ถังซานสือลิ่วไปแนวหน้าแล้ว
แน่นอน เขาไม่ได้ไปเป็นทัพหน้า เพราะเขาไม่มีความสามารถนี้ และไม่มีใครเห็นด้วย
สงครามในครั้งนี้ บทบาทที่เขาแสดงก็คือ ยกเสบียงอาหาร พูดให้ถูกต้องกว่าก็คือ เป็นผู้ช่วยของจินอวี้ลวี่
การเดินทางไปเมืองไป๋ตี้ของเฉินฉางเซิง แม้ไม่ประสบความสำเร็จตามความคิดของเผ่ามนุษย์ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ได้ปลดปล่อยจินอวี้ลวี่ออกจากแปลงผัก
แม่ทัพเผ่าปีศาจในตำนานท่านนี้ จะยังคงทำหน้าที่บทบาทสำคัญนั่นที่เขาเคยทำเมื่อหลายร้อยปีก่อน
สัมภาระ เสบียงอาหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมดที่ราชสำนักต้องลำเลียงไปแนวหน้า มาจากการสนับสนุนของแต่ละเขตเมือง การบริจาคของแต่ละตระกูลพ่อค้าวาณิช ทั้งหมดอยู่ในความควบคุมของเขา
ตำแหน่งผู้ช่วยของเขาก็สำคัญมากเช่นกัน
ตามหลักแล้ว คุณสมบัติของถังซานสือลิ่วไม่เพียงพอ อย่างน้อยก็ยากรับใช้กลุ่มคน แต่ไม่มีใครกล้าคัดค้านการแต่งตั้งนี้
ไม่ใช่เพราะสถานะความเป็นมาของถังซานสือลิ่ว ไม่ใช่เพราะเขายอมทิ้งเกียรติยศของคุณชายตระกูลดังมาเสี่ยงอันตรายในแนวหน้า แต่เป็นเพราะบ้านสกุลถังบริจาคเงินมาจำนวนหนึ่ง
เหลียงหวังซุนบริจาคทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของบ้านให้เป็นค่าใช้จ่ายทางทหาร
บ้านสกุลถังที่เวิ่นสุ่ยก็บริจาคทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของบ้านเช่นกัน
ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของบ้านเหมือนกัน เพียงแต่ต้องเห็นกับตาตนเองเท่านั้น ผู้คนจึงจะเข้าใจว่า บ้านสกุลถังทำเรื่องที่น่ากลัวมากเรื่องหนึ่ง
เนื่องจากทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของบ้าน เป็นจำนวนตัวเลขที่น่ากลัวเอามากๆ
เจ้าหน้าที่กรมการคลังผู้สันทัดกรณี พอเห็นสมุดบัญชีที่ใช้รถม้าสิบกว่าคันบรรทุกเข้ามา ก็ตื่นตะลึงจนพูดไม่ออก
ทั่วทั้งต้าลู่ล้วนรู้ว่า สกุลถังคือสถานที่ที่มีเงินมากที่สุดในโลก มีภูมิหลังที่ลึกล้ำ มีการเก็บสะสมที่หลากหลาย แต่ครั้งนี้ ผู้คนถึงได้รู้ว่า ที่แท้สกุลถัง มีเงินถึงขั้นนี้นี่เอง
ที่พูดว่า ร่ำรวยแล้วเป็นศัตรูกับแคว้นได้ ไม่ใช่เรื่องโกหก
ท่านปู่ถังไม่ธรรมดาจริงๆ
ร่ำรวยแล้วเป็นศัตรูกับแคว้นได้ มักกลายเป็นศัตรูของคนทั้งแคว้น
นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่ยากหลีกพ้น และเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมมากมาย
หลังจากรายละเอียดเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกมา หลายคนล้วนกำลังคิดว่า สกุลถังไม่อยากแตะต้องข้อห้ามของราชสำนักหรือเปล่า จึงใช้วิธีนี้ลดการเป็นปรปักษ์กับราชสำนัก
…ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของบ้านนั้นมากจริงๆ เจ็บปวดเหมือนตัดแขน แต่ขอเพียงสกุลถังสามารถดำรงอยู่ ก็ยังคงถือว่าคุ้มค่า
สมมติฐานเช่นนี้ดูไปแล้วมีเหตุผลมาก แต่เฉินฉางเซิงรู้ว่าไม่เป็นความจริง
การตีเมืองเสวี่ยเหล่า พิชิตเผ่ามาร เป็นความปรารถนาทั้งชีวิตของท่านปู่ถัง เป็นเรื่องเดียวที่เขาอยากทำในหลายร้อยปี
ในด้านนี้ เขากับซางสิงโจวเป็นพันธมิตรกันโดยธรรมชาติ เป็นเพื่อนร่วมรบที่มีความแน่วแน่ อะไรก็เปลี่ยนแปลงความตั้งใจของเขาไม่ได้ กระทั่งพูดได้ว่า เขามีชีวิตอยู่ เพื่อที่จะเห็นวันนี้
ขอเพียงเผ่ามนุษย์สามารถรบชนะเผ่ามารได้อย่างเด็ดขาด เขาไหนเลยจะสนใจความมั่งคั่งของบ้าน
ถ้าไม่ใช่คิดถึงลูกหลานคนรุ่นหลัง คิดถึงความอยู่รอดของครอบครัว กระทั่งบ้านสกุลถังทั้งหลังที่เวิ่นสุ่ย เขาก็ทุ่มให้กับสงครามในครั้งนี้ได้
การเกิดเป็นหลานของผู้อาวุโสเช่นนี้ จะมีความรู้สึกอย่างไร
เฉินฉางเซิงมองดูฝุ่นควันสายนั้นบนพื้นที่รกร้างนอกเมือง พลางยกมุมปาก ยิ้มออกมา
ถังซานสือลิ่วขี่ม้าขาวตัวหนึ่ง สวมชุดขาว เสียบกระบี่เวิ่นสุ่ยไว้ที่เอว สง่างามและเป็นธรรมชาติมาก
เขาไม่ได้พูดอะไรกับเฉินฉางเซิง และไม่ได้บอกให้ถนอมตัว เพราะสงครามในครั้งนี้ต้องชนะ
ก็อย่างที่คนบรรพตเยียนจือว่า แนวโน้มใหญ่สำเร็จแล้ว
เผ่ามาร แนวโน้มใหญ่เสียไปแล้ว
ก็เหมือนที่ท่านปู่ถังกับเหลียงหวังซุนทำอย่างนั้น เผ่ามนุษย์ยอมใช้ทุกอย่างเข้าแลก ทิ้งความแค้นความเกลียดชัง เพื่อให้ได้รับชัยชนะในการรบครั้งนี้
โลกมนุษย์กำลังรอวันนี้มาโดยตลอด
เพื่อสงครามในครั้งนี้ เผ่ามนุษย์เตรียมตัวมาช้านาน
ในแง่ของวัสดุและการปรับเปลี่ยนทางการทหาร มีมาสิบปีแล้ว
ในแง่ของการวางแผนเชิงกลยุทธ์ มีมานับร้อยปีแล้ว
ในแง่ของจิตใจและอุดมการณ์ มีมานับพันปีแล้ว
ปราชญ์นับไม่ถ้วน ผู้พลีชีพนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจักรพรรดิองค์ใด สังฆราชสมัยใด…เรื่องที่พวกเขาทำทั้งหมด ล้วนเพื่อวันนี้
คลื่นใต้น้ำถาโถมมาแต่แรกนับครั้งไม่ถ้วน ตามการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ ในที่สุดก็กลายเป็นกระแสน้ำฤดูใบไม้ผลิ
