สวีโหย่วหรงมองดูขวดกระเบื้องใบเล็กในมือ โดยไม่ได้พูดอะไร
ขวดกระเบื้องใบเล็กเช่นนี้ นางยังพอมีอยู่บ้าง แต่มิได้อยู่ในแขนเสื้อ อยู่ในธนูถง
สายตานับไม่ถ้วนพุ่งมาที่มือนาง ถ้าไม่กระตือรือร้น ก็ตื่นเต้น หรือไม่ก็รู้สึกไม่ปลอดภัย
พวกเขาเดาถูกแล้ว ขวดกระเบื้องใบเล็กนี้ บรรจุยาจูซาในตำนานอยู่
และก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ผู้นำทางทหารทั้งหลายขอร้องแล้วขอร้องอีกให้สวีโหย่วหรงรีบกลับเมืองหลวง
“โอสถเหล่านี้เป็นของเฉินฉางเซิง ของของเขาก็คือของของข้า”
สวีโหย่วหรงมองดูทหารม้าที่คุกเข่าเหล่านั้นพลางว่า “ข้ารู้ว่าในหมู่พวกเจ้ามีหลายคนที่ไม่พอใจ แต่อย่าให้ข้ารู้ เพราะนั่นจะทำให้ข้าหัวเสีย”
ร่างกายทหารม้าเหล่านี้เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อสุดจะเปรียบ เพราะรู้ความหมายในน้ำเสียงที่สงบนิ่งของนางแล้ว
ความหมายแฝงก็คือ ไม่จำเป็นต้องพูดข้อมูลสำคัญที่ใครๆ จะได้ยินออกมา
นางกำลังตอบคนทั้งโลก
ถ้านางหัวเสีย โลกใบนี้อาจไม่มียาจูซาอีก
เหล่าทหารม้าทำความเคารพนางด้วยท่าทีเทิดทูนเป็นที่สุด และจากไปอย่างเร็วที่สุด กระจายคำสั่งของนางไปทั่วทุกทุ่งหญ้า
หญิงสาวจากสถานศึกษาหนานซีนางนั้นมองนาง อยากพูดอะไรแต่ก็ยั้งไว้
มิสู้กลับไปไม่ดีกว่าหรือ
ร่างกายและจิตใจของสวีโหย่วหรงทรงพลังมาก แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็ยังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง
แต่นางไม่มีทางจากไปแน่
มีเพียงอยู่ที่นี่ นางจึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในสนามรบ สถานการณ์ตามความเป็นจริงมากที่สุด
ขณะเดียวกัน พวกที่อยู่ในเมืองหลวง ก็จะได้เห็นสถานการณ์ตามความเป็นจริงมากที่สุดด้วย
สถานการณ์ซับซ้อนมาก จากคำยืนยันของผู้สมัครเป็นผู้บัญชาการสูงสุด จุดนี้เพียงพอที่จะเห็นลางบอกเหตุบางอย่างแล้ว
สวีซื่อจี ผู้ที่คนมากมายเสนอชื่อ หลังจากได้รับจดหมายของนาง ก็ปิดจวนไม่ออกมาอีก บอกว่าป่วย ขอลาป่วย
ขุนพลเทพอย่างพวกเผิงสือไห่ เฉินกวนซง ครอบครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของแคว้นต้าโจวในปัจจุบันก็จริง แต่ถ้าคิดจะเลือกผู้บัญชาการสูงสุดจากในกลุ่มของพวกเขา ย่อมถูกต่อต้านอย่างมากจากระบบทหารตะวันตกที่มีเซวียเหอเป็นตัวแทน และนี่ก็ยากจะได้รับความเห็นชอบจากฝั่งพระราชวังหลี
ส่วนผู้สมัครที่ใกล้ชิดกับนิกายหลวง ก็ไม่มีทางได้รับการสนับสนุนจากขุนนางใหญ่ในราชสำนักและอ๋องสกุลเฉิน
กลุ่มคนคิดไปคิดมา ที่สุดแล้วก็พุ่งเป้าสายตาไปยังสถานที่ที่ถูกผู้คนจำนวนมากลืมไปนานแล้ว จวนขุนพลเทพตงอวี้
ตอนนี้เห็นทีสวีซื่อจีจะเป็นผู้สมัครที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดจากกองกำลังหลายฝ่าย
แล้วจวนสวี่ก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ประตูใหญ่ก็ปิดสนิท สวีซื่อจีขอลาป่วย
ผู้คนเข้าใจดีว่านี่คือเจตนารมณ์ของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ย่อมไม่มีทางฝืน
