ยอดเขานั่วรื่อหลั่ง
ผู้คุมกฎเผ่ามารนั่งหลับตาอยู่ตรงเขาโค้งของยักษ์ล้มภูเขา ราวกับหลับลึกอยู่
นอกจากทองแดงสนิมเขียวตามช่องว่างของชุดเกราะแล้ว ยังมีสีของน้ำแข็งหิมะอีกหลายแห่ง
พลังปราณของเขาถูกยกระดับจนถึงสภาวะสูงสุด ขนาดยอดเขาลูกนี้ยังต้องแสดงท่าทีศิโรราบ
แน่นอนว่า เขามิได้นอนหลับ แต่กำลังฟังเสียงความเคลื่อนไหวในทุ่งหญ้า
เขาได้ยินเสียงกระบี่หลีซาน ได้ยินเสียงแขนเสื้อของพระราชวังหลี ได้ยินเสียงนิ้วเรียวยาวของสถานศึกษาหนานซี ก็ยังไม่ไหวติงแม้แต่น้อย
แต่พอได้ยินเสียงดาบโลหะถูกชักออกจากฝัก ก็พลันลืมตาขึ้น
“มั่นใจในตนเองขนาดนี้เชียว”
เมื่อหลายปีก่อน ในที่ที่ห่างจากเมืองเสวี่ยเหล่าไม่ไกล คนชุดดำได้วางกับดักสังหารซูหลีมาแล้วครั้งหนึ่ง
และในยามคับขัน เฉินฉางเซิงก็โผล่ออกมาจากสวนโจว ส่งร่มกระดาษทองถึงมือซูหลี
เพียงซูหลีจับด้ามกระบี่ ขุนพลมารที่อยู่ห่างออกมาหลายสิบลี้ ยังได้รับผลกระทบอย่างหนัก
และพอซูหลีชักกระบี่เพียงครึ่งด้าม คนชุดดำก็ล่าถอยไป
วันนี้หวังผ้อคลับคล้ายมีท่วงท่าแบบซูหลีในตอนนั้นอยู่หลายส่วน เขามิได้ลงมือโดยตรง
ทว่าก็เหมือนอย่างที่ผู้คุมกฎเผ่ามารไม่เข้าใจ คนตายก็แค่ผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ท่านหนึ่ง หวังผ้อน่าจะเสียแรงไม่น้อย หรือเขาไม่กลัวว่าจะมีผลต่อการรบในภายหลัง
……
……
เสื้อตรงหน้าอกมีรอยขาดอยู่หนึ่งรอย กำลังถูกลมพัด ทำให้เดินไม่สะดวกอยู่บ้าง เจตจำนงดาบยกขึ้นเอง ฟันขาดทันที ผ้าชิ้นนั้นจึงดุจว่าวสายป่านขาดปลิวไปไกล
หวังผ้อนึกถึงเซียวจาง เจ้าคนอารมณ์ร้ายพรรค์นั้น ตอนนี้ไม่รู้อยู่ที่ไหน เพียงหวังว่าอย่าได้ไปเมืองเสวี่ยเหล่าตามลำพังเลย
เขามองไปยังอีกด้านของทุ่งหญ้า
ที่นั่นเป็นอีกหนึ่งสนามรบ
ประมุขพรรคหลีซานโบกแขนเสื้อ แล้วว่า “ที่ข้าไม่ต้อง”
ห่างกันสิบกว่าลี้ แต่เสียงของเขาชัดเจนเหมือนดังขึ้นตรงหน้าหวังผ้อ
หวังผ้อพยักหน้าจากใจจริง แล้วมุ่งหน้าเดินต่อ
ขุนพลมารที่สามกับขุนพลมารที่แปดจู่ๆ ก็เก็บอาวุธ แล้วถอยไปด้านหลังระยะหนึ่ง
อาวุธมารสีดำสนิทสามชิ้นเปล่งความเย็นออก บินไปมาบนท้องฟ้าเหนือศีรษะพวกเขา สำรวจดูความเคลื่อนไหวรอบทิศ
ประมุขพรรคหลีซานอึ้งเล็กน้อย คิ้วขาวปลิวขึ้น ก่อนถอยหลังไประยะหนึ่งเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ทหารม้าเผ่ามนุษย์กับพลหมาป่าก็ถอยออกจากกัน
มีหมาป่ายักษ์สองตัวถูกกลิ่นคาวโลหิตกระตุ้นให้กระหายโลหิตมากจนเกินไป ไม่ยอมฟังคำสั่งให้ล่าถอย สุดท้ายจึงถูกทหารม้าเผ่ามารตัดศีรษะอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย
กลางทุ่งหญ้าอันกว้างขวางหลายลี้ปรากฏเส้นทางสายหนึ่ง
จากทุ่งหญ้าสู่ยอดเขานั่วรื่อหลั่ง
บนเส้นทางสายนี้ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย เงียบสงบสุดจะเปรียบ
ทั้งๆ ที่พื้นที่อื่น ยังคงดำเนินการต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ความเงียบของที่นี่เห็นชัดว่า ผิดปกติยิ่ง
ผู้คุมกฎเผ่ามารลืมตาขึ้น หมายความว่าเขาพร้อมแล้ว
ดาบโลหะของหวังผ้อก็พร้อมจะออกจากฝักแล้ว
เมื่อการต่อสู้ครั้งนี้มาถึงตอนนี้ ก็ไม่สามารถถูกขัดจังหวะอีก และไม่สามารถถูกรบกวนด้วย
ผู้คุมกฎเผ่ามารคือผู้แข็งแกร่งสุดในเผ่ามาร นี่เป็นความจริงที่อาณาเขตทุ่งหิมะเผ่ามารยอมรับแล้ว
คุณสมบัติของหวังผ้อไม่สามารถเทียบได้กับผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ แต่เขากลับเป็นผู้นำเผ่ามนุษย์อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
การต่อสู้ระหว่างพวกเขา ในแง่มุมหนึ่ง คือสงครามตัวแทนระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่ามาร
การต่อสู้เช่นนี้ ควรค่าแก่การยกย่อง
และนี่หมายความว่า ใครก็แพ้ไม่ได้
……
……
หวังผ้อมองไปยังยอดเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้
ยอดเขานั่วรื่อหลั่งเดิมเป็นสีดำ แต่ตอนนี้กลับเป็นสีขาว
ยอดเขาสะสมหิมะหนาๆ ชั้นหนึ่งในระยะเวลาอันสั้น
นั่นคือเจตจำนงการต่อสู้ที่ผู้คุมกฎเผ่ามารแสดงให้เห็น เย็นชาและไร้เทียมทาน
ทุ่งหญ้าด้านหลังของหวังผ้อ มีรอยเท้าอยู่แถวหนึ่ง
นั่นก็คือวิถีทางของเขา
เช่นเดียวกับดาบของเขา ตรงสุดจะเปรียบ
หวังผ้อหายตัวไป
ปรากฏตัวอีกที ก็อยู่กลางอากาศในระยะสิบกกว่าลี้แล้ว
ผู้คุมกฎเผ่ามารมิได้รอเขาอยู่บนยอดเขา
ยักษ์ล้มภูเขาที่สูงหลายสิบจั้งส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมาคำหนึ่ง
จมูกของมันพ่นหมอกร้อนที่คล้ายไอน้ำพุร้อนออกมา เท้าที่เหยียบจมลงไปในหินบนยอดเขา ทำให้หินมีรอยแตกคล้ายใยแมงมุมสิบกว่าเส้น
หิมะที่สะสมไว้ปลิวว่อน
ผู้คุมกฎเผ่ามารกระโดดไปกลางอากาศ สองมือพลันพลิก จับดาบเล่มหนึ่งไว้
นั่นเป็นดาบโค้งขนาดใหญ่สุดจะเปรียบ
ปลายดาบสว่างใส แต่คมดาบกลับมีสีดำของความมืดในยามค่ำคืนแถบหนึ่ง
ไม่มีใครคิดว่า อาวุธของคนตัวเล็กอย่างเขาจะเป็นดาบโค้งเล่มหนึ่ง ที่ยาวกว่าความสูงของตัวเขาเองกว่าสามเท่าเช่นนี้ เกินจริงสิ้นดี!
ผู้คุมกฎเผ่ามารหล่นลงจากฟากฟ้า สองมือจับดาบโค้ง ฟันไปยังหวังผ้อ!
หวังผ้อหงายมือดึงดาบ ในระนาบเดียวกับแขน เหมือนตอนที่เขาตัดสายน้ำอย่างไรอย่างนั้น ตัดเข้าไปในระดับเดียวกัน!
เปรี้ยง!
เสียงดังกัมปนาท
ความมืดที่แผ่กระจายออกมาจากหุบเขาลึก พลันสั่นไหวเหมือนผ้าสีดำที่จับต้องได้ และเหมือนทะเลหมึกสีดำก็มิปาน
บนหน้าผา และพื้นผิวทุ่งหญ้า เกิดฝุ่นควันหลายพันสาย
ในรัศมีหลายร้อยลี้ ไม่ว่าพลทหารเผ่ามนุษย์หรือพลทหารเผ่ามาร ล้วนตื่นตกใจจนต้องยกมือขึ้นอุดหู ใบหน้าแสดงความเจ็บปวดออกมา
แม้พวกเขาห้ำหั่นกันจนเลือดเข้าตา ก็ต้องหยุดต่อสู้ชั่วคราว
พลหมาป่าสองร้อยตัวที่อยู่ใกล้สุด ตื่นตกใจจนล้มตายลงซึ่งๆ หน้า โดยไม่ทันเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยซ้ำ!
ผู้คุมกฎเผ่ามารถูกทำให้ตื่นตระหนกจนต้องกลับไปยังยอดเขานั่วรื่อหลั่ง แล้วนั่งตรงเขาโค้งของยักษ์ล้มภูเขาดังเดิม
การม้วนตัวกลางอากาศเจ็ดร้อยกว่าตลบ ทำให้สีหน้าเขาซีดขาวอยู่บ้าง เพียงแต่ถูกหมวกเกราะกับลวดลายเครื่องประดับที่ซับซ้อนบังไว้บางส่วน
หวังผ้อหล่นลงบนทุ่งหญ้า รอยแตกสิบกว่ารอยขยายจากฝ่าเท้าของเขาออกไปไกลและลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง
“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ!”
เสียงหัวเราะแหบแห้งฟังดูน่าเกลียดดังออกจากหมวกเกราะของผู้คุมกฎเผ่ามาร
เป็นเสียงหัวเราะแสดงความหยิ่งผยองและข่มขวัญโดยเฉพาะ ทำให้ผู้คนคล้ายกับเห็นรอยยิ้มอันดุร้ายบนใบหน้าของเขาไปด้วย
“ใครๆ ก็บอกว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะเผ่ามนุษย์ที่ยากพานพบ วันนี้ดูไปแล้ว แท้จริงก็แค่นี้เอง!”
หวังผ้อมิได้พูดจาอะไร
ดาบโลหะที่เขาถืออยู่ในมือสั่นเล็กน้อย
ปลายดาบโลหะมีรอยบิ่นที่ลึกมากหนึ่งรอย
ใครกันแน่ที่แพ้
หรือหวังผ้อแพ้แล้ว
เสียงหัวเราะของผู้คุมกฎเผ่ามารพลันหยุดกึก
ได้ยินเสียง พรวด ตามมา
เสียงนี้คล้ายเสียงการแสดงพ่นไฟกับน้ำมันของศิลปินข้างถนนในเมืองหลวง…
โลหิตหลายสายไหลออกจากช่องว่างของหมวกเกราะ
สีโลหิตเข้มมาก มีสีเขียวหม่นแปลกๆ ปนออกมาส่วนหนึ่งด้วย
กาลครั้งหนึ่งนานมา มีคนสงสัยว่า ผู้คุมกฎเผ่ามารน่าจะเป็นหนึ่งในสมาชิกเชื้อพระวงศ์ วันนี้ในที่สุด ความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว
เพียงแต่เหตุใดในโลหิตของเขาจึงมีสีเขียวหม่นปนอยู่ด้วย
ตอนนี้ไม่มีใครคิดถึงปัญหานี้
ผู้คนต่างตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนพูดไม่ออก
…ผู้คุมกฎเผ่ามารบาดเจ็บสาหัส กระอักโลหิต!
“เจ้าแข็งแกร่งจริงๆ กระทั่งโดดเด่นกว่าเปี๋ยยั่งหงตอนก่อนตาย”
น้ำเสียงของผู้คุมกฎเผ่ามารเปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำลง ไม่ฟังดูน่าเกลียดเหมือนเมื่อครู่
“แม้เจ้ายังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า แต่ข้าต้องยอมรับว่า วันนี้ยากจะฆ่าเจ้าให้ตาย”
สำหรับเผ่ามารแล้ว การฆ่าหวังผ้อย่อมสำคัญกว่าการฆ่าผู้บัญชาการทหารสูงสุดเผ่ามนุษย์เป็นไหนๆ
เมื่อภารกิจนี้ไม่สามารถทำสำเร็จ เมื่อตนเองบาดเจ็บไม่เบา แล้วจะอยู่ต่อไปทำไม
จึงออกคำสั่งจากยอดเขานั่วรื่อหลั่งกระจายไปทั่วทุ่งหญ้า ให้พลหมาป่าทั้งหมดเตรียมอพยพออก
ประมุขพรรคหลีซานเหลือบมองหวังผ้อ เหมาชิวอวี่และไหวเหรินก็หันมองหวังผ้อเช่นกัน
ต่อไปควรทำเช่นไรต่อนั้น ขึ้นอยู่กับหวังผ้อ
ขอเพียงหวังผ้อพยักหน้า กระบี่บังฟ้าของประมุขพรรคหลีซานก็จะพุ่งไปยังยอดเขานั่วรื่อหลั่งทันที
แม่ชีเต๋าไหวเหรินได้รับบาดเจ็บ แต่น่าจะยังถ่วงเวลาเจ้าชายเมืองเสวี่ยเหล่าท่านนั้นที่ถูกเหมาชิวอวี่ทำให้บาดเจ็บสาหัสได้ระยะหนึ่ง
ส่วนเหมาชิวอวี่ก็รับผิดชอบในการโรมรันกับขุนพลมารที่สามกับขุนพลมารที่แปดบนทุ่งหญ้าไป
เช่นนี้ อาจมีโอกาสฆ่าผู้คุมกฎเผ่ามารให้ตายได้จริงๆ
นี่มองดูเหมือนง่าย แต่จริงๆ แล้วเป็นยุทธวิธีสับเปลี่ยนหมุนเวียนในการรบที่ซับซ้อน
ผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ไม่กี่ท่านหันมาสบตากัน แล้วเตรียมตัวให้พร้อม
ลมพัดเสื้อผ้า ส่งเสียงดังพึ่บพั่บ
หวังผ้อมิได้พยักหน้า และไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แม้การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่มี คล้ายก้อนหินอย่างไรอย่างนั้น
เขาไม่อยากส่งสัญญาณใดๆ ที่ทำให้พวกเหมาชิวอวี่เข้าใจผิด เพราะนั่นจะส่งผลร้ายแรงตามมา
พวกเหมาชิวอวี่เข้าใจความหมายของเขา กังวลอยู่บ้าง เสียดายอยู่บ้าง แต่ก็วางใจลงได้บ้าง
และในตอนนี้เอง แผ่นดำมืดที่ทะลุออกมาจากหุบเขาลึกนั่น พลันจางลงไปมาก
เนื่องจากดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นเจิดจ้าสุดจะเปรียบ!
ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงอาทิตย์อันร้อนแรง ดุจดวงดาวที่ตกใส่ผู้คุมกฎเผ่ามารบนยอดเขาอย่างแรง
เซียงอ๋อง!
ในสายตาของเขา นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการสังหารผู้คุมกฎเผ่ามาร ไม่ว่าอย่างไรล้วนพลาดไม่ได้!
ขณะมองดูภาพนี้ ท่าทีของหวังผ้อก็เปลี่ยนกะทันหัน