เปลวเพลิงหน้าภูเขาลูกใหญ่ ทำให้ค่ายใหญ่เอะใจและระมัดระวังขึ้นมาเช่นเดียวกัน
เหล่าทหารหาญตื่นจากหลับฝัน หยิบอาวุธ แล้ววิ่งไปยังตำแหน่งของตน
เหล่าปรมาจารย์ค่ายกลต่างเตรียมวางค่ายกลไว้พร้อมใช้งานอย่างรวดเร็ว โดยให้พลธนูแปดร้อยคนรวมตัวกันเป็นค่ายกลธนู แล้วทั้งหมดก็เคลื่อนตัวไปอยู่ด้านหน้าสุดของค่าย
ที่นี่คือค่ายเป่ยซาน มีขุนพลเทพเผิงสือไห่เป็นผู้บังคับบัญชา
เขาเห็นนกอินทรีนับพันตัวบินมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน แต่ยังคงมีท่าทีเฉยเมย น้ำเสียงไม่สั่นแม้แต่น้อย แล้วคำสั่งทางทหารมากกว่าสิบฉบับก็ถูกแจกจ่ายออกไปอย่างเป็นระเบียบ
มีเพียงทหารคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างกายเขา ถึงสังเกตเห็นว่าท่านผู้บัญชาการของตนกำหมัดแน่นตลอด จนเล็บขาวซีดอยู่บ้าง
นั่นมิใช่ความหวาดกลัว แต่เป็นความโกรธแค้นและวิตกกังวล
ถ้านกอินทรีทุกตัวล้วนพกอาวุธที่มีลักษณะคล้ายดินปืน วันนี้ค่ายเป่ยซานต้องเผชิญกับบททดสอบอย่างไรบ้าง
ค่ายกลที่ปรมาจารย์ค่ายกลวางเอาไว้ ครอบคลุมพื้นที่ครึ่งค่าย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าดินปืนเช่นนี้ ไม่มีทางต้านไว้ได้นาน
ส่วนการตั้งค่ายธนู น่าจะยิงนกอินทรีตกได้จำนวนหนึ่ง แต่ถ้าคำนวณตามความเร็วในการบินของนกอินทรีตอนนี้ เมื่อลูกธนูยิงถูกพวกมัน พวกมันก็บินอยู่เหนือค่ายแล้ว เช่นนั้นไม่ว่าพวกมันปล่อยดินปืนเองหรือว่าถูกยิง จะมีอะไรแตกต่างกัน
……
……
“ถ้าอาจารย์อยู่ก็ดีสิ!”
ทหารม้าคนหนึ่งตะโกนคุยกับทหารม้าอีกคนที่กำลังปีนหน้าผา
ทหารม้าอีกคนส่ายศีรษะ “ต่อให้อาจารย์ผู้อาวุโสอยู่ ก็ไม่น่าจะสามารถฆ่านกเหล่านี้ให้หมดเกลี้ยง”
ทหารม้าคนที่สามไม่ได้พูดอะไร เปล่งพลังปราณเยือกเย็นตลอดทั้งร่างออก รังสีฆ่าฟันพุ่งขึ้นฟ้า
ตามความคิดของเขา วันนี้ค่ายเป่ยซานต้องกลายเป็นทะเลเพลิงแน่ ต่อให้ค่ายกลสามารถต้านทานได้ระยะหนึ่ง ก็ต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนักเช่นกัน
และพลหมาป่าที่มีความเร็วมากสุดในเผ่ามารก็อาจกำลังรอโจมตีอยู่ทางเหนือของภูเขา พูดอีกอย่างก็คือ ไม่มีวิธีใดๆ ที่จะกู้คืนความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ได้
เช่นนั้นอย่างน้อยเขาต้องสังหารผู้ควบคุมนกอินทรีเหล่านี้ เพื่อไม่ให้ความพ่ายแพ้เช่นนี้เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อนอีก
การปีนหน้าผาสูงชันของทั้งสาม ก็เพื่อการนี้ เขากับทหารม้าอีกสองคนย่อมไม่ใช่พลทหารธรรมดา
แต่ต่อให้พวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่ง ขณะอยู่ในสนามรบก็ยังคงมีเรื่องมากมายที่ไม่สามารถแก้ไขได้
ทันใดนั้น ท้องฟ้ามีเสียงกรีดร้องดังขึ้น
ทหารม้าทั้งสามหยุดการเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ หันมองค่ายทหาร ที่มีเผ่ามนุษย์อยู่ แล้วก็เห็นฉากที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
ทุ่งหญ้าที่ถูกแสงในยามเช้าส่องถึง ค่อยๆ เปล่งแสงสีเขียวออก จนสุดท้ายกลายเป็นครอบแสงขนาดมหึมา ครอบค่ายทหารครึ่งหนึ่งไว้ด้านใน
ระยะที่อยู่ห่างขนาดนี้ ยังคงเห็นแสงศักดิ์สิทธิ์ของลูกธนูกะพริบวิบวับอยู่
กองทัพเผ่ามนุษย์เตรียมรับมืออย่างแข็งขัน
แต่นกอินทรีเหล่านั้น กลับไม่ได้บินไปด้านบนของค่าย พากันตกสู่พื้นดิน!
