ท้องฟ้ายามค่ำคืนถูกมุมใต้ชายคาที่ไม่ไกลกันมาก ตัดออกเป็นผ้าสีดำชิ้นไม่ใหญ่ชิ้นหนึ่ง
ดวงดาวในวันนี้ สว่างมากจริงๆ ราวกับถูกถักทอด้วยดิ้นทองเป็นลายดอกเล็กๆ มากมายบนผ้าสีดำ สวยสดงดงาม
ที่นี่คือตำหนักที่อยู่ลึกที่สุดในพระราชวังหลี และเป็นที่ที่เฉินฉางเซิงพักอาศัยอยู่
เขาในตอนนี้กำลังทานข้าว โดยมีโก่วหานสือนั่งเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ
ชิวซานจวินอยู่เฝ้าเขาหลีซาน ชีเจียนก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ตามเจ๋อซิ่วขึ้นเหนือไปด้วย
กวนเฟยไป๋ เหลียงปั้นหู ไป๋ไช่ ไปแนวหน้าแล้ว
โก่วหานสือกลับต้องมาอยู่กับเขา
มื้ออาหารที่เรียบง่ายมื้อหนึ่งเสร็จสิ้นลง อันหวาพาอาจารย์ผู้ประคองจดหมายราชการที่เพิ่งส่งมา วางลงบนโต๊ะยาวตรงหน้าเฉินฉางเซินกับโก่วหานสือ
ในตำหนักไม่มีเสียงใดๆ มีเพียงเสียงน้ำหยด ติ๋งๆ
กระถางใบไม้ครามไม่รู้ไปไหนแล้ว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด โก่วหานสือถึงได้เงยหน้าขึ้น ยื่นมือลูบใบหน้าที่อ่อนล้าไปมา
อันหวาที่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง จึงส่งผ้าขนหนูร้อนๆ ที่เตรียมไว้แต่แรกให้
โก่วหานสืออึ้งเล็กน้อย ขอบคุณเสียงเบา แล้วรับผ้าขนหนูมาเช็ดหน้า
พอเฉินฉางเซิงอ่านจดหมายราชการจบ อันหวาก็รีบก้าวเข้าไป
สักพัก เขากับเฉินฉางเซิงก็เริ่มคุยเสียงเบากัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ทำการวิเคราะห์จดหมายราชการเหล่านี้
ความคิดเห็นที่พวกเขานำเสนอ จะถูกส่งถึงวังหลวงในระยะเวลาอันสั้น มอบให้องค์จักรพรรดิพิจารณา
ขณะเดียวกัน ด้านสำนักเด็ดดาราก็จะนำเสนอความคิดเห็นอีกส่วนหนึ่งเช่นกัน
องค์จักรพรรดิกับประธานองคมนตรี และรัฐมนตรีกรมต่างๆ จะมาปรึกษาหารือกัน แล้วสรุปในท้ายที่สุด
ตอนนี้ทุกสิ่งอย่างของราชสำนักต้าโจว ล้วนเคลื่อนไหวอยู่รอบๆ สงครามในครั้งนี้
ส่วนงานราชการธรรมดาเหล่านั้น การดำรงชีวิตของประชาชนแต่ละเขตเมือง ก็มอบให้ม่ออวี่จัดการ
ต้องพูดว่า องค์จักรพรรดิทรงไว้วางใจในตัวม่ออวี่มาก
และดูจากปฏิกิริยาในหลายวันมานี้ของเฉาเหยี่ย นางมิได้ผิดต่อความไว้วางใจและการอบรมสั่งสอนของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ในปีนั้น
ชีวิตเช่นนี้ดำเนินไประยะหนึ่ง แต่ก็ยังมีบางจุดที่โก่วหานสือไม่สามารถปรับตัวได้
เช่นผ้าขนหนูที่อันหวาส่งมาให้ ทำไมถึงได้ร้อนเช่นนั้น หรือนางไม่กลัวมือพอง
เขาเป็นคนละเอียดมาก สังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่า มือของอันหวาไม่มีรอยแผลจริงๆ