เผ่ามารเคยเป็นใหญ่ในต้าลู่ อยู่ทางเหนือแทบเอาชีวิตไม่รอด ใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ ไม่เคยตระหนักถึงจุดนี้ ต่อให้คนใหญ่คนโตที่มีสติและใจเย็นของเผ่ามารบางคนตระหนักถึงเรื่องนี้ เช่นราชามารอายุน้อยท่านนั้น เช่นคนบรรพตเยียนจือ แต่เวลาที่เหลือไว้ให้พวกเขาน้อยเกินไป และภายในของเผ่ามารก็ยุ่งวุ่นวายเกินไป
ทุกครั้งที่นึกถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของเผ่ามาร เฉินฉางเซิงก็รู้สึกโชคดีเป็นล้นพ้น แต่ก็มักมีบ้างที่ไม่เข้าใจ จากนั้นก็นึกถึงประโยคที่ซางสิงโจวพูดในลั่วหยาง
อาจเป็นเพราะคนผู้นี้ยังคงตระหนักว่า ที่สุดแล้วตนเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง
ขณะมองดูฝุ่นตลบเป็นสายๆ ในพื้นที่รกร้าง รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนเล็กน้อย เฉินฉางเซิงก็ไม่สามารถคิดถึงปัญหานั้นได้อีก
ที่สั่นสะเทือน เป็นเพราะม้าควบออกไปไกล หรือเป็นเพราะหัวใจตนเองเต้น
เขารู้สึกว่าหัวใจตนเองเต้นเร็วขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ
เป็นเพราะสงครามอันยิ่งใหญ่กำลังจะเปิดฉากใช่หรือไม่
เผ่ามารต้องแพ้ เผ่ามนุษย์ต้องชนะ แนวโน้มใหญ่ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว
แต่พวกเรายังคงต้องมุมานะเพื่อสิ่งนี้ มุมานะจริงๆ ถึงจะสามารถชนะได้จริงๆ
พอนึกถึงวันเวลาในภายภาคหน้า หนุ่มสาวที่ตอนนี้กำลังเดินออกจากเมืองสวินหยาง จะสาดเลือดร้อนมากน้อยแค่ไหน จะสละชีพมากน้อยแค่ไหน…
ผู้ที่สงบนิ่งอย่างเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนผะผ่าวที่แก้ม
…..
หุบเขาในฤดูใบไม้ผลิ ล้วนแล้วแต่มีโลหิต
หลังจากพลทหารเผ่ามารเสียชีวิต ก็มีสภาพน่าเกลียดมากขึ้น ศพในพงหญ้าส่งกลิ่นเหม็น ในทุ่งหญ้ายังไม่นับว่าร้อนจัด แต่วางไว้เป็นเวลานาน ก็ยังคงเน่าเปื่อยอยู่ดี
แรกเริ่มเดิมที กองทัพเผ่ามนุษย์ใช้ปรมาจารย์ค่ายกลทำความสะอาดสนามรบ หลังการรบจบสิ้น ทุ่งหญ้าทุกแห่งหนจะมองเห็นแสงสว่างของปรมาจารย์ค่ายกลและเปลวไฟที่ตามมาด้านหลัง ต่อมาพลทหารเผ่ามารตายมากขึ้นเรื่อยๆ สงครามตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ เพื่อการประหยัดพลังของปรมาจารย์ค่ายกล จึงไม่มีคำขอในด้านนี้อีก
กระโจมชั่วคราวตั้งอยู่บนที่สูง แต่หุบเขาทั้งลูกเดิมทีเป็นพงหญ้าที่มีต้นหญ้าสั้นบ้างยาวบ้างสลับกันไปอย่างต่อเนื่อง จึงพูดไม่ได้ว่า ป้องกันง่าย ยากโจมตี
