ทุกคนทักทายกันและพูดคุยกันครู่หนึ่งก่อนเดินเข้าไปในจวน
ในฐานะหนึ่งในขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดน แม้พื้นเพภูมิหลังของตระกูลเฟิงจะไม่ดีเท่าขุมกำลังระดับหนึ่งที่เก่าแก่แห่งอื่น มันก็เหนือชั้นเกินกว่าที่ขุมกำลังระดับสองเช่นนิกายหมื่นกระบี่และนิกายพันปีศาจจะเทียบได้ ในเวลานี้ จวนตระกูลเฟิงดูยิ่งใหญ่และหรูหรายิ่งกว่าพระราชวังของตระกูลราชวงศ์ในดินแดนระดับต่ำเสียอีก ข่ายอาคมรวมวิญญาณจำนวนหนึ่งก็ถูกจัดตั้งไว้ในจวนส่งผลให้สถานที่แห่งนี้เปี่ยมไปด้วยสภาวะพลังที่หนาแน่น เพียงก้าวเข้ามาที่นี่ ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังที่หลั่งไหลเข้ามาในร่างกายอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นความรู้สึกที่ผ่อนคลายอย่างที่สุด
บุคลิกนิสัยของเฟิงฉงก็คล้ายคลึงกับเฟิงหว่านหลี่พอสมควร ทั้งคู่เป็นบุรุษที่มีความตรงไปตรงมา เรียบง่ายไม่ซับซ้อน และให้ความสำคัญกับความถูกต้อง
เฟิงหย่าแนะนำฉินอวี้โม่และเด็กน้อยทั้งสองให้พี่ชายได้รู้จักก่อนกล่าวว่าต้องการรับนางเป็นบุตรบุญธรรม แน่นอนว่าการตัดสินใจดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากเฟิงฉงอย่างเต็มที่
สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่อชีวิตน้องสาวของเขา หลังจากสูญเสียบุตรสาว ฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าก็ไม่เคยวางแผนที่จะมีบุตรเพิ่มอีกเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมา เฟิงฉงก็เคยเสนอให้ทั้งสองมีบุตรด้วยกันอีกคน ทว่าถูกปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
เมื่อนึกถึงเด็กน้อยที่หายสาบสูญไป ทั้งสองก็รู้สึกผิดอย่างที่สุด ต่อให้มีบุตรอีกคน พวกนางก็มิอาจลบเลือนความเสียใจและไม่เคยมีความคิดนั้น แม้เฟิงฉงเคยถึงขั้นเสนอที่จะยกบุตรคนหนึ่งของตนให้เป็นบุตรบุญธรรม เฟิงหย่าและฉินหลิงเซียวก็ปฏิเสธเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ น้องสาวและน้องเขยของเขากลับต้องการรับสตรีคนหนึ่งมาเป็นบุตรบุญธรรม แน่นอนว่าเฟิงฉงจะสนับสนุนอย่างไม่มีเงื่อนไข
“เอาล่ะ นี่คือป้ายประจำตัวของผู้นำตระกูลเฟิง ข้าไม่มีสิ่งอื่นใดในมือและจะขอมอบสิ่งนี้เป็นของขวัญให้กับเจ้า ในภายภาคหน้า หากมีป้ายประจำตัวของผู้นำตระกูลเฟิงนี้ติดตัวอยู่ เจ้าสามารถขอความช่วยเหลือจากข้าและตระกูลเฟิงได้อย่างไม่มีเงื่อนไข…แน่นอนว่าในเมื่อเป็นลูกบุญธรรมของน้องสาวข้า เจ้าก็ถือเป็นหลานคนหนึ่งของข้าเช่นกัน ต่อให้ไม่มีป้ายประจำตัวของผู้นำตระกูลเฟิง ตระกูลเฟิงก็จะอยู่ข้างเจ้าเสมอ”
เฟิงฉงยื่นป้ายหยกแผ่นเล็กให้กับฉินอวี้โม่ หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวเสริม
ป้ายประจำตัวของผู้นำตระกูลเฟิงนี้เป็นสิ่งที่เฟิงฉงนำออกมาเนื่องจากไม่มีสิ่งอื่นใดจะมอบให้กับฉินอวี้โม่ อันที่จริง สมาชิกตระกูลเฟิงต่างก็ดูแลปกป้องกันเป็นอย่างดี แม้ไม่มีป้ายประจำตัวนี้ ฉินอวี้โม่และเฟิงหย่าก็เป็นญาติของเขาและจะได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเขาอย่างแน่นอน
ในเมื่อผู้ใหญ่ให้ของขวัญที่ล้ำค่าอย่างมิอาจบรรยาย ฉินอวี้โม่ย่อมน้อมรับพร้อมรอยยิ้มและกล่าวขอบคุณเฟิงฉงอย่างจริงใจ