และสุดท้าย ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็เหนือความคาดหมายมาก
ตอนพระบัญชาศักดิ์สิทธิ์ของราชสำนัก ถูกส่งไปยังเขตต่างๆ มีคนมากมายไม่เคยได้ยินชื่อนี้
ขุนพลเทพเฮ่อหมิง เคยเป็นผู้บัญชาการทหารม้าเกราะดำ จัดการเรื่องต่างๆ อย่างสงบนิ่ง กระทั่งพูดได้ว่าไม่มีใครรู้จัก
แต่ประสบการณ์ของเขาอาวุโสพอ เป็นศิษย์ของเฉินกวนซง แต่ไม่สนิทกับพวกเผิงสือไห่และแกนนำของสำนักเด็ดดารา อีกทั้งในการต่อสู้ที่นิกายหลวงเมื่อสิบปีก่อน เขานำพากองหนุนเกราะดำมาหยุดอยู่นอกภูเขาที่ถล่มลงมา แสดงว่ามีความลึกล้ำและหนักแน่นมาก ขณะเดียวกัน ก็ได้รับความชื่นชมจากองค์จักรพรรดิกับองค์สังฆราชด้วย
พูดอีกอย่างก็คือ สาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้เขาได้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็คือ ทุกฝ่ายยอมรับเขา และเขาก็มิใช่คนของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ปัญหาอยู่ที่ นี่ก็หมายความว่า เขาไม่ใช่คนของเฉินฉางเซิง และไม่ใช่คนขององค์จักรพรรดิ
ต่อให้เป็นคนล้ำลึกและหนักแน่นเพียงใด ขณะมือกุมอำนาจ ก็อาจมีความคิดเป็นอื่น
ในสนามรบที่โหดร้าย ขณะความกระหายเลือดถูกกระตุ้น ความทะเยอทะยานอยากก็มักจะเติบโตไปพร้อมกับมัน ดังนั้นสวีโหย่วหรงไม่มีทางไปจากที่นี่
……
……
เงาของความตาย ในที่สุดก็ไปจากทุ่งหญ้าแห่งนี้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยาที่ใช้ลบล้างเหตุผล กระตุ้นศักยภาพชนิดนั้นไม่มีแล้ว หรือพลทหารเผ่ามารล้มตายกันเป็นจำนวนมาก ทำให้ทางเมืองเสวี่ยเหล่ารับไม่ไหว สรุปแล้วต้นฤดูร้อนในวันหนึ่ง กองทัพเผ่ามนุษย์ก็ไม่เห็นพลทหารเผ่ามารที่ดูเหมือนสัตว์ป่าตาแดงก่ำเหล่านั้นบุกเข้ามาอีก
ระหว่างการล่าถอยของกองทัพเผ่ามาร บางครั้งยังมีการต่อสู้แบบธรรมดาอยู่ เห็นชัดว่า พลทหารเผ่ามารเหล่านั้นไม่ได้ใช้ยาชนิดนั้นแล้ว แม้ยังโง่เขลาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับกล้าพุ่งเข้าใส่ค่ายกลธนูแบบนั้น ยิ่งไม่ถึงกับกระทั่งตายก็ไม่กลัว
โลหิตทั่วทั้งทุ่งหญ้ามีสีแตกต่างกัน โลหิตที่แห้งกรังเหล่านั้นจะเปลี่ยนเป็นก้อนสีก้อนใหญ่ มองจากระยะไกลเหมือนภาพวาดภาพหนึ่ง
เฮ่อหมิงมองดูแผนที่ของทุ่งหญ้า แล้วนึกถึงคำพูดของอาจารย์ที่เชิญมาจากพระราชวังหลี ตอนเรียนวัฒนธรรมเผ่ามารกับเฉินกวนซงในสำนักเด็ดดาราเมื่อหลายปีก่อน
“เผ่ามารเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง เผ่ามารระดับล่างกับสัตว์ร้ายไม่มีอะไรแตกต่างกัน ส่วนเผ่ามารระดับบนกลับมีสุนทรียภาพที่ยากจินตนาการ ซึ่งระหว่างสองชนชั้นนี้ก็ใช่ว่าจะแยกกันโดยสิ้นเชิง ยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและมีอิทธิพลซึ่งกันและกันอยู่ ดังนั้นภาพวาดของเมืองเสวี่ยเหล่า จึงมักปรากฏภาพลามกที่ดูเหมือนหยาบคายอยู่…”
ถ้าเชื้อพระวงศ์ในเมืองเสวี่ยเหล่าสามารถใช้งานเผ่ามารระดับล่างดุจอสูรปีศาจอย่างไรอย่างนั้น สงครามในครั้งนี้ก็อาจเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมอำมหิต ถ้าตอนนี้เผ่าปีศาจยังเป็นผู้รับใช้ของเผ่ามาร สงครามในครั้งนี้ก็ยิ่งไม่มีโอกาสชนะเลย
ต้องขอบคุณองค์จักรพรรดิไท่จงที่ตัดสินใจอย่างชาญฉลาดในปีนั้น
เมื่อมองไปทางทิศที่ตั้งของจิงตู ขุนพลเทพเฮ่อหมิงกับใต้เท้าสังฆราชก็เกิดความรู้สึกคล้ายกัน
ขั้นตอนในการเริ่มสงครามครั้งนี้ ดำเนินไปอย่างโหดร้ายมาก ไกลเกินกว่าการคิดคำนวณก่อนสงคราม
ถ้าพูดจากความหมายบางอย่าง นี่เป็นการปะทะกันของปณิธาน การสะสมทรัพยากร และการตัดสินใจของเผ่ามนุษย์และเผ่ามารที่มีมานับพันปี
การปะทะกันชนิดนี้ ที่สุดของความจริง ตกอยู่ที่ยาสองชนิด
ด้านเผ่ามารใช้ยาพิษที่พรรคฉางเซิงพัฒนาขึ้น ดูจากปริมาณ จริงๆ แล้วเมืองเสวี่ยเหล่าได้เตรียมการเพื่อสงครามในครั้งนี้มานานหลายปี
ด้านเผ่ามนุษย์ สังฆราชเฉินฉางเซิงได้พยายามทุกวิถีทาง สะสมยาจูซามาสิบปี ซึ่งเบื้องต้น ไม่มีวัตถุดิบชนิดนี้หลงเหลือแล้ว
ถึงตอนนี้ สงครามก็ดำเนินเข้าสู่ช่วงที่สอง
กองทัพเผ่ามนุษย์บุกขึ้นเหนือไม่หยุด ไปตามเส้นทางที่กองทัพเผ่ามารพ่ายแพ้ กระทั่งทำลายแนวป้องกันทั้งสองข้างทาง ปล่อยให้ทุ่งหญ้าคืนสู่เผ่ามนุษย์
อุณหภูมิค่อยๆ สูงขึ้น ฤดูร้อนกำลังจะมา และก็มาถึงกลางฤดูร้อนจริงๆ แต่ทุ่งหญ้านั้นกว้างขวาง ระหว่างแนวเทือกเขาทอดยาวหลายพันลี้ที่อยู่ด้านหน้า มีช่องว่างมากมาย ลมพัดผ่านจากตรงนี้ กองทัพจึงประจำการที่นี่ กลับไม่รู้สึกว่าร้อนจนทนไม่ไหว กระทั่งยังรู้สึกว่าช่วงเวลาเช้าตรู่นั้นเย็นอยู่บ้าง
เช้าตรู่ของบางวัน ท้องฟ้าสีเทาหม่นพลันปรากฏจุดแดงเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจุดหนึ่ง ลากเส้นสีแดงเส้นหนึ่ง น่าจะเป็นอินทรีแดงตัวหนึ่ง
ช่วงเวลาขณะที่อินทรีแดงเพิ่งบินผ่านยอดเขา สองทหารยามที่เฝ้าระวังอยู่พบเห็น จึงเป่าแตรเตือน
ทหารม้ากลุ่มหนึ่งควบม้าออกจากค่าย ไม่รู้ว่าเพื่อให้มั่นใจในการปกป้องความปลอดภัยของข่าวกรอง หรือต้องการตอบโต้สิ่งใด
อินทรีแดงตัวนั้นน่าจะพบเห็นสถานการณ์ของศัตรูบนภูเขา แม้ตามหลักการแล้ว ภูเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้ได้รับการตรวจตราแล้วหลายครั้ง ไม่น่าจะมีอะไรซุ่มโจมตี แต่ที่นี่อย่างไรก็เป็นอาณาเขตของเผ่ามาร ใครจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีวิธีการอะไรที่แปลกประหลาดอีก
อินทรีแดงตัวนั้นรวดเร็วยิ่ง ไม่มีความรู้สึกอ่อนล้าให้เห็น แต่พอบินผ่านหน้าผาสูงชันไปไม่ไกล จู่ๆ ก็ตกลงสู่พื้น หน้าผานั่นมีอะไรกันแน่
กองหินที่ไหนสักแห่งพลันปรากฏเงาร่างสายหนึ่ง คล้ายสายฟ้าวาบเข้ามาในทุ่งหญ้า แล้ววิ่งไปทางค่ายทหารเผ่ามนุษย์
นั่นคือศิษย์ศาลาหวันโสว ที่เลื่องชื่อด้านเคล็ดวิชาเคลื่อนไหวร่างกายให้รวดเร็ว ทำหน้าที่เฝ้ายามในด่านหน้าซึ่งอันตรายสุด
ขณะที่ศิษย์ศาลาหวันโสวผู้นั้นอยู่ห่างจากค่ายทหารราวหนึ่งลี้ พลันมีเสียงทึบตันดังขึ้น แล้วร่วงหล่นลงบนพื้นดิน
“ยิงธนู!”
ในค่ายทหาร มีเสียงตะโกนที่โกรธเกรี้ยวและแหลมคมดังมา ตามด้วยเสียงขึ้นสายธนู ลูกธนูนับร้อยดอกพร้อมแสงเทพศักดิ์สิทธิ์ พุ่งแหวกแสงสลัวยามเช้า ตกลงที่ด้านหลังศิษย์ศาลาหวันโสวผู้นั้น ครอบคลุมพื้นรัศมีหลายสิบจั้ง ทิ้งรูไว้อย่างหนาแน่น ด้านในคลับคล้ายมีควันสีเขียวลอยขึ้น
กองทัพเผ่ามนุษย์ผ่านประสบการณ์มามาก พลทหารเผ่ามารที่ชำนาญการไล่ล่ามักโผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน
เร็วมาก ทหารม้ากลุ่มนั้นมาถึงข้างกายศิษย์ศาลาหวันโสวแล้ว
ขาของศิษย์ศาลาหวันโสวเต็มไปด้วยโลหิต เห็นชัดว่าขาดแล้ว
แต่เขากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เอาแต่ร้องตะโกน “ในภูเขามีเผ่ามาร! มองไม่ออกว่าเผ่าไหน แต่มีเป็นจำนวนมาก!”
เหล่าทหารม้าดึงเขาขึ้นบนหลังม้า ควบกลับค่ายทหาร
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า มีทหารม้าสามนายห้อตะบึงไปยังภูเขาลูกใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปต่อ ไม่รู้ว่าไปทำอะไร
……
……
ยอดเขาในยามเช้ายังไม่ตื่นดี หน้าผาที่หันหน้าเข้าหากองทัพเผ่ามนุษย์มืดมาก
กลางหน้าผาพลันมีเสียงร้องของพลทหารเผ่ามารดังมา แต่กลับมองไม่ชัดว่าอยู่ตรงไหน
ทั้งๆ ที่ผ่านการตรวจตรามาแล้วหลายครั้ง เหตุใดถึงไม่พบร่องรอยของเผ่ามารเหล่านี้
ช่วงกลางหน้าผาสูงชันหลายร้อยจั้ง มีช่องเขาเล็กๆ หลายสิบช่อง ไม่ต้องพูดถึงพลทหารเผ่ามาร ต่อให้เป็นทหารเผ่ามนุษย์ที่มีรูปร่างผอมบาง ก็ไม่มีทางลอดเข้าไปได้
ตอนเริ่มตรวจตรา นึกว่าช่องเหล่านี้เป็นช่องนก จึงไม่ใส่ใจ
ไม่มีใครคิดว่า ศัตรูจะซ่อนตัวอยู่ในช่องนกเหล่านี้
เพราะศัตรูมิใช่พลทหารเผ่ามาร แต่เป็นนก
พวกมันเป็นนกอินทรีสีเทาดำชนิดหนึ่ง
นกอินทรีหลายพันตัว พุ่งออกจากช่องเล็กๆ เหล่านี้ จากนั้นก็กระพือปีก บินไปกลางอากาศ
เห็นชัดว่านกอินทรีเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมา กระทั่งอาจถูกควบคุมโดยตรง ด้วยเป็นระเบียบมาก แม้บินอยู่กลางอากาศ ก็ไม่แตกกลุ่มออกจากกัน
ทหารม้าสามนายอยู่ห่างจากภูเขาลูกใหญ่ระยะหนึ่ง พอเห็นความเคลื่อนไหวบนท้องฟ้า ก็ไม่เข้าใจอยู่บ้าง ในใจคิด ต่อให้นกอินทรีเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมา สามารถเปิดการโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดิน แต่ความคิดในการใช้กรงเล็บอันแหลมคม นำพาความสูญเสียมาสู่ค่ายทหารเผ่ามนุษย์นั้น เป็นเรื่องที่แปลกจนเกินไป
และในตอนนี้เอง แสงแรกยามเช้าก็ลอดผ่านรอยแตกบนโขดหินระหว่างภูเขา สาดลงบนทุ่งหญ้า
เส้นแสงที่มาอย่างฉับพลัน ทำให้นกอินทรีตัวหนึ่งตื่นตกใจขึ้นมา กางกรงเล็บออก วัตถุสีดำอันหนึ่งร่วงหล่นลง
เสียงตูมดังสนั่น พื้นหญ้าตรงด้านหน้าของหน้าผาพลันเกิดเปลวไฟกองใหญ่ลุกโชน
พอเห็นภาพตรงหน้า ทหารม้าสามนายก็หันมาสบตากัน และมองเห็นความตื่นตระหนกในดวงตาซึ่งกันและกัน แต่ไม่ได้ลดความเร็วลง กลับควบม้าไปยังภูเขาลูกใหญ่ด้วยความเร็วที่เพิ่มมากขึ้น