พลบค่ำถูกแต่งแต้มด้วยท้องทุ่งอันห่างไกลและพาหนะในบริเวณใกล้เคียง ควันไฟจากการปรุงอาหารหายไป กองไฟค่อยๆ สว่างขึ้น คลับคล้ายมีเสียงเพลงเศร้าๆ ดังมา กลับทำให้เกิดเสียงด่าทอตามมามากมาย
เหลียงหงจวงนั่งพิงล้อเกวียน หรี่ตามองพระอาทิตย์อัสดงตกลงตรงหน้า ปากคาบต้นหญ้าที่สั่นน้อยๆ
แน่นอน เขาไม่ได้สวมชุดเต้นรำสีแดง และไม่ได้พอกหน้าหนา เพียงมีใบหน้าที่งดงามอยู่เป็นทุนเดิม โดยเฉพาะสีคิ้วที่เข้มดุจหมึก รูปทรงดุจตะขอ ในเสน่ห์ยังมีจิตวิญญาณอันกล้าหาญ และมีความหวานซึ้งตามธรรมชาติ ตอนลงสู่สนามรบ ไม่รู้ดึงดูดสายตามากน้อยเท่าใด จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์อะไร
ในกองทหาร ระดับขั้นของเขาสูงที่สุด สังหารพลทหารมารได้มากที่สุด ได้รับบาดเจ็บก็มากที่สุด
กระดูกซี่โครงของเขามีแผลที่ลึกมากที่หนึ่ง ลึกจนเห็นกระดูกขาว เมื่อมองผ่านช่องของผ้าพันแผล แล้วยังได้กลิ่นเหม็นเน่าอีก
คนผู้หนึ่งมานั่งเบียดข้างๆ เขา มองดูซากศพพลทหารเผ่ามารบนพงหญ้าเหล่านั้น พลางเผยให้เห็นท่าทียิ้มเยาะบนใบหน้า
“หลายวันก็แล้ว ยังไม่เห็นพวกเผ่ามารระดับสูงเลย หรือล้วนถูกผู้อาวุโสมารฆ่าตายจนเกลี้ยง”
ผู้พูดคือเฟิ่งกุยจวิน ช่วงเวลาก่อนหน้านี้เขายังเป็นคนเฝ้าเมืองสวินหยางอยู่หลายสิบปี และตอนนี้กลับกลายเป็นแม่ทัพคนหนึ่งของแนวหน้าแล้ว
คืนนั้น ขณะอยู่ด้านล่างเวทีละคร ตอนได้ยินคำพูดที่เหลียงหงจวงพูดกับสังฆราช เขาก็คลับคล้ายว่าจะเดาจุดจบของตนเองได้
แต่เขานึกไม่ถึงว่า ตนอยู่แนวหน้า จะได้อยู่กองเดียวกับเหลียงหงจวง และไม่รู้ว่านี่คือเจตนาของสังฆราช หรือการจัดสรรของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
เหลียงหงจวงไม่สนใจเขา
เฟิ่งกุยจวินจึงยิ้มเย็นชา แล้วว่า “ราชสำนักต้องการให้ข้ามาตาย เป็นการตอบแทนทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของจวนเหลียงอ๋อง แล้วเจ้าล่ะ พี่ชายท่านนั้นของเจ้าเหตุใดถึงไม่มา กลับให้เจ้ามาตาย”
ใช่แล้ว การมายังพื้นที่รกร้างเช่นนี้ ไม่ว่าจะพูดตามความหมายใด ก็คือการมาตาย แม้ในตอนนี้เผ่ามนุษย์จะครองความได้เปรียบอย่างแท้จริงก็ตาม ในการสู้รบมากมายที่เกิดขึ้น จำนวนพลทหารเผ่ามารที่เสียชีวิตเป็นสองเท่าของพลทหารเผ่ามนุษย์ ทว่า…ที่สุดแล้วก็ยังมีคนตาย โดยเฉพาะตอนนี้มีคนมากมายสังเกตเห็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างแปลกประหลาดนี้
การพูดเย้ยหยันของเฟิ่งกุยจวิน ส่วนใหญ่มาจากความรู้สึกไม่ปลอดภัยส่วนตัว