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่รับป้ายหยกดังกล่าว เฟิงหย่าและฉินหลิงเซียวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เดิมทีพวกนางกังวลว่าฉินอวี้โม่จะไม่ยอมรับสถานะนี้และปฏิเสธป้ายประจำตัวจากเฟิงฉง
“มานี่สิ มาให้ตาดูหน่อยเถิด”
เฟิงฉงกวักมือเรียกเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่เพื่อให้เด็กทั้งสองเข้าไปหา
เดิมทีเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ก็มิใช่เด็กที่จะเกรงกลัวคนแปลกหน้า ทั้งสองจึงเดินตรงเข้าไปหาเฟิงฉงและทักทายอย่างว่าง่าย
“เป็นเด็กดีจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่เฟิงชิงหลิงจะพูดถึงน้องอ้ายฉือและน้องอ้ายโม่ตลอดทั้งวันทั้งคืน”
เขาลูบศีรษะทั้งสองด้วยความเอ็นดูและมอบของขวัญให้กับทั้งสองเช่นกัน แน่นอนว่าในอนาคตตระกูลเฟิงก็จะปกป้องเด็กน้อยทั้งสองคนนี้
“ท่านพี่ ท่านพ่อออกมาจากการจำศีลแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ ? ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด ?”
เฟิงหย่าเอ่ยถามออกไปเนื่องจากไม่เห็นแม้แต่เงาของบิดาและนั่นทำให้เกิดความกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
“อีกอย่าง…พี่สะใภ้ล่ะเจ้าคะ ?”
“ข้าส่งคนไปแจ้งท่านพ่อแล้วและคงจะมาที่นี่ในไม่ช้า ส่วนพี่สะใภ้ของเจ้า นางกลับไปหาท่านพ่อตาในช่วงสองสามวันนี้ เราต้องการทวงความยุติธรรมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและคิดบัญชีกับตระกูลฉิน ทว่าความแข็งแกร่งของเราตระกูลเฟิงเพียงอย่างเดียวอาจรับมือได้ยาก เพราะฉะนั้นการมีพันธมิตรย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า”
เฟิงฉงอธิบายและจิตสังหารเริ่มปรากฏในแววตาอย่างชัดเจน
เฟิงหย่าและฉินหลิงเซียวเองก็ฉายแววตามุ่งร้ายเช่นเดียวกัน ทว่าพวกนางก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อและนั่งลงกันอย่างสบาย ๆ
หลังจากเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ บุรุษชราผู้หนึ่งที่ดูมีอายุในช่วงหกสิบปีก็ปรากฏตัวในห้องโถง
บุรุษชราผู้นี้ดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไปและไม่มีแรงกดดันใดที่แผ่ออกมาจากร่างกาย อีกทั้งยังดูเป็นคนที่ไม่ซับซ้อนและเข้าถึงได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในห้องโถง ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงพลังกดข่มที่รุนแรงในส่วนลึกของจิตวิญญาณ พลังของบุรุษชราผู้นี้จะต้องบรรลุถึงระดับสูงสุดแล้วและอาจมีพลังที่อยู่เหนือจินตนาการของนางก็เป็นได้
“ท่านพ่อ…”
เมื่อบุรุษชราปรากฏตัว เฟิงหย่าก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น
นางไม่ได้พบหน้าบิดามานานนับร้อยปี ก่อนออกจากจวนตระกูลเฟิง นางก็ได้พบเขาเพียงครั้งหนึ่งก่อนที่เขาจะเข้าสู่สภาวะจำศีล และจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา
“หย่าเอ๋อร์…”
บุรุษชรากล่าวขึ้นและมองเฟิงหย่าด้วยแววตาอ่อนโยน แม้บุตรสาวของเขาจะแก่ชรามากแล้ว ในสายตาของเขา นางก็ยังคงเป็นเด็กสาวตัวน้อยที่มักจะเกาะอยู่ในอ้อมแขนของเขาโดยที่ไม่ยอมปล่อยมือ
