท้องเดียวกันและเฟิงฉงก็รักน้องสาวผู้นี้เป็นอย่างมาก เป็นธรรมดาที่เขาจะมีความสุขที่ได้พบนาง
ยิ่งไปกว่านั้น เฟิงฉงและฉินหลิงเซียวก็เป็นสหายที่เคยเผชิญกับประสบการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยกันมาก่อน ความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงอยู่ในระดับที่ดี การที่ไม่ได้พบกันเนิ่นนานเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดความคิดถึงคำนึงหา
“พี่ใหญ่ หากมิใช่เพราะวันคล้ายวันเกิดของท่านพ่อ เกรงว่าครานี้เราคงไม่ได้พบกัน”
เฟิงหย่าคลี่ยิ้มและกล่าวออกไป นางทราบดีว่าทั้งพี่ชายและบิดารักตนมากเพียงใด ทว่าสาเหตุที่นางไม่กลับมาที่นี่ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็เป็นเพราะยังไม่สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และสาเหตุอีกประการหนึ่งคือนางไม่ต้องการทำให้ทั้งสองต้องเดือดร้อนเพราะตน
ครานี้ พวกนางมาที่นี่หลังจากการตัดสินใจที่แน่วแน่และพร้อมที่จะทุบหม้อข้าวจมเรือ !
* 破釜沉舟 ทุบหม้อข้าว จมเรือ หมายถึง ตัดสินใจสู้ตาย การตัดสินใจที่เด็ดขาดที่เมื่อคิดจะทำแล้วต้องทำต่อไปให้ถึงที่สุดนั่นเอง