หลังจากกองทัพเผ่ามนุษย์เข้ามาในทุ่งหญ้า พบเจอกับกองทัพเผ่ามารมากมาย เกิดการสู้รบที่ดุเดือดหลายสมรภูมิ
แต่ผู้คนพลันค้นพบปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดมากอย่างหนึ่ง
ไม่นับเจ้าหน้าที่ทางการทหารไม่กี่คน ในการสู้รบเหล่านี้ ไม่เห็นเงาร่างของชนเผ่ามารระดับสูงใดๆ เลย
กระทั่งพลหมาป่าที่แข็งแกร่งสุดของเผ่ามาร ก็ไม่เห็นร่องรอยแม้แต่น้อย ราวกับหายสาบสูญไปอย่างไรอย่างนั้น ส่วนที่ดุจกระแสน้ำหลากพุ่งเข้ามาหากองทัพเผ่ามนุษย์นั่น ล้วนเป็นพลทหารเผ่ามารทั้งสิ้น
พลทหารเผ่ามารระดับล่างเหล่านี้ พัฒนาการทางสติปัญญาช้า หรือโง่เขลาเบาปัญญาก็ว่าได้ แม้มีพลังมากกว่าคนธรรมดา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลธนูของเผ่ามนุษย์และปรมาจารย์ค่ายกล ก็กลายเป็นเป้าสังหารไป ตามหลักแล้ว น่าจะรับมือได้ไม่ยาก
ปัญหาอยู่ที่ พลทหารเผ่ามารที่กองทัพเผ่ามนุษย์พบเจอในตอนนี้ไม่เหมือนก่อนหน้านี้
พลทหารเผ่ามารในตอนนี้กลายเป็นใจกล้ามากขึ้น อารมณ์ดุร้าย วิธีก็ยิ่งโหดร้าย กระทั่งมีความรู้สึกไม่กลัวความตายชนิดหนึ่ง
ถ้าบอกว่าเมื่อก่อน พลทหารเผ่ามารเหล่านี้มีระดับสติปัญญาต่ำ พวกเขาในตอนนี้ก็คล้ายสูญเสียจิตใต้สำนึกไป กลายเป็นเครื่องจักรสังหารที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่
พลทหารเผ่ามารจำนวนนับไม่ถ้วนดุร้ายและไม่กลัวตาย ประเดประดังเข้ามาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้กองทัพเผ่ามนุษย์เกิดแรงกดดันอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการสู้รบ หรือจิตใจ
กองทหารที่มีเฟิ่งกุยจวินเป็นผู้นำ มีจำนวนลดลงอย่างน่าใจหาย ไม่รู้ว่าจะต้านทานไว้ได้นานแค่ไหน
สถานการณ์เดียวกันนี้ น่าจะเกิดขึ้นในทุ่งหญ้าอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
เหลียงหงจวงจึงว่า “น่าจะเป็นตัวยาบางอย่างที่ทำให้เจ้าพวกน่าเกลียดเหล่านี้สูญเสียเหตุผลไป ถึงได้กรูกันมาตาย”
หลายคนก็คาดเดาเช่นนี้ เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดสงครามเพิ่งเริ่ม วิธีการรับมือของเผ่ามารก็รุนแรงขนาดนี้แล้ว
ต้องรู้ว่ายาเหล่านั้นมีผลข้างเคียงที่รุนแรง กระทั่งเสี้ยวเวลาแรกที่ดื่มยาลงไป พลทหารเผ่ามารก็เท่ากับตายแล้ว
เฟิ่งกุยจวินมองดูทิวทัศน์พลบค่ำที่สีเข้มลงเรื่อยๆ ความกังวลในดวงตาก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน จนพึมพำออกมา “เผ่ามารคิดทำอะไรกันแน่”