“คารวะท่านพ่อตาขอรับ”
ฉินหลิงเซียวกล่าวและโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
“แม้จะผ่านมานาน เจ้าก็ยังสุภาพนอบน้อมไม่มีเปลี่ยน”
บุรุษชราเฟิงเหลียนเฉิง—อดีตผู้นำตระกูลเฟิงมองฉินหลิงเซียวและกล่าวขึ้น
“หย่าเอ๋อร์ สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต เราจะสะสางมันด้วยกัน และเมื่อเสร็จสิ้นธุระทุกอย่าง เจ้าก็พักอยู่ที่จวนต่ออีกสักพักเถอะ”
เขากล่าวขึ้นและเชิญชวนให้เฟิงหย่าอาศัยอยู่กับเขาสักระยะ
มารดาของเฟิงหย่าเสียชีวิตไปนานแล้วและเขาอยู่เพียงลำพัง แม้มีความแข็งแกร่งที่เข้าใกล้ระดับสูงสุดของดินแดน เขาก็รู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ หากเป็นไปได้ เขาก็ต้องการใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและไม่ทำให้บุตรสาวและบุตรเขยต้องเผชิญกับความทุกข์ใจตลอดหลายปีที่ผ่านมา…
“ท่านพ่อ ที่คือคนที่ข้าจะรับเป็นลูกบุตรธรรม…ฉินอวี้โม่ และลูกของนาง…เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่เจ้าค่ะ”
เฟิงหย่าไม่ได้ตกปากรับคำ ทว่าดึงตัวฉินอวี้โม่ออกมาและกล่าวแนะนำกับบิดาของตน
แผนการในใจของนางนั้นเรียบง่ายมาก หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องที่เมืองจูเฟิงในครานี้ ไม่ว่าฉินอวี้โม่และเด็กน้อยทั้งสองจะเดินทางไปที่ใด นางและฉินหลิงเซียวก็จะติดตามไปด้วย ถึงอย่างไร ทั้งสองก็ไม่มีสิ่งใดต้องทำเป็นพิเศษและจะไม่สร้างปัญหาความวุ่นวายใดให้กับฉินอวี้โม่และบุตรอย่างแน่นอน อีกอย่าง พวกนางก็สามารถช่วยดูแลเด็กทั้งสองได้
ฉินอวี้โม่จับมือเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่เดินเข้าไปทักทายเฟิงเหลียนเฉิงด้วยกัน แม้ไม่มีพิธีกรรมอย่างเป็นทางการ นางก็ยอมรับฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าเป็นบิดามารดาบุญธรรมด้วยความยินดี
“หยุดก่อน !”
เมื่อสังเกตเห็นฉินอวี้โม่และบุตรทั้งสอง จู่ ๆ สีหน้าของเฟิงเหลียนเฉิงก็เปลี่ยนไปและกล่าวขึ้นเพื่อมิให้ทั้งสามเข้ามาทักทายตนก่อน
“มีอะไรหรือเจ้าคะ ?”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของบิดา เฟิงหย่าและฉินหลิงเซียวก็ขมวดคิ้วมุ่นทว่าเดินตรงเข้าไปขวางหน้าฉินอวี้โม่และบุตรทั้งสองอย่างพร้อมเพรียงกัน
พวกนางก็ไม่คิดว่าเฟิงเหลียนเฉิงจะต้องการทำร้ายฉินอวี้โม่และเด็กทั้งสอง เพียงแต่คาดเดาว่าบิดาอาจจะมีความเข้าใจผิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับฉินอวี้โม่และบุตรทั้งสองคน
“เหตุใดเจ้าจึงมีกลิ่นอายของตระกูลฉินได้ ?”
เฟิงเหลียนเฉิงมองตรงไปที่ฉินอวี้โม่และเอ่ยถามอย่างเรียบเฉย
ถึงแม้ว่าฉินอวี้โม่จะซ่อนกลิ่นอายของตนไว้เป็นอย่างดีจนแม้แต่ยอดฝีมือในระดับของเขาก็ยากที่จะตรวจพบได้หากไม่สำรวจอย่างละเอียด อย่างไรก็ตาม เฟิงเหลียนเฉิงมั่นใจว่ากลิ่นอายจากร่างของสตรีผู้นี้มาจากตระกูลฉินซึ่งเป็นสายเลือดเดียวกันกับฉินหลิงเซียว !
เมื่อคิดได้ดังนี้ ในหัวของเฟิงเหลียนเฉิงก็ผุดความคิดหนึ่งขึ้นมาทันที
หรือว่าสตรีผู้นี้จะมีความเกี่ยวข้องกับหลานสาวของข้าที่หายสาบสูญไป ?