เรื่องถัดมาก็คือ เหตุใดพระราชวังหลีถึงได้รับรายงานการรบจากแนวหน้า เร็วกว่ากรมกลาโหม
โดยเฉพาะข่าวสำคัญบางข่าว ทั้งๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นที่แนวหน้า พระราชวังหลีก็รู้เรื่องแล้ว
นี่ทำให้โก่วหานสือไม่สามารถเข้าใจได้
เมื่อเทียบกันแล้ว วิธีของเผ่ามารกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกตกใจอะไรมาก
“หนังสือปิดผนึกลำดับที่เจ็ด ที่กระทรวงสิบสามชิงเหย้าส่งกลับมา ยืนยันว่าหัวใจของพลทหารเผ่ามารเหล่านั้นเติมโลหิตจนขยายใหญ่กว่าสภาวะปกติหนึ่งเท่า”
เขาพูดกับเฉินฉางเซิงว่า “เราคาดการณ์ไม่ผิด พวกเขาใช้ยากระตุ้นพละกำลัง ขณะเดียวกันก็ทำลายสติสัมปชัญญะ ทำให้ไม่มีสัญชาตญาณกลัวความตายอีก”
เฉินฉางเซิงถาม “มียาแก้ไหม”
คำพูดเพิ่งออกจากปาก เขาก็ส่ายศีรษะ รู้ตัวว่าถามคำถามที่โง่เขลายิ่ง
ต่อให้สามารถค้นพบยาแก้ ก็ไม่มีปัญญาทำให้พลทหารเผ่ามารนับแสนเหล่านั้นยอมกินลงไปหรอก
ถ้าเขากับโก่วหานสือคาดเดาไม่ผิด ยาชนิดที่เผ่ามารใช้ ความจริงแล้วมาจากเผ่ามนุษย์
เมื่อหมื่นปีก่อน พรรคฉางเซิงเคยจับปีศาจรับใช้มามากมาย ว่ากันว่าผู้สูงอายุในพรรคบางคนมีนิสัยแปลกๆ และมีความสามารถมาก ชอบใช้ปีศาจรับใช้เหล่านั้นวิจัยความบ้าคลั่งของเผ่าปีศาจ ไม่รู้ว่าสุดท้ายพวกเขาวิจัยอะไรออกมาหรือไม่ แต่กลับสร้างศักยภาพทางชีวภาพที่ก่อให้เกิดความรุนแรงชนิดหนึ่งขึ้น ยาบังคับให้บ้าคลั่ง
ยาชนิดนี้ออกฤทธิ์แรงมาก ใช้ครั้งแรกก็ทำให้หัวใจระเบิดและตายได้ โดยไม่มีข้อยกเว้น ดังนั้นจึงถูกพรรคฉางเซิงปิดเป็นพื้นที่ต้องห้าม
ตอนนี้ยาชนิดที่เผ่ามารใช้ คล้ายกับยาที่พรรคฉางเซิงบันทึกไว้ในคัมภีร์เต๋ามาก
พอนึกถึงข้อเท็จจริงที่พรรคฉางเซิงลอบสมคบคิดกับเผ่ามาร ความจริงก็อยู่ตรงหน้า
โชคดีที่พรรคฉางเซิงไม่รอด ถูกซูหลีฆ่าล้างบางไปเมื่อยี่สิบปีก่อน
“เดิมทีจำนวนทหารของเผ่ามารสู้เราไม่ได้ แต่ตอนนี้พลทหารเผ่ามารสองสามคนแลกชีวิตเราได้หนึ่งคน”
เฉินฉางเซิงว่า “วิธีการเช่นนี้ รู้สึกบ้าคลั่งเกินไป ไม่มีเหตุผล”
โก่วหานสือว่า “มีเหตุผลหรือไม่ ต้องดูสถานการณ์จริง พลทหารเผ่ามารมีความสำคัญมากในการสืบพันธุ์ของเผ่ามาร ถ้าตายมากเกินไป ในระยะยาวย่อมมีผลกระทบต่ออนาคตของเผ่ามาร แต่ตอนนี้สิ่งแรกที่พวกเขาคิดก็คือ ต้องอยู่รอดให้ได้ ถ้าสามารถทำให้เราตกใจและถอยหนี ต่อให้พลทหารเผ่ามารตายไปสี่ในห้า เกรงว่าพวกเขาก็ยอมรับได้”
เฉินฉางเซิงฟังแล้วก็เงียบ
ในรายงานจากแนวหน้า บรรยายสถานการณ์ได้โหดร้ายอยู่บ้างจริงๆ สงครามเพิ่งเริ่ม เผ่ามารก็แสดงท่าทีเผด็จศึกออกมา แม้ไม่มีผู้แข็งแกร่งออกโรง แต่คิดว่าภาพของพลทหารเผ่ามารนับแสนที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต เป็นใครก็ต้องรู้สึกตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนที่พลทหารเผ่ามารจะบ้าคลั่งชนิดจู่โจมแบบฆ่าตัวตายเข้ามา มีพลทหารเผ่ามนุษย์มากมายสติแตก ในสนามรบที่มีแรงกดดันสูง เกิดเหตุการณ์หนีทหารขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้น ราชันแห่งหลิงไห่นำทหารม้าจากนิกายหลวงเดินทางผ่านมา สังหารพลทหารเผ่ามารต่อเนื่องไปร้อยกว่าศพ ก็ไม่มีทางปรามเอาไว้ได้
ถ้าเผ่ามารคิดใช้วิธีนี้ทำให้กองทัพเผ่ามนุษย์ตกใจจนล่าถอย หรืออย่างน้อยก็ทำให้กองทัพเผ่ามนุษย์ล้มเหลวในการปกครอง เช่นนั้นก็ต้องยอมรับว่า พวกเขาทำสำเร็จแล้ว
เหลียงหงจวงมีความคิดเช่นนี้ โก่วหานสือก็เช่นกัน แต่เขาคิดไปไกลกว่าเหลียงหงจวงอยู่บ้าง
“ข้าไม่รู้ว่า เป็นแผนของราชามารหรือวิธีการของคนชุดดำ แต่ชัดเจนว่า จุดประสงค์สำคัญของฝ่ายตรงข้ามก็คือทำลาย”
โก่วหานสือลุกขึ้นยืน “เขาคิดทำลายความกล้าหาญและสติของเรา ยังมีสิ่งสำคัญที่สุด เวลา”
แสงใสๆ ที่ควบแน่นเป็นแผนที่ ห้อยลงมากลางอากาศ
เขาใช้นิ้ววาดเส้นสามเส้นลงบนแผนที่ แล้วว่า “ถ้าดูจากจุดเด่นของการจู่โจมจากฝ่ายตรงข้ามกับการดำเนินไปของเวลา จุดประสงค์ของพวกเขาก็ชัดเจนมาก ซึ่งก็คือ ต้องการใช้การจู่โจมแบบกระแสน้ำหลากสามครั้งนี้ ใช้ทุ่งหญ้าสามหมื่นกว่าลี้นี้และชีวิต แลกกับเวลาที่พอเพียง”
ระยะห่างจากแผนแรก กองทัพเผ่ามนุษย์ช้าไปแล้วสิบเจ็ดวัน
ถ้าช้าเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ต่อให้กองทัพเผ่ามนุษย์สามารถจู่โจมการป้องกันในแต่ละชั้นของเผ่ามารจนแตกพ่าย และไปถึงเมืองเสวี่ยเหล่าในที่สุด เกรงเพียงว่านั่นก็เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว
นั่นคงเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่มิอาจจินตนาการได้
“แล้วเราควรทำอย่างไรดี” เฉินฉางเซิงถาม
โก่วหานสือเงียบไปสักพัก ก่อนว่า “ถ้าทำได้ตามแผนเดิมก็ดี”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจอยู่บ้าง “แบบที่คิดว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้นหรือ”
“ในข้อเท็จจริง แน่นอนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเราล้วนรู้ว่าเผ่ามารต้องทำการต้านทานทุกวิถีทาง”
โก่วหานสือว่า “ในทางกลับกัน ข้าเห็นว่า ไม่ว่านี่เป็นแผนของราชามารหรือคนชุดดำ ล้วนทำผิดมหันต์ ไม่มีสงครามใหญ่มาหลายปี ทัพใหญ่กองหน้าของเราอย่างน้อยครึ่งหนึ่งไม่เคยออกรบ ครั้งนี้เผ่ามารมีศักยภาพในการบุกจู่โจมอย่างรวดเร็ว พอดีให้กลายเป็นการทดสองครั้งหนึ่ง การเคี่ยวกรำครั้งหนึ่ง ให้พวกเขากลายเป็นทหารอาวุโสที่แท้จริง”