จากความหมายหลายอย่าง เขาถูกราชสำนักส่งมาตายจริง เพราะต้องการบรรเทาความไม่พอใจในอดีตของจวนเหลียงอ๋อง
แต่อย่างไรเขาก็ทำหน้าที่เฝ้าเมืองสวินหยางมานับสิบปี ตอนนี้ก็ได้เป็นแม่ทัพของแนวหน้า
เหลียงหงจวงว่า “เผ่ามารคิดทำให้เราตกใจจนถอยหนี”
เฟิ่งกุยจวินอึ้ง เข้าใจความหมายของเขาแล้ว จึงเผยรอยยิ้มขมขื่นบนใบหน้าออกมา
พวกเขาเป็นกองหน้าที่อยู่หน้าสุด ถ้ากลศึกของเผ่ามารเป็นเช่นนี้จริง พวกเขาก็ต้องแบกรับกระแสการโจมตีอย่างต่อเนื่อง
จวบจนกระโจมกองบัญชาการกลางจะออกคำสั่งให้ถอย หรืออีกฝ่ายตายเรียบเสียก่อน
“เจ้าว่าพวกเราล้วนถูกส่งให้มาตาย แล้วจะกลัวไปทำไมกัน”
เหลียงหงจวงว่า “อีกอย่างต่อให้ตายตอนนี้ เราก็กำไรแล้ว”
ตั้งแต่เปิดศึกจนถึงตอนนี้ เขาได้สังหารพลทหารเผ่ามารไปสามสิบกว่านาย ส่วนเฟิ่งกุยจวินกับทหารในสังกัดก็สังหารศัตรูได้เป็นจำนวนมากกว่ากองตนเองสามเท่า
กำไรแล้วจริงๆ
เฟิ่งกุยจวินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
เหลียงหงจวงถุยต้นหญ้าที่อมไว้ในปากทิ้ง แล้วเริ่มร้องเพลงเศร้าๆ เพลงหนึ่ง
เสียงก่นด่ารอบด้านดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้หยุดร้อง
เสียงร้องของเหลียงหงจวงแปลกอยู่บ้าง ลึกล้ำและห่างไกลมาก ราวกับแม่น้ำที่ไหลเอื่อยๆ ในทุ่งหญ้า
“ฟังละครที่เจ้าร้องในเมืองสวินหยางมาหลายปี มักรู้สึกว่าวิธีการร้องของเจ้าแปลกอยู่บ้าง แต่กลับไม่เคยได้ถามเจ้าเลย”
เฟิ่งกุยจวินถามต่อ “ตกลงเจ้าได้รับการถ่ายทอดจากสำนักไหน หลูหลิงสกุลจิน หรือจวี๋สุ่ยจาง”
เหลียงหงจวงตอบ “ว่ากันว่าเป็นวิธีการร้องละครเพลงของเมืองเสวี่ยเหล่า”
เฟิ่งกุ่ยจวินตกใจมาก ชี้ไปยังซากศพพลทหารเผ่ามารในพงหญ้าเหล่านั้น พลางว่า “ของเล่นพวกนี้ฟังออกไหม”
เหลียงหงจวงส่ายศีรษะ “ไม่รู้สิ”
ท้องฟ้ายามค่ำคืนพลันมีสัญญาณเตือนภัยและคำสั่งเร่งด่วนที่อินทรีแดงส่งมา
กองทัพเผ่ามนุษย์หลายกองที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ล้วนถูกศัตรูจู่โจม
และทิศทางจู่โจมหลักของศัตรูอยู่ในทุ่งหญ้านี้
ต้นหญ้าสั่นสะเทือนเล็กน้อย
พลบค่ำดำมืด เปลี่ยนเป็นค่ำคืน
ในความมืด ไม่รู้ว่ามีพลทหารเผ่ามารมากน้อยแค่ไหนบุกเข้ามา
เฟิ่งกุยจวินรู้ว่าการสู้รบในครั้งนี้ ต้องยืดเยื้อไปทั้งคืนแน่ สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นซีดขาวขึ้นโดยไม่รู้ตัว “พวกเรายังจะเห็นแสงเช้าของวันพรุ่งนี้ได้หรือเปล่า”
เหลียงหงจวงยืนขึ้น เหลือบมองท้องฟ้ายามค่ำคืน แล้วว่า “วันนี้ดวงดาวสวยมาก”