ตอนที่ 2626

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,626 : เบาะแส เพลิงอมตะ!!

 

“เพลิงอมตะ?”

 

ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนลูกตาหลิ่วเฟิงกู่หดหยีลงทันใด สีหน้ายังเข้มขึ้นไม่น้อย ทำราวกับมันมีความอ่อนไหวกับคำว่าเพลิงอมตะเป็นพิเศษ!

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็แปลกใจไม่น้อย ด้วยไม่ทราบว่าไฉนหลิ่วเฟิงกู่ถึงตอบสนองแบบนี้

 

ผ่านไปครู่หนึ่งพอดึงสติได้ หลิ่วเฟิงกู่ก็พยักหน้ากล่าวว่า “เพลิงอมตะนั้นเป็นดั่งรากฐานของปรมาจารย์หลอมอมตะทั้งมวล และพบได้ยากเย็นนักเรียกว่าแสวงหามิพานพบ เพียงประสบด้วยชะตาวาสนา! ทำไมหรือน้องหลิงเทียน…เจ้าสนใจเพลิงอมตะหรือ?”

 

“ใช่”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “พอดีตอนที่อยู่ในระนาบโลกียะข้าเคยเป็นผู้หลอมโอสถกับผู้หลอมศาสตรามาก่อน…วันนี้พอข้าได้รับทราบเรื่องราวพื้นฐานสำหรับปรมาจารย์หลอมอมