ผู้บัญชาการสูงสุด ขุนพลเทพเฮ่อหมิง เป็นคนนิ่งๆ แต่ในบางแง่มุมกลับเป็นคนชอบเสี่ยงอันตราย กระทั่งพูดได้ว่ากล้าได้กล้าเสีย
กระโจมบัญชาการกลางถูกเขานำไปแนวหน้าสุด ห่างจากยอดเขาที่ชื่อนั่วรื่อหลั่งเพียงร้อยกว่าลี้
ในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องรักษาไว้อีก
ในที่สุด ผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ก็ลงมือ
แสงศักดิ์สิทธิ์สีขาวบริสุทธิ์เจิดจ้า ส่องสว่างฟ้าดินที่มืดมน ฉีกริ้วเมฆที่ติดกันเหมือนสำลีเหนียวเหล่านั้นออกจากกัน เผยให้เห็นท้องฟ้าสีครามมุมหนึ่ง
เหมาชิวอวี่กับแม่ชีเต๋าไหวเหรินวิ่งออกมาจากระโจมบัญชาการกลาง ระหว่างโบกแขนเสื้อ ได้สังหารยอดฝีมือเผ่ามารไปสิบกว่าตน
ไม่มีใครตื่นตกใจกับเหตุการณ์เช่นนี้
กระทั่งผู้แข็งแกร่งเผ่ามารที่เท่ากับถูกส่งมาตายเหล่านั้น ก็คาดเดาบทสรุปของตนเองได้แต่แรก
ที่สำคัญสุด ในกระโจมบัญชาการกลาง เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตศักดิสิทธิ์รักษาการณ์
ด้านเผ่ามาร เมื่อคาดการณ์ได้แต่แรก ย่อมเตรียมการให้สอดคล้อง
ท้องฟ้าพลันเปลี่ยนเป็นสีเทาหม่น
สีครามดุจถูกชะล้างจนมองไม่เห็น ในเมฆหมอกอันเบาบาง มีแผ่นสีดำแผ่นหนึ่ง คล้ายกระดานหมากรุกแตกหักที่เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง
ด้านล่างของยอดเขานั่วรื่อหลั่ง บนทุ่งหญ้าว่างเปล่า พลันปรากฏเส้นทางอุโมงค์มืดๆ ขึ้นสายหนึ่ง
ริมขอบของเส้นทางนี้ไม่เรียบร้อย คล้ายกระดาษที่ฉีกด้วยมือ
การเปรียบเทียบเช่นนี้ ความจริงแล้วเหมาะสมมาก เพราะเดิมทีนั่นก็คือ ยุทธวิธีก่อการร้ายของเผ่ามาร ฉีกช่องว่างมิติให้เป็นทางสายหนึ่ง
ขุนพลเผ่ามารหลายตนนำพาพลหมาป่าจากหุบเขาลึกที่ห่างออกไปหลายร้อยลี้พุ่งออกมา แล้วห้อตะบึงไปยังกระโจมบัญชาการกลาง
เมฆหมอกหนาขึ้นเรื่อยๆ บดบังแสงอาทิตย์ ความมืดคล้ายมาแต่หัววัน ในนั้นปรากฏร่างที่ใหญ่เป็นพิเศษหลายสาย
เชื่อว่าน่าจะเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือผู้ที่มียศถาบรรดาศักดิ์ในเมืองเสวี่ยเหล่า
ท่าทีของเหมาชิวอวี่กับไหวเหรินไม่เปลี่ยนแปลง สงบนิ่งมาก
เมื่อเผ่ามารสามารถคาดเดาได้ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ พวกเขาก็ย่อมคิดได้ว่าเผ่ามารต้องเตรียมการมาอย่างสอดคล้อง
คืนวาน พวกเขาเห็นความเป็นไปได้ที่จะปรากฏเส้นทางนั้นบนถาดดาวโชคชะตาแล้ว
จนถึงตอนนี้ ก็ไม่มีเรื่องอะไรแปลกใหม่เกิดขึ้นเหนือไปจากที่คาดหมาย
ทันใดนั้น สายตาของแม่ชีเต๋าไหวเหรินก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา
แขนเสื้อทั้งสองข้างของเหมาชิวอวี่ขยับ ทั้งๆ ที่ไม่มีลม
ยอดเขานั่วรื่อหลั่งพลันปรากฏเงาร่างสีดำสูงใหญ่มหึมาเงาหนึ่ง
ไม่เหมือนของเหล่าขุนพลมารและพลหมาป่า เงาดำนั้นมิได้ปรากฏขึ้นที่เส้นทางจากหุบเขาลึก แต่พลันปรากฏขึ้นที่ยอดเขา
สีท้องฟ้ามืดมนลง เมฆหมอกที่อยู่หน้ายอดเขาถูกลมพัดกระจายออกไปไม่น้อย เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเงาดำมหึมา
นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ยากพานพบ ยักษ์ล้มภูเขาในสมัยโบราณกาล ปากยื่นยาว เขาโค้ง ดุร้ายสุดจะเปรียบ สูงราวสี่สิบกว่าจั้ง
ตรงเขาโค้งของยักษ์ล้มภูเขา มีมารรูปร่างผอมมากตนหนึ่ง สวมชุดเกราะตลอดทั้งร่างนั่งอยู่ กระทั่งความสูงของเด็กมนุษย์ก็ยังห่างไกลมาก
บนชุดเกราะเต็มไปด้วยรูปภาพสลับซับซ้อน ถักทอด้วยดิ้นทอง ในนั้นยังแทรกด้วยสิ่งลี้ลับมากมาย บ้างเป็นอัญมณีสีเขียว บ้างเป็นทองแดงสนิมเขียว
พลังปราณอันน่าเกรงขามที่ยากจินตนาการสายหนึ่ง ทะลักออกจากช่องว่างของชุดเกราะ แต่กลับไม่เท่าสายตาเย็นชาและชั่วร้ายของเผ่ามารตนนี้
หลังจากเผ่ามารตนนี้ปรากฏตัวขึ้นที่ยอดเขา โลกรอบๆ รัศมีนับร้อยลี้คล้ายเงียบสงบไปชั่วขณะ
เพราะเขาคือผู้คุมกฎเผ่ามาร
หลังจากเงียบสงบไปชั่วขณะ ก็ได้ยินเสียงหอนและเสียงตะโกนฆ่า
พลหมาป่านับพันพุ่งเข้าไปยังกระโจมบัญชาการกลางอย่างบ้าคลั่ง
เนื่องจากผู้คุมกฎเผ่ามารมาถึงแล้ว
เห็นชัดว่าวันนี้ถ้าคิดรักษากระโจมบัญชาการกลาง เงื่อนไขที่ต้องทำก่อนก็คือรบชนะ อย่างน้อยก็ต้องต้านทานผู้คุมกฎเผ่ามารให้ได้
ในปีที่ราชามารอาวุโสยังมีชีวิตอยู่นั้น เขาก็คือผู้แข็งแกร่งอันดับสองในทุ่งหิมะอาณาเขตมารอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
ตอนนี้ราชามารอาวุโสตายแล้ว พูดได้หรือไม่ว่าเขาก็คือผู้แข็งแกร่งสุดของเผ่ามาร
ไม่มีใครรู้คำตอบนี้ เพราะคนบรรพตเยียนจือไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก และจนถึงทุกวันนี้ คนชุดดำก็ไม่ได้ลงมืออย่างเต็มที่อีก
แต่อย่างน้อยมีข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งยืนยันได้
ผู้คุมกฎเผ่ามารมิใช่ผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ธรรมดา
ถ้าเฉินฉางเซิงอยู่ที่นี่ อาจนึกถึงตอนซูหลีอยู่ข้างบ่อน้ำร้อน พูดถึงผู้คุมเผ่ากฎมาร และใช้คำว่าเสียสติ
กระทั่งซูหลียังรู้สึกว่าเสียสติ ก็พอจะจินตนาการได้ว่าผู้คุมกฎเผ่ามารตนนี้โหดเหี้ยมขนาดไหน แข็งแกร่งขนาดไหน
เหมาชิวอวี่ชัดเจนดีว่า ตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้คุมกฎเผ่ามาร ส่วนแม่ชีเต๋าไหวเหรินก็เข้าสู่ขั้นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่นาน เช่นนั้นใครเล่าจะต้านทานเขา
……
……
แสงกระบี่สายหนึ่ง พุ่งมาจากทางใต้
แสงกระบี่สายนี้ใสเย็น สงบนิ่ง เหมือนน้ำจริงๆ
แสงกระบี่ชะล้างเมฆหมอกบนท้องฟ้า หยุดเสียงหอนบนทุ่งหญ้า ดูเหมือนสบายๆ แต่ที่จริงแล้วแฝงรังสีสังหาร ฟันไปยังยอดเขา
ในพลหมาป่าที่ห้อตะบึงเข้ามา พลันมีควันสีดำลอยขึ้น ขุนพลมารที่แปดพุ่งตัวขึ้นไปบนฟ้า มือถือศาสตราวิเศษ ระเบิดพลังไปยังแสงกระบี่
แสงกระบี่คล้ายเป็นเงาสะท้อนของน้ำใต้ระเบียงทางเดิน สั่นไหวเล็กน้อย แล้ววนไปรอบๆ
เสียงหัวเราะเยาะเบาๆ ดังมา เกราะของขุนพลมารที่แปดปรากฏรอยกระบี่อย่างชัดเจนหนึ่งรอย ด้านในมีเส้นไฟคล้ายหินหลอมเหลวไหลอยู่
เป็นความเจ็บปวดที่ยากจะทานทน ทำให้ขุนพลมารผู้ขึ้นชื่อเรื่องการยืนหยัดตนนี้ส่งเสียงคำรามอย่างกราดเกรี้ยวออกมา
ในเสียงคำราม มีควันสีดำสายหนึ่งลอยขึ้นจากพลหมาป่า แต่พลังกลับเทียบไม่ได้กับก่อนหน้า ปราณมารพุ่งขึ้นฟ้า จับเข้าที่แสงกระบี่โต้งๆ
แสงกระบี่กะพริบเป็นระยะ ส่องสว่างควันดำ ได้ยินเสียงโลหะแตกหักเป็นครั้งคราว
ในที่สุด ขุนพลมารที่สามก็ต้านแสงกระบี่ไว้ได้ หมวกเกราะเต็มไปด้วยรอยกระบี่ เขามารหักเล็กน้อย โลหิตมารไหลออกไม่หยุด
แค่แสงกระบี่สายหนึ่ง ถึงกับต้องใช้ยอดฝีมือระดับขุนพลมารสองท่านลงมือก่อนและหลัง จึงสามารถยับยั้งไว้ได้ แถมยังมีสภาพยับเยินขนาดนี้ บาดเจ็บทั้งก่อนและหลัง
เทียบกับความคมของซูหลีแล้ว ย่อมแตกต่างกัน
เทียบกับความตรงไปตรงมาของเฉินฉางเซิงแล้ว ความมุมานะย่อมแตกต่างกัน
กระบี่นี้สงบนิ่งกว่า อ่อนโยนกว่า แต่กลับไม่สูญเสียความคม ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ คาดเดาไม่ได้ ยอดเยี่ยมเป็นที่สุด
ด้านค่ายใหญ่กลับมีกระโจมหนึ่ง ด้านในใช้เก็บของเบ็ดเตล็ดกองหนึ่ง
นักพรตชราคนหนึ่งก้าวออกมาจากด้านใน
มือขวาของเขาถือกระบี่เล่มหนึ่ง มือซ้ายถือฝักกระบี่ ไม่ว่าท่วงท่าการเดินหรือวิธีจับกระบี่ ล้วนพูดไม่ได้ว่าดูดี ยิ่งไม่ข้องเกี่ยวกับคำว่าโดดเด่น แต่คนตาดีล้วนดูออกว่า กระบี่เล่มนั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เหมือนผ่านการชะล้างของน้ำในฤดูใบไม้ร่วงมาสามพันปี สว่างเอามากๆ มองใกล้ๆ ไม่ได้ ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะบดบังโลกซึ่งอยู่ตรงหน้าทุกคน รวมทั้งฟ้าดิน
หรือนี่ก็คือกระบี่บังฟ้าในตำนาน
หรือนักพรตชราธรรมดาๆ ท่านนี้ก็คือ ประมุขพรรคกระบี่หลีซาน
แม่ทัพและพลทหารในค่ายใหญ่ตกตะลึงจนพูดไม่ออก พากันหลีกทางให้เขา
เหมาชิวอวี่กับไหวเหรินโค้งตัวลงเล็กน้อย ทำความเคารพ