ระหว่างฟ้าดินคล้ายมีพลังไร้รูปและลึกลับสายหนึ่ง ปรากฏขึ้นตรงหน้าเหล่านกอินทรี ทำให้พวกมันตื่นตกใจ ไม่มีแรงกระพือปีก
นกอินทรีนับพันตัวคล้ายเม็ดฝน ตกลงบนพื้นดินก็มิปาน พอตกลงบนทุ่งหญ้าก็กลายเป็นเปลวเพลิงพุ่งขึ้นฟ้าสายหนึ่ง ฉากนี้อลังการมาก
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ทหารม้าคนหนึ่งตะโกนอย่างประหลาดใจยิ่ง
ทหารม้าผู้ที่เปล่งปราณเย็นออกมาตะโกน “รีบเร่งเร็วเข้า!”
พอเห็นว่าค่ายใหญ่ไม่เป็นไร ทหารม้าทั้งสามก็แปลกใจมาก จึงรีบปีนขึ้นไปบนช่องเขาที่อยู่กลางหน้าผาเหล่านั้นอย่างรวดเร็วดุจห่านเทาปากดำ!
ก่อนจะมาถึงช่องเขาเหล่านั้น ทั้งสามรู้สึกได้ถึงพลังปราณหยินเย็นที่ไหลออกมา รู้ว่าคนประหลาดเผ่ามารน่าจะยังอยู่ในนั้น จึงไม่รอช้า ในเสียงใสที่ลากยาว กระบี่ยาวถูกชักออกจากฝัก ดุจแสงเย็นสาดเข้าไปในช่องเขาอย่างไรอย่างนั้น ก่อนเล็ดลอดเข้าไปด้วยความเร็วเหนือจินตนาการ
แรกเริ่มในหน้าผาไม่มีสุ้มเสียงใดๆ แต่พลันมีเสียงทึบตันดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงตัดอย่างถี่ยิบไม่หยุด ระหว่างนั้นมีเสียงกรีดร้องและก่นด่าเป็นภาษาเผ่ามารแทรกอยู่ จนสุดท้ายคนประหลาดเผ่ามารผู้นั้นก็พูดประโยคหนึ่งซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด เห็นชัดว่าตื่นตระหนกและหวาดกลัวยิ่ง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดเสียงในหน้าผาก็จางหาย
กระบี่เย็นสามสายบินออกนอกช่องเขา กลับเข้าสู่ฝัก
แสงอาทิตย์สูงขึ้นกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย แสงในยามเช้าส่องยอดเขาลูกข้างๆ แล้วสะท้อนกลับมาที่หน้าผา ส่องเข้าที่ใบหน้าของทหารม้าทั้งสาม
ใบหน้าหนึ่งเงียบขรึมสงบนิ่ง ใบหน้าหนึ่งบากบั่นเย่อหยิ่ง ใบหน้าหนึ่งอ่อนเยาว์แคล่วคล่อง ซึ่งก็คือเหลียงปั้นหู กวนเฟยไป๋ และไป๋ไช่
ไป๋ไช่ถามอย่างประหลาดใจ “เมื่อครู่ ก่อนที่คนประหลาดเผ่ามารจะตาย ตะโกนว่าอะไรอยู่ตลอด”
เหลียงปั้นหูกับกวนเฟยไป๋สบตากัน แล้วยิ้มออกมา
กวนเฟยไป๋เก็บรอยยิ้ม ก่อนพูดอย่างจริงจัง “ศิษย์พี่ใหญ่ให้เจ้าเรียนภาษาเผ่ามารให้ดี ทำไมเจ้าไม่เชื่อฟัง”
ไป๋ไช่รู้สึกไม่เป็นธรรม “ภาษาเผ่ามารมีเป็นร้อย ข้าจะเรียนหมดได้อย่างไรกัน”
……
……
ได้ยินเสียงร้องทั่วทั้งทุ่งหญ้า
เพราะสถานการณ์เดียวกันนี้เกิดขึ้นกับค่ายทหารทุกค่าย
เผ่ามารมิได้ใช้กองทหารจำนวนมากบุกเข้าโจมตี แต่ทำการลอบโจมตีนับครั้งไม่ถ้วนในเวลาเดียวกัน
การลอบโจมตีเช่นนี้ หรือควรใช้คำว่าโจมตีอย่างฉับพลันมาบรรยาย วิธีการแปลกๆ แต่ละอย่างของเผ่ามารทั้งหมด ต้องส่งผู้แข็งแกร่งจำนวนมากออกมา
ซึ่งตั้งแต่รบกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่เผ่ามารส่งผู้แข็งแกร่งเข้ามาสู้รบ
แต่ก็เหมือนช่วงแรกของการสู้รบ พอออกตัว ก็จู่โจมอย่างเต็มที่ ไม่เหลือทางหนีทีไล่ใดๆ!
เผ่ามารมีอยู่สามพันกว่าเผ่า ในจำนวนนี้ เผ่าที่มีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมีไม่น้อยกว่าร้อยเผ่า
วันนี้หัวหน้าเผ่าเหล่านี้และนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา ทะลุขึ้นมาจากใต้ดิน บินออกจากหน้าผา ล้วนมีหน้าตาดุร้าย
ผู้ควบคุมสัตว์ร้ายจากทะเลสาบหิมะที่อยู่ห่างไกล สั่งให้สัตว์อสูรโจมตีด้วยวิธีฆ่าตัวตาย
นักรบพเนจรผู้ไม่สมปรารถนาจากชุมชนแออัดของเมืองเสวี่ยเหล่า สลัดหนังสัตว์ที่คลุมร่าง แล้วหยิบขวานมารหนักๆ ขึ้นมา กระโดดขึ้นจากฝูงอสูร
จุดประสงค์ของผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ชัดเจนมาก อีกทั้งเรื่องที่เตรียมไว้ล่วงหน้าก็กำหนดเป้าหมายไว้แน่นอนแล้ว ซึ่งก็คือ เสบียงของกองทัพเผ่ามนุษย์ ปรมาจารย์ค่ายกลและผู้บังคับบัญชา
การต่อสู้ในรูปแบบเล็กๆ นับร้อย เริ่มต้นพร้อมกันบนทุ่งหญ้า แม้ไม่เห็นว่าจะเกิดผลกระทบอะไรมากมายกับสถานการณ์การรบโดยรวม แต่กลับประสบความสำเร็จในการสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่
เบื้องหลังความโกลาหลมักมีจุดประสงค์ที่โหดเหี้ยมและชัดเจน
เมื่อแสงอาทิตย์ยามเช้าโผล่พ้นขอบฟ้า แสงสว่างก็ถูกภูเขาและทุ่งหญ้าหักเห ทำให้ฟ้าดินมืดลง จุดประสงค์ที่แท้จริงของเผ่ามารคล้ายชัดเจนแล้วในที่สุด
ผู้แข็งแกร่งในกองทัพเผ่ามารนับร้อย พร้อมจิตสังหารที่เด่นชัด ภายใต้การบดบังของกลยุทธ์ก่อกวนความลับสวรรค์ ได้มาถึงที่ที่ห่างจากกระโจมบัญชาการกลางเผ่ามนุษย์ไม่ถึงยี่สิบลี้
กลยุทธ์ก่อกวนความลับสวรรค์นั่น ทำให้เมฆที่เคลื่อนอยู่บนท้องฟ้ามารวมตัวกัน แล้วเม็ดฝนก็ตกใส่ใบหน้าและริมฝีปากของพลทหาร ทำให้รู้สึกเบาและว่างเปล่าอยู่บ้าง
นี่คืออำนาจของกฎเกณฑ์ หรือพูดได้ว่าผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ได้มาถึงแล้ว