ขุนพลมารสองท่านบนทุ่งหญ้า ยังมีวุฒิสมาชิกเผ่ามารและเจ้าชายเมืองเสวี่ยเหล่า ล้วนดูเคร่งขรึมผิดปกติ
เจตจำนงกระบี่ที่หลงเหลือ ยังคงลอยอยู่เหนือยอดเขานั่วรื่อหลั่ง
ผู้คุมกฎเผ่ามารยื่นมือออกไปจับกลางอากาศ แล้วเอามาอังที่จมูก ดอมดมอย่างระมัดระวัง
ประมุขพรรคหลีซานบรรลุระดับขั้นตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว แต่ไม่ได้รับความสนใจมากนัก ในสายตาของคนจำนวนมาก นักพรตชราผู้ไม่เคยจากพรรคไปไหนท่านนี้ เพียงอาศัยสุดยอดวิชาของพรรคกระบี่หลีซานและการบากบั่นบำเพ็ญเพียรเป็นเวลาหลายร้อยปี จึงจะสามารถบรรลุถึงขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่นับเป็นอะไรได้
ใครจะคิดเล่าว่า วิถีกระบี่จากการบำเพ็ญเพียรของเขาจะน่าตื่นตกใจเช่นนี้ ชนิดเดินมาถึงหน้าขั้นที่สองรองจากขั้นหลุดพ้นแล้ว
เหมาชิวอวี่จ้องมองประมุขพรรคหลีซานพลางว่า “วันนี้ต้องลำบากท่านแล้ว”
ประมุขพรรคหลีซานเหลือบมองยอดเขานั่วรื่อหลั่ง ก่อนโบกมือ “ข้าสู้มารร้ายตนนี้ไม่ได้หรอก”
ไม่รอให้เหมาชิวอวี่พูด เขาก็ชี้ไปยังขุนพลมารสองตนที่ยืนอยู่บนทุ่งหญ้า “เจ้าสองตนนี้สู้ข้าไม่ได้ ข้าจัดการเอง”
เหมาชิวอวี่กับไหวเหรินอึ้งเล็กน้อย พลางคิดในใจ วาจานี้ตรงไปตรงมาจริงๆ เช่นนั้นใครจะเป็นคนรับมือผู้คุมกฎเผ่ามารนั่นเล่า
แค่คิดก็ไม่ทันแล้ว ท่ามกลางความมืด ในอุโมงค์ปรากฏหมอกหนาขึ้นเรื่อยๆ ร่างที่สูงใหญ่หลายร่างก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
วุฒิสมาชิกเผ่ามารกับเจ้าชายเมืองเสวี่ยเหล่ามาถึงสนามรบแล้ว ถ้าไม่ขวางทางพวกเขาไว้ กระโจมบัญชาการกลางจะถูกจู่โจมโดยตรง
สายลมพัดมาเบาๆ ไหวเหรินหันมองเจ้าชายผู้สวมชุดแพรยาวพลิ้วลม แต่เหมาชิวอวี่กลับโบกแขนเสื้อทั้งสองข้าง กั้นขวางวุฒิสมาชิกผู้นั้นไว้
ประมุขพรรคหลีซานมือขวาถือกระบี่ มือซ้ายจับฝักกระบี่ เหยียบแสงรุ้งกินน้ำ พุ่งเข้าหาขุนพลมารทั้งสอง
ผู้แข็งแกร่งในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ทยอยกันปรากฏตัว พลังปราณอันแข็งแกร่งปะทะกันไม่หยุด ม้วนตัวเป็นลมแรงกับฝุ่นทรายนับไม่ถ้วน
แสงกระบี่สายหนึ่งฉีกทุกอย่างระหว่างฟ้าดิน ต่อด้วยแสงจากท้องฟ้าสายหนึ่ง ส่องสว่างทุ่งหญ้า
ลมหายใจมารเข้มข้นดุจความมืด พลันพุ่งออกจากหุบเขาลึก ดุจมังกรยักษ์ในหุบเหวตัวจริง กลืนกินแสงกระบี่สายนั้น
พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ฟ้าสลัวแผ่นดินมืด
เกิดภาพแปลกๆ ที่ยากจินตนาการนับไม่ถ้วนสลับกันระหว่างท้องฟ้าและแผ่นดิน ยอดเขาบางแห่งที่อยู่ติดกับนั่วรื่อหลั่งถูกบดขยี้ โลหิตสีทองหยาดหยดลงจากฟากฟ้า หลอมละลายในสายลม เปล่งความร้อนและแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างไม่สิ้นสุด ทว่าโลหิตของผู้แข็งแกร่งเผ่ามารกลับเหมือนหมึกดำก็มิปาน ย้อมท้องฟ้าให้ดำสนิทมากยิ่งขึ้น
ในช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้ ราวกับผ่านคืนวันนับไม่ถ้วน
กองทัพเผ่ามนุษย์บนทุ่งหญ้าอาศัยค่ายกลเป็นที่กำบัง ขณะผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ปะทะกัน จะเกิดพลังผันผวน ยากต่อการเข้าหนุน ซึ่งบางครั้งยอดฝีมือฝ่ายทหารกับพลธนู คิดช่วยเหลือผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์เผ่ามนุษย์ แต่กลับจนปัญญาที่จะสลัดหลุดการบุกเข้ามาของพลหมาป่า จึงไม่สามารถปลีกตัวออกมา
ผู้คุมกฎเผ่ามารกลับยืนดูอยู่ด้านนอกตลอด สายตาที่เย็นชาและโหดเหี้ยมทะลุออกจากหมวกเกราะ มองไปยังสถานที่ที่อยู่ทางใต้แห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่ากำลังรอใครอยู่
ห่างออกมาหนึ่งร้อยกว่าลี้ทางตะวันตก เป็นที่ตั้งค่ายใหญ่ฝ่ายขวาสุดอันตรายของกองทัพเส้นตะวันตก
ไม่มีใครคิดว่า ในฐานะบุคคลสำคัญของกองทัพเส้นตะวันตก เซียงอ๋องจะไม่อยู่ด้านหลัง และไม่สนใจคนของจวนแม่ทัพชงโจว แต่กลับอยู่ที่นี่มาตลอด
ลำแสงด้านหน้ายอดเขานั่วรื่อหลั่งเหล่านั้น เห็นชัดเจนจากบนท้องฟ้า แม้อยู่ไกลออกไปร้อยกว่าลี้ ก็เหมือนอยู่ใกล้แค่ตรงหน้า
สองมือของเซียงอ๋องประคองไขมันส่วนเกินที่ย้อยลงมาจากขอบบนของสายรัดเอว พลางหรี่ตามองแสงกระบี่เหล่านั้นกับปราณมาร ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ถ้าการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น เขาจะออกเดินทางทันที น่าจะทันในการเข้าร่วมสมรภูมิการต่อสู้อันโกลาหลของผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ยากพบเห็นนี้
แต่เขายังไม่ทำอะไร เพราะคิดว่ายังห่างไกลจากช่วงเวลาวิกฤตสุดๆ ด้วยคนสำคัญที่สุดยังมากันไม่ครบ
ใช่แล้ว เขาก็เป็นเฉกเช่นผู้คุมกฎเผ่ามาร กำลังรอคอยการมาถึงของคนคนหนึ่ง
……
……
“มาแล้ว! มาแล้ว!”
เสียงร้องตะโกนอย่างตื่นเต้นดีใจดังขึ้นที่ด้านหลังกระโจมบัญชาการกลาง
เหมือนเสียงประกายไฟที่ตกลงไปในน้ำมันเดือด แพร่กระจายไปทั่วทั้งค่ายทหาร จนถึงสนามรบทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพนายกองของเผ่ามนุษย์ หรือพลหมาป่าที่ล้อมอยู่ด้านนอกและพยายามจู่โจมเข้ามา ล้วนได้ยินเสียงจากระยะไกลนั่น
มาแล้ว
คนผู้นั้นในที่สุดก็มาแล้ว
ลมพัดแรง เสียงดังหวีดหวิว
กรวดทรายกระทบใบหญ้า เสียงดังพึ่บพั่บ
คนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้ากลุ่มคน สวมเสื้อผ้าที่ซักจนขาวซีด คิ้วและดวงตาซอมซ่อ ดูไปดูมาเหมือนบัณฑิตที่ค้างค่าเช่าห้องเป็นเงินจำนวนมาก
หวังผ้อมาแล้ว
ไม่มีใครรู้ว่า เมื่อครู่เขาอยู่ที่ไหน
ไม่มีใครรู้ว่า เขามาจากที่ไหน
มิใช่กระโจมบัญชาการกลาง เขาไม่ชินกับการยืนอยู่ข้างกายผู้บัญชาการทหารสูงสุด
และมิได้อยู่ในกองของเบ็ดเตล็ดเหล่านั้น เขาไม่มีอารมณ์มาล้อเล่น
เขามาจากทางใต้
ทางใต้คือโลกของเผ่ามนุษย์
ไหล่ของเขายังคงลู่ลงเหมือนเช่นทุกวัน ทำให้จับด้ามดาบได้สะดวกยิ่ง
ทุ่งหญ้าในตอนนี้ชุลมุนไปหมด โศกนาฏกรรมของชีวิตและความตายจากการต่อสู้พบเห็นได้ทั่วไป เสียงตะโกนฆ่ากับเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดดังมาเป็นระยะ ลมพัดแรง เม็ดทรายปลิวว่อนบดบังสายตาผู้คน
ในภาพที่ใหญ่โตและซับซ้อนเช่นนี้ หวังผ้อเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่ไม่เด่นมาก น่าจะไม่มีใครสังเกตเห็น
แต่ขณะที่เขารุดมาจากทางใต้นั้น ทุกคนรวมทั้งพลทหารและผู้แข็งแกร่งเผ่ามาร ล้วนเห็นเขา
ต่อให้เสื้อผ้าของเขาซอมซ่อแค่ไหน บุคลิกธรรมดาแค่ไหน อยู่ในโลกที่พร่างพราวแค่ไหน ก็ยังคงมีความรู้สึกของผู้แข็งแกร่งที่สุดดำรงอยู่
ผู้คุมกฎเผ่ามารหลับตาลง
อุณหภูมิบนยอดเขาลดฮวบอย่างฉับพลัน บนก้อนหินสีดำมีชั้นบางๆ ของหิมะสีขาวปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง
การเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างหวังผ้อ แม้แต่เขาก็ต้องใช้พลังทั้งหมดอย่างระมัดระวัง
หวังผ้อดูเหมือนไม่ค่อยเร็ว คล้ายเดินมาตามปกติ แต่กลับมาถึงสนามรบโดยผ่านค่ายทหารเผ่ามนุษย์อย่างรวดเร็ว
สถานการณ์ในสนามรบซับซ้อนมาก สามารถเกิดเหตุที่คาดคิดไม่ถึง นำไปสู่อันตรายและความเปลี่ยนแปลงมากมายได้ทุกเมื่อ
แต่หวังผ้อมิได้เร่งฝีเท้า และมิได้เปลี่ยนทิศทางที่มุ่งหน้าไป ยังคงเดินเงียบๆ ไปแบบนั้น
ผู้คุมกฎเผ่ามารกำลังรวบรวมพลังขณะหลับตา เตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญหน้าในอีกไม่กี่อึดใจ ซึ่งต้องเป็นการจู่โจมที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินแน่
ซึ่งหวังผ้อมิใช่คนแปลกหน้าในเรื่องนี้
ครั้งนั้นที่วัดถันเจ้อ ชานเมืองหลวง เขานั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นแปะก๊วยสิบกว่าวัน ดาบไม่เคยชักออกจากฝัก ด้วยกำลังรู้แจ้งในวิถีแห่งดาบ และรวบรวมพลังดาบไปในตัว
เช่นนี้ เขาจึงจะสามารถตัดต้นไม้เหล็กข้างริมน้ำได้ในดาบเดียว
ตอนนี้ เขามุ่งหน้าไปยังยอดเขานั่น และขั้นตอนนี้ ก็คือการรวบรวมพลัง
……
……
การจัดอันดับขุนพลมารคล้ายกับขุนพลเทพต้าโจว พิจารณาจากคุณสมบัติและชื่อเสียง แต่ที่สำคัญกว่าคือความสามารถอันไร้ขีดจำกัด
ซินตี๋จยาคือขุนพลมารอันดับสามของเผ่ามารในตอนนี้ มีความสามารถอยู่ในขั้นแข็งแกร่งมาก ตอนนี้ไม่มีผู้ใดในขุนพลเทพต้าโจวเป็นคู่ต่อสู้ของเขา บวกกับการได้รับความไว้วางใจเป็นอย่างดีจากราชามารหนุ่ม จึงได้รับมอบอาวุธมารอันทรงพลังจำนวนหนึ่ง ถ้าพูดถึงความสามารถในการรบ นับได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง
เมื่อครู่เขาถูกแสงกระบี่นั่นตัดมุมเขาไปเล็กน้อย ได้รับบาดเจ็บโลหิตไหล ทรุดโทรมสุดจะเปรียบ นอกจากกระบี่ของประมุขพรรคหลีซานลึกลับจริงๆ แล้ว การประเมินศัตรูต่ำเกินไปของเขาก็มีส่วน
เขาไม่คาดคิดว่ากระบี่ในมือของนักพรตชราผู้นี้จะเฉียบคมและน่ากลัวเช่นนี้
การบาดเจ็บครั้งนี้ทำให้เขาตื่นตัวและระวังมากยิ่งขึ้น กับขุนพลมารที่แปด ยังมีทหารที่แข็งแกร่งอีกจำนวนหนึ่งร่วมมือกันต่อสู้กับประมุขพรรคหลีซาน ทำให้เขามีท่าทีสงบลง
เขาเห็นหวังผ้อกำลังเดินผ่านสนามรบ แต่กลับไม่สามารถสลัดหลุดจากเจตจำนงกระบี่ของประมุขพรรคหลีซานที่ปกคลุมอยู่ไปได้ จึงส่งเสียงหอนออกมา สั่งให้พลหมาป่าจู่โจมใส่หวังผ้อ ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาให้ขุนพลมารที่แปดเตรียมร่วมมือกับตน นำพากองทหารทั้งหมดไปยังศูนย์กลางสนามรบ
ต่อให้พลหมาป่าเหล่านี้น่ากลัวเพียงใด ก็ไม่มีทางทำร้ายหวังผ้อได้ ขุนพลมารที่สามเข้าใจในจุดนี้ดี เขาเพียงหวังว่าจะสามารถขัดจังหวะการรวบรวมพลังของหวังผ้อได้
ในการต่อสู้ระดับหวังผ้อกับผู้คุมกฎเผ่ามาร แม้ผลกระทบเล็กๆ ก็อาจเปลี่ยนทิศทางการแพ้ชนะได้โดยตรง
ประมุขพรรคหลีซานเดาจุดประสงค์ของขุนพลมารผู้นี้ออก ขนคิ้วยาวปลิวเล็กน้อย ขณะดีดนิ้วเบาๆ
ตอนนี้กระบี่บังฟ้าได้ตัดอาวุธมารชิ้นที่สามจนแหลกละเอียด ทำให้ตลอดทั้งร่างของขุนพลมารที่แปดผู้นั้นเต็มไปด้วยโลหิต พอได้พบกับลมจากปลายนิ้วสายนั้น ก็ส่งเสียงคมใสของกระบี่ออกมาทันที
เสียงกระบี่ใสเย็นยิ่ง สะท้อนไปทั่วทั้งทุ่งหญ้า
ทหารที่แลดูธรรมดาจำนวนหนึ่งเดินออกจากสนามรบที่วุ่นวาย มาที่ข้างกายหวังผ้อ
เหล่าพลหมาป่าเริ่มพุ่งเข้ามา
แววตาหมาป่ายักษ์กระหายโลหิตล้วนมีแต่ความบ้าคลั่ง ส่วนพลทหารม้าเผ่ามารก็ส่งเสียงร้องแสบแก้วหูออกมา
เจตจำนงกระบี่ที่น่ากลัวจำนวนหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เตรียมฟาดฟัน
ทหารธรรมดาไม่กี่คนเหล่านั้น ล้วนเป็นผู้อาวุโสหอกระบี่เขาหลีซาน!
กระบี่เย็นเคลื่อนไหววูบวาบ พลหมาป่าทยอยกันล้มลง โลหิตสาดกระเซ็นไปทั่ว
ผู้อาวุโสหอกระบี่เขาหลีซานหลายท่านก้าวเข้ามายืนข้างกายหวังผ้อราวกับผู้คุ้มกันก็มิปาน
ไม่ว่าพลหมาป่าพุ่งเข้ามาจากทางไหน ก็ล้วนถูกพวกเขาฟันแทงจนตาย
พวกเขาต้องแน่ใจให้ได้ว่า หวังผ้อจะไม่ถูกรบกวนแต่อย่างใด แม้การนี้จะกระทบต่อการออกกระบี่ของพวกเขา กระทั่งทำให้พวกเขาบาดเจ็บก็ตาม
ก่อนการเปิดฉากต่อสู้กับผู้คุมกฎเผ่ามาร หวังผ้อไม่สมควรที่จะทำอะไร
ในสายตาคนมากมาย นี่ก็คือวิธีคิดและกระทำการแบบภาพรวม
ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา หวังผ้อมิใช่ผู้ที่ยอมรับน้ำใจของผู้อื่นโดยดุษณี
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ดาบของเขาจะแข็งแกร่งเช่นทุกวันนี้ได้อย่างไรกัน
ด้านทิศตะวันตกของทุ่งหญ้า แม่ชีเต๋าไหวเหรินกำลังต่อสู้กับวุฒิสมาชิกเผ่ามารผู้นั้นอยู่
พลังนิ้วอันสวยใสและเฉียบคม คล้ายลูกธนูขนนกก็มิปาน แหวกอากาศเข้ามา จู่โจมโซ่พลังปราณหลายสิบสายจนแหลกลาน ฝากรูโลหิตลึกไว้บนร่างของวุฒิสมาชิกเผ่ามารผู้นั้น
ดรรชนีเทพในใต้หล้า ไม่ธรรมดาจริงๆ โดยเฉพาะยามที่ถูกผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์สำแดงออกมา
วุฒิสมาชิกเผ่ามารผู้นั้นส่งเสียงร้องออกมาคำหนึ่ง ก่อนเอื้อมมือไปคว้าคทาของหัวหน้าเผ่าสองคนมารักษาอาการบาดเจ็บ ด้วยการดูดวิญญาณเทพที่ติดอยู่ด้านบน
ไม่เพียงเท่านี้ ยังเห็นกับตาว่า ร่างมารของเขาสูงใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวสิบกว่าจั้ง บดบังความมืดทั่วฟ้า ราวกับเทพมาร
และในตอนนี้เอง พลันได้ยินเสียงดังกังวานใสจากระยะไกล
นั่นเป็นเสียงเสียดสีของเหล็ก ดาบถูกชักออกจากฝัก
วุฒิสมาชิกเผ่ามารพลันเปลี่ยนท่าที เมื่อแน่ใจว่าหลบไม่ทัน ก็ส่งเสียงร้องแปลกๆ อย่างสิ้นหวังออกมาคำหนึ่ง ดุจภูเขาล้มทับแม่ชีเต๋าไหวเหริน
ความมืดถูกเจตจำนงของดาบที่คล้ายมาจากนอกท้องฟ้าเล่มนั้นตัดขาดออกจากกัน
เสียงกรอบแกรบดังมา หัวไหล่ของวุฒิสมาชิกเผ่ามารปรากฏบาดแผลหลายแห่ง
แสงจากฟากฟ้าสาดลงบนขนของมัน ขาวราวใยฝ้าย ก่อนรวมตัวกัน ระดมจู่โจมใส่ทรวงอกของวุฒิสมาชิกเผ่ามาร
ร่างของวุฒิสมาชิกเผ่ามารพลันแตกสลาย กลายเป็นผงสีดำลอยเต็มท้องฟ้า แล้วโปรยปรายลงบนพงหญ้ารัศมีหลายลี้ ทำให้ต้นหญ้าเหี่ยวเฉาลงเมื่อสัมผัส!
แม่ชีเต๋าไหวเหรินสีหน้าซีดขาว ริมฝีปากมีโลหิตซึมออก
นางหันมองไปกลางสนามรบ
หวังผ้อมุ่งหน้าสู่ยอดเขา เหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย
สายตามากมายพุ่งไปยังเขา
มือข้างหนึ่งของเขาจับฝักดาบแล้ว
นิ้วหัวแม่มืออีกข้างหนึ่งวางอยู่บนขอบล่างของด้ามดาบ
เผยให้เห็นดาบโลหะส่วนหนึ่ง