เฉินฉางเซิงว่า “การทดสอบและการเคี่ยวกรำเช่นนี้ ผ่านได้ยาก”
โก่วหานสือตอบ “ถ้ากระทั่งด่านนี้ยังไม่ผ่าน จะพูดถึงการโจมตีเมืองเสวี่ยเหล่าไปทำไม”
เฉินฉางเซิงว่า “ต่อให้สามารถผ่านด่านนี้ ก็ต้องเกิดความสูญเสียที่คาดไม่ถึงมากมายอยู่ดี”
“ถูกต้อง ครั้งนี้ต้องมีคนตายมากมาย อาจเป็นคนที่เรารู้จัก เป็นคนที่เราเห็นว่าไม่ควรตายเร็วเช่นนี้”
โก่วหานสือมองเขาพลางว่า “แต่ใครๆ ล้วนต้องตาย พวกเราต้องไปยังที่นั่น พวกเราก็ต้องตาย ดังนั้น ได้โปรดสงบนิ่ง”
เฉินฉางเซิงเดินไปข้างบ่อน้ำ มองดูกระบวยตักน้ำที่ถูกน้ำซัดจนค่อยๆ หมุน นึกถึงกระถางใบไม้คราม นึกถึงภาพในเมืองทางใต้ที่ค่อยๆ กลายเป็นซากปรักหักพัง และจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อุ้มใบไม้ครามไว้ขณะต่อสู้อย่างหนักหน่วง จึงพูดเสียงขรึม “ข้าไม่อยากอยู่ในจิงตู”
“ไม่ได้”
โก่วหานสือไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เฉินฉางเซิงว่า “ในเมื่อช้าเร็วก็ต้องไป ทำไมไม่รีบไปเล่า”
โก่วหานสือตอบ “เจ้าเป็นสังฆราช ยิ่งต้องอยู่ในจิงตู เพื่อทำให้จิตใจของผู้คนสงบลง มีเพียงตอนที่เราสามารถมองเห็นเมืองเสวี่ยเหล่า เจ้าจึงสามารถจากไปได้”
ตอนที่สามารถมองเห็นเมืองเสวี่ยเหล่า ก็คือตอนเผด็จศึกสุดท้าย
ถ้าตอนนั้นเฉินฉางเซิงออกจากจิงตู ก็จะไม่ทำให้ผู้ศรัทธาและประชาชนกังวลกับสถานการณ์ในการรบ แต่จะเพิ่มพูนความเชื่อมั่นในชัยชนะมากยิ่งขึ้น
นี่คือข้อสรุปที่ถูกกำหนดไว้แล้ว หรือพูดได้ว่า นี่คือเรื่องที่หารือกันเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนเปิดศึก
ตอนกองทัพเผ่ามนุษย์จู่โจมเมืองเสวี่ยเหล่า เฉินฉางเซิงจะอยู่ในสนามรบ มิใช่องค์จักรพรรดิ
จดหมายราชการถูกเหล่าอาจารย์นำออกไป ความคิดเห็นเชิงกลยุทธ์ได้ถูกส่งไปยังพระราชวังหลีอย่างเร็วที่สุด ส่งถึงพระตำหนัก
โก่วหานสือรับผ้าขนหนูร้อนที่อันหวาส่งมา พูดขอบคุณ แล้วคลุมลงบนใบหน้า บรรเทาความอ่อนล้าเสียหน่อย
ตอนที่เขาลืมตาขึ้น ก็พบว่าเฉินฉางเซิงไม่อยู่แล้ว
พลันมีเสียงกระบี่ดังมา
โก่วหานสือมาถึงนอกห้องศิลา
เฉินฉางเซิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ในห้องศิลาไม่มีกระบี่
ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
โก่วหานสือรู้สึกได้ว่าอารมณ์เขาแปลกๆ จึงถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เฉินฉางเซิงตอบ “เหลียงหงจวงตายแล้ว”
โก่วหานสือมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อย “เหลียงหงจวง?”
เฉินฉางเซิงว่า “ใช่ คนผู้หนึ่งที่ข้ารู้จัก”