โก่วหานสือเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนว่า “ข้ารู้ว่าเขาเป็นใคร”
เหลียงหงจวงเป็นน้องชายของเหลียงหวังซุน ระหว่างเขากับพรรคกระบี่หลีซานยังมีความสัมพันธ์ลับๆ อีกชั้นหนึ่ง…เขามีสายเลือดเดียวกันกับเหลียงปั้นหูและเหลียงเสี้ยวเสี่ยว
ทั้งสองนิ่ง ไม่พูดจา ในห้องศิลาเงียบสงบ
คล้ายกับที่พวกเขาสนทนากันก่อนหน้านี้ว่า ครั้งนี้อาจเกิดการสูญเสียที่ไม่คาดคิด บางคนในสายตาของพวกเขา ไม่ควรเสียชีวิตเร็วเช่นนี้…เสียชีวิต
เหลียงหงจวงก็เป็นคนเช่นนี้ เขาคือคนสำคัญของจวนเหลียงอ๋อง เป็นยอดฝีมือขั้นรวบรวมดวงดาวท่านหนึ่ง เสียชีวิตขณะสงครามเพิ่งเริ่มได้ไม่กี่วัน ถ้าพูดกันตามเกณฑ์ที่ผ่านมา ยังอีกไกลกว่าจะถึงขั้นที่น่าเศร้า แต่แล้วเขาก็เสียชีวิตลงเช่นนี้
เฉินฉางเซิงกับเหลียงหงจวงพบเจอกันสามครั้ง พูดจากันหลายสิบประโยค พูดไม่ได้ว่าสนิท แต่อย่างไรก็เป็นคนรู้จัก
ในสนามรบ เขายังมีคนรู้จักอีกมาก ถังซานสือลิ่ว ราชันแห่งหลิงไห่ อาจารย์และศิษย์ในนิกายหลวง อย่างชูเหวินปิน ยังมีนาง
แต่โก่วหานสือก็มีคนรู้จักมากมายเช่นกัน กวนเฟยไป๋ เหลียงปั้นหู ไป๋ไช่ อาจารย์อาที่หอกระบี่ สหายเต๋าจากเทียนหนาน
“ขออภัย ข้าไม่ควรให้เจ้ามาเตือน” เฉินฉางเซิงพูดกับโก่วหานสือ
โก่วหานสือว่า “เจ้าควรเดาได้ว่า คำพูดเหล่านี้ โหย่วหรงอยากให้ข้าพูดกับเจ้า”
เฉินฉางเซิงมองดูลูกปัดหินที่ร้อยอยู่บนข้อมือ แล้วว่า “คำพูดเหล่านี้ จริงๆ แล้วนางพูดกับข้าตรงๆ ก็ได้”
……
……
คนเฝ้าเมืองสวินหยางคนก่อน เฟิ่งกุยจวินเคยกังวลใจว่า จะสามารถต้านทานการบุกทั้งคืนติดต่อกันของเผ่ามารได้หรือไม่ จะสามารถเห็นแสงเช้าของวันพรุ่งนี้หรือไม่
ข้อเท็จจริงพิสูจน์ให้เห็นว่า ความกังวลใจของเขา ล้วนเกินกว่าเหตุ
กองทหารของเขาต้านทานการบุกครั้งที่หนึ่งไม่ได้ ตอนฟ้าเริ่มมืดค่ำ ก็ถูกพลทหารเผ่ามารที่คลุ้มคลั่งเหล่านั้นทลายการป้องกัน
จำนวนพลทหารเผ่ามารมากมายเกินไปจริงๆ
หลังจากแสงดาวทำให้เห็นกระแสคลื่นสีดำนั่นในพงหญ้า ใจของเขากับพลทหารเผ่ามนุษย์ทุกคนล้วนส่งเสียงคราง
เหลียงหงจวงไม่ได้คราง ใบหน้าไม่มีความหวาดกลัว ไม่มีครวญครางหรือโหยไห้ และไม่ได้ร้องเพลงฮึกเหิม แต่พุ่งเข้าไปสังหารกระแสคลื่นสีดำสายนั้น
ข้อเท็จจริงยังคงพิสูจน์ได้เช่นกันว่า คนกล้าหาญมักได้รับพรดี
กองหนุนมาทันเวลาพอดี ขุนพลเทพเผิงสือไห่นำทหารม้ามาด้วยตนเองและประสบผลสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การรบทั้งหมด ช่วยชีวิตเหล่าทหารหาญที่อดทนยืนหยัดเฝ้ามาสองวันสองคืน
ทั่วทั้งทุ่งหญ้าล้วนเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือด สถานการณ์ส่วนใหญ่ล้วนต้องต่อสู้ด้วยลำแข้งของตัวเอง ที่นี่สามารถได้รับความช่วยเหลือ ย่อมมีบุคคลสำคัญมาเกี่ยวข้อง
แม้เป็นคนที่ราชสำนักส่งมาตาย แต่ราชสำนักก็ไม่ยินยอมที่จะเห็นคนเฝ้าเมืองสวินหยางตายเร็วเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า ที่นี่ยังมีเหลียงหงจวง
กองไฟถูกจุดให้ลุกขึ้นมาใหม่ ส่องสว่างให้พงหญ้า
พลทหารเผ่ามารสูญเสียสติสัมปชัญญะ จึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องถูกลอบโจมตี
เหล่าทหารที่รอดชีวิตล้อมวงรอบกองไฟ ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบโลหิต ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
เครื่องแต่งกายชุดพิธีการสีขาวกว่าสิบชุดกำลังเต้นระบำอยู่บนทุ่งหญ้า ดูไปก็เหมือนดอกไม้สีขาวที่สวยงาม ดึงดูดสายตายิ่ง
เหล่าศิษย์และอาจารย์ของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าทำการค้นหาผู้บาดเจ็บที่รอดชีวิตรอบบริเวณ และให้การรักษาด้วยยาอย่างทันท่วงที บางครั้งยังมองเห็นแสงสว่างที่เคล็ดวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์นำพามา
เสียดาย ในสนามรบที่โหดร้ายนี้ ยากพานพบผู้บาดเจ็บ ในพงหญ้าล้วนเป็นซากศพของพลทหารเผ่ามนุษย์
จวบจนสุดท้าย ก็ยังไม่มีใครพบเหลียงหงจวง
ตอนที่พบผู้เฝ้าเมืองสวินหยางคนก่อนเฟิ่งกุยจวินนั้น ทั่วทั้งร่างของเขามีแต่โลหิต สีหน้าของเขางงงวยเป็นอย่างยิ่ง และเขาก็พึมพำกับตัวเองอย่างตื่นตระหนกไม่หยุด
“นี่ นี่…จำเป็นด้วยหรือ จำเป็นด้วยหรือ…”
ไม่มีใครเข้าใจว่าเขาอยากพูดอะไรกันแน่ และไม่มีใครรู้ว่า เหตุใดเขาถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
เฟิ่งกุยจวินจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้อย่างแจ่มชัด
เหลียงหงจวงถือทวนเหล็กพุ่งเข้าหาพลทหารเผ่ามารที่รวมตัวกันเป็นกระแสคลื่นสีดำ และจมหายไปอย่างรวดเร็ว
ผู้ที่ได้รับการปรนเปรอมาหลายปีเช่นเขา หวาดกลัวมากจริงๆ หันกายวิ่งหนีแทบไม่ทัน แต่ประสบการณ์หลายวันมานี้บอกเขาว่า พลทหารเผ่ามารในตอนนี้ได้กลายเป็นสัตว์ป่าไปแล้วจริงๆ ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะพูดกันอีก ถ้าไม่ฆ่าฝ่ายตรงข้ามให้หมด พวกมันก็ต้องไล่ล่าท่านไปตลอด
และอย่างไรเขาก็เป็นคนเฝ้าเมืองสวินหยาง
อดีตคนเฝ้าเมืองสวินหยาง
ตอนนี้เป็นแม่ทัพท่านหนึ่ง
เขาจึงร้องตะโกนเสียงดัง แล้วพาเหล่าทหารที่อยู่รอบๆ ดาหน้าเข้าสังหารพลทหารเผ่ามาร
เรื่องราวหลังจากนั้น เบื้องต้นเขาล้วนลืมสิ้น จำได้เพียงตนเองกวัดแกว่งคมดาบไม่หยุด หกล้มไม่หยุด จากนั้นก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้น แรกเริ่มก็ยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของร่างกาย ต่อมากระทั่งความเจ็บปวดก็ไม่รู้สึกแล้ว เพียงรู้สึกว่าดาบในมือหนักขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจก็เปลี่ยนเป็นหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่เขาเหนื่อยล้าสุดจะทน อะไรล้วนไม่สนใจทั้งสิ้น ตอนที่นอนลงไปอย่างนั้น พลันได้ยินเสียงดังแหวกความมืดมาจากระยะไกล
กองหนุนมาถึงแล้ว!
เขาตื่นตัวทันที เค้นพละกำลังเฮือกสุดท้ายฝ่าวงล้อมออกไป แต่หลังพงหญ้านั้น เขากลับต้องตกอยู่ในความสิ้นหวัง พลทหารเผ่ามารหลายสิบตนเพิ่งกรูกันออกจากความมืดมาที่นี่ น้ำลายเหม็นคาวจากปากที่เผยอหยดลง ดวงตาสีแดงโลหิต
และตอนที่เขานึกว่าตนกับเหล่าทหารคนสนิทต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแล้วนั้น พลันเห็นคนคนหนึ่งอยู่ในพลทหารเผ่ามาร
เหลียงหงจวงยืนขึ้น ถือทวนเหล็ก ส่ายโงนเงนไปมา
เฟิ่งกุยจวินอยากตะโกนให้เหลียงหงจวงรีบหนีไป แต่กลับตะโกนไม่ออก
เหลียงหงจวงไม่ได้หนี
เขาเลือกทำลายตัวเอง
พลังปราณแท้ที่เชื่อมต่อกับแดนลี้ลับไร้รูปทั้งร้อยแปด พุ่งออกมาพร้อมกัน
ดอกไม้ไฟสีเงินดอกหนึ่งส่องสว่างให้พงหญ้า
ดวงดาวที่ร้อนแรงและศักดิ์สิทธิ์ ฉีกร่างพลทหารเผ่ามารเหล่านั้นในพริบตา
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว นี่คือวิธีการตายที่โหดร้ายที่สุด เป็นการบอกลาที่เจ็บปวดที่สุด
……
……
“จำเป็นด้วยหรือ เป็นเพียงแค่ความตายมิใช่หรือ”
“ข้าไม่ได้บอกว่าไม่ยอมตาย จำเป็นที่ต้องทำให้ตัวเองเจ็บปวดเช่นนี้ด้วยหรือ”
เฟิ่งกุยจวินนั่งซึมเซายู่บนพื้นหญ้า
“แม่ทัพเฟิ่ง?”
หญิงสาวผู้สวมชุดพิธีการสีขาวคนหนึ่งเดินเข้ามาข้างกายเขา
ผ้าคลุมหน้าติดหมวกบดบังใบหน้านาง ทำให้เสียงของนางเปลี่ยนเป็นยากคาดเดา
เฟิ่งกุยจวินมิได้สนใจนาง
แสงสีดำสายหนึ่งวาบผ่าน
ฝ่ามือของเฟิ่งกุยจวินถูกปิ่นเล็กๆ แทง เห็นเป็นรูโลหิตเล็กๆ รูหนึ่ง
ความเจ็บมาได้จังหวะพอดี กลับไม่ทำให้เขากรีดร้อง แต่ทำให้เขาได้สติในที่สุด
ยังคงอาศัยแสงจากดวงดาว แต่ครั้งนี้ไม่เห็นกระแสคลื่นพลทหารเผ่ามารเช่นนั้นอีก แต่เห็นใบหน้าที่งดงามสุดจะเปรียบใบหน้าหนึ่ง ทำให้เขาตกตะลึง
“ใช่…ท่านหรือเปล่า”
เฟิ่งกุยจวินถามด้วยเสียงอันสั่นเทา จากนั้นก็ร้องไห้ขึ้นมา
“ท่านน่าจะมาช่วยเขานะ”
หญิงสาวนางนั้นไม่สนใจเขา พูดอย่างไม่ยี่หระ “ยินดีด้วย ตอนนี้เจ้ามีทางเลือกสองทาง เจ้าได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าได้ทำการรบอย่างกล้าหาญ ความผิดที่เจ้าเคยก่อ ได้รับการชดใช้แล้ว เจ้าสามารถกลับเมืองสวินหยางได้ แน่นอนไม่สามารถเป็นผู้เฝ้าเมืองอีก แต่สามารถเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ต่อไปได้”
เฟิ่งกุยจวินมีท่าทีงุนงงเล็กน้อย จึงถาม “ทางที่สองเล่า”
หญิงสาวนางนั้นว่า “เจ้าสามารถอยู่ต่อ รักษาอาการบาดเจ็บให้หาย แล้วติดตามกองทัพบุกขึ้นเหนือต่อ”
เฟิ่งกุยจวินไม่ได้พูดอะไรอยู่เนิ่นนาน
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก็น่าจะรู้แล้วว่า สองทางเลือกนี้ ควรเลือกทางไหน
ถ้าเป็นครึ่งชั่วยามก่อน เขาสามารถตัดสินใจเลือกอย่างง่ายดาย
แต่ตอนนี้ เขากลับรู้สึกว่ายากเหลือเกิน
เขารู้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้หลอกตนเอง เพราะนั่นเป็นเรื่องไม่คุ้มค่าที่ฝ่ายตรงข้ามจะทำ
“ข้าเลือกทางที่สอง”
เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย เห็นชัดว่ายังคงหวาดกลัวอยู่
หญิงสาวนางนั้นแปลกใจอยู่บ้าง จึงถาม “เพราะอะไร”
เฟิ่งกุยจวินเงยหน้าขึ้น มองนางพลางตอบอย่างจริงจัง “ได้ยินว่าในเมืองเสวี่ยเหล่ามีละครเพลง”
หญิงสาวนางนั้นพยักหน้า
เฟิงกุยจวินจึงว่า “ข้าอยากไปฟังสักหน่อยว่า เสียงร้องของหลูหลิงสกุลจิน กับจวี๋สุ่ยจางแตกต่างกันอย่างไร”
……
……
เฟิ่งกุยจวินกับผู้บาดเจ็บสาหัสที่ถูกค้นพบ ถูกส่งตัวไปรักษาในค่ายใหญ่ทางใต้
หลังจากหายดีแล้ว พวกเขาสามารถเลือกที่จะกลับกอง และสามารถเลือกที่จะกลับบ้าน
ศิษย์และอาจารย์จากกระทรวงสิบสามชิงเหย้ายังอยู่ที่สนามรบ ค้นหาผู้บาดเจ็บต่อ และรักษาอาการบาดเจ็บให้
ในบางขณะ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของยาสมุนไพรก็กลบกระทั่งกลิ่นคาวโลหิตกับกลิ่นเหม็นเน่าได้
สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสงบและนิ่งที่สุด ยังคงเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น
การให้ความช่วยเหลือดำเนินต่อจนถึงช่วงกลางวัน
ไม่ว่าอาการบาดเจ็บสาหัสแค่ไหน ขอเพียงถูกพวกนางพบเจอ ในเบื้องต้น ล้วนรักษาหาย กระทั่งบางครั้งยังเกือบจะมหัศจรรย์ด้วยซ้ำ
สงครามหยุดพัก
พลทหารเผ่ามารในรัศมีร้อยกว่าลี้ถูกสังหารเกลี้ยง
ทหารแนวหน้ารักษาพื้นที่ไว้ได้ แต่ที่แปลกก็คือ นอกจากอินทรีแดงที่ไปกลับค่ายใหญ่แล้ว ยังมีห่านป่าแดงมากมายร่อนลงบนพงหญ้า หลังเที่ยงก็มีม้าเร็วจำนวนมากมาถึงอย่างต่อเนื่อง
ข่าวหนึ่งค่อยๆ แพร่กระจายไปในหมู่ทหารนับหมื่น
ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อยู่ในพงหญ้านั้น
……
……
สวีโหย่วหรงเดินไปทางพงหญ้า
ที่ที่นางผ่านมา เปลวไฟสีทองได้เผาซากศพพลทหารเผ่ามารที่เน่าเสียให้กลายเป็นควันสีเขียว
พอถูกเปิดเผยสถานะ ย่อมไม่มีความจำเป็นที่จะปกปิดอีก
ลมเย็นๆ พัดมา หอบควันลอยไป ทุ่งหญ้ากลับคืนสู่ความสดใส
ทหารม้าสิบกว่านายรออยู่ด้านหน้า
พลทหารคุกเข่าเต็มสองข้างทางของพงหญ้า ผู้บาดเจ็บก็พยายามคุกเข่าลง สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกศรัทธาและโชคดี
สามารถได้รับการรักษาจากมือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ นี่เป็นพรที่ต้องบำเพ็ญเพียรอีกกี่ชาติหนอ
ทหารม้าที่รีบรุดมาจากต่างสถานที่ หมายถึงตัวแทนของขุนพลเทพมากมาย ในนั้นย่อมมีที่หมายถึงกลุ่มบุคคลสำคัญบางกลุ่มที่จิงตูด้วย
พวกเขาล้วนเป็นทูต อยากเตือนให้สวีโหย่วหรงรีบกลับจิงตู
สาเหตุที่สำคัญสุด ย่อมเป็นเพราะความปลอดภัย
ใครๆ ก็รู้ว่า เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มีสายเลือดของหงส์สวรรค์ มีพรสวรรค์ในบำเพ็ญเพียรอย่างแท้จริง แม้อายุน้อย แต่กลับเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วครึ่งก้าว
แต่ที่นี่เต็มไปด้วยความตายกับรังสีฆ่าฟันของสมรภูมิรบ สังฆราชมิได้อยู่ข้างกายนาง จึงมักทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ไว้วางใจอยู่บ้าง
ยังมีสาเหตุสำคัญอีกอย่าง ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีก็มิได้อยู่ข้างกายนาง
กลุ่มศิษย์ของสถานศึกษาหนานซีตอนนี้ก็มิได้อยู่ที่ค่ายใหญ่ทางใต้ แต่อยู่ที่กระโจมบัญชาการกลาง ซึ่งมีความสำคัญมากสุดและอยู่ไกลออกไปอีก มีหน้าที่คุ้มครองผู้บัญชาการทหารสูงสุดของการเดินทางไปทางเหนือในครั้งนี้
ทหารม้าเหล่านั้นพากันคุกเข่าลง ขอร้องอย่างขมขื่น ให้เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กลับเมืองหลวงโดยเร็ว
สวีโหย่วหรงไม่แม้แต่จะมองพวกเขา รับจดหมายฉบับหนึ่งจากมือศิษย์หญิงสถานศึกษาหนานซีคนหนึ่ง
ศิษย์หญิงคนนั้นรีบเร่งเดินทางมาโดยมิได้หยุดพัก เหนื่อยล้าสุดๆ จึงนั่งลงกับพื้นเริ่มทำสมาธิ แค่คิดก็รู้แล้วว่า จดหมายฉบับนี้สำคัญมาก
เป็นจดหมายที่มาจากกระโจมบัญชาการกลาง แต่มิได้มาจากผู้บัญชาการทหารสูงสุด และมิได้เกี่ยวข้องกับจิงตู แต่เยี่ยเสี่ยวเหลียนเป็นคนเขียน
ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีที่คุ้มครองกระโจมบัญชาการกลางในตอนนี้ นางทำหน้าที่บัญชาการ และเพราะเหตุนี้ นางถึงได้รู้ข่าวลับๆ มากมาย
แน่นอน ไม่เว้นแม้แต่ข่าวบุคคลสำคัญบางกลุ่ม คิดใช้นางเป็นทางผ่าน นำข่าวที่ถูกต้องส่งต่อให้สวีโหย่วหรง
……
……
บุคคลสำคัญหลายคน รวมทั้งขุนพลเทพเหล่านั้น รู้มาตลอดว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อยู่ในสนามรบ
การต่อสู้ที่โหดร้ายเมื่อหลายวันก่อน นางนำพาศิษย์อาจารย์กระทรวงสิบสามชิงเหย้า ไปตามสนามรบแต่ละสนาม ไม่รู้ว่าได้ช่วยชีวิตพลทหารมากน้อยเท่าใด
เหตุใดช่วงนั้น บุคคลเหล่านี้ถึงไม่ได้ว่าอะไร แต่วันนี้กลับลุกขึ้นมา ใช้เรื่องความปลอดภัย ขอร้องแล้วขอร้องอีกให้นางกลับเมืองหลวง
โดยเยี่ยเสี่ยวเหลียนได้ให้คำอธิบายในจดหมายว่า วันนี้สวีโหย่วหรงได้ช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บในพงหญ้าไว้มากจนเกินไป
ซึ่งถ้าคิดจะช่วยชีวิตคนบาดเจ็บสาหัสใกล้ตายมากขนาดนี้ ไม่สามารถอาศัยเพียงเคล็ดวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องใช้ยาชนิดนั้น
หลายวันก่อน นางก็คิดว่าต้องใช้ยาชนิดนั้น แต่ปริมาณที่ใช้ไม่นับว่ามากเกินไป ทุกคนยังยอมรับได้
วันนี้ ยาที่นางใช้มากเกินไป ทุกคนรับไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงอยากเชิญนางให้จากไป
ความจริงทุกคนคิดว่า อำนาจการแจกจ่ายยาชนิดนี้ไม่ควรอยู่ในมือนาง…เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มีเมตตากับชาวโลก พอเห็นใครบาดเจ็บก็ช่วยหมด โดยไม่คำนึงถึงการจ่ายค่าตอบแทนใดๆ แต่ยาชนิดนั้น ถ้าใช้กับพลทหารธรรมดาจนหมด ต่อไปถ้าขุนพลเทพบาดเจ็บจะทำอย่างไร ท่านอ๋องกำลังจะตายจะทำอย่างไร
นี่ฟังดูโหดร้ายมาก แต่ที่นี่คือสนามรบ นี่คือการสู้รบ การแจกจ่ายทรัพยากรใดๆ ควรมีกฎเกณฑ์ ความเป็นความตายคือชีวิต แต่ก็ต้องมีหนักมีเบา
หลายปีมานี้ไม่มีสงคราม พระราชวังหลีจึงยกเลิกกฎการแจกจ่ายยาจูซาในแต่ละเดือน ดังนั้นเพียงทำการคำนวณอย่างง่ายๆ ก็จะคิดได้ว่าตอนนี้มียาจูซาสะสมไว้มากน้อยเท่าใด
อำนาจในการแจกจ่ายยาจูซาอยู่ในมือของพระราชวังหลี แต่ในการดำเนินการจริง มักต้องถามความคิดเห็นของผู้นำทัพแนวหน้าหน่อย
ถึงเป็นช่วงบ้านเมืองสงบสุข ทหารม้าเหล่านี้ ในนามตัวแทนเจตจำนงของบุคคลสำคัญรวมกัน ก็ไม่มีทางทำให้นางหวั่นไหวแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้เป็นช่วงศึกสงคราม สถานะของกองทัพสูงขึ้นเรื่อยๆ และจุดประสงค์ของเหล่าผู้นำทัพก็สมเหตุสมผลในทุกๆ มุมมอง พวกเขาให้ความเคารพนางเพียงพอ
แล้วนางจะตอบกลับอย่างไร
สวีโหย่วหรงยื่นมือขึ้น ค่อยๆ ถอดหมวกติดผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าสวยสมบูรณ์ใบนั้น
รอบๆ ทุ่งหญ้ายิ่งเงียบสนิท
มีเพียงศิษย์หญิงจากสถานศึกษาหนานซีที่ยืนอยู่ใกล้ๆ นาง ถึงได้เห็นความอ่อนล้าในดวงตานาง
นางมองไปยังทหารม้าเหล่านั้น
ลมเย็นๆ โบกพัดต้นหญ้าสูงๆ ในทุ่ง ส่งเสียงเหมือนคลื่นอย่างไรอย่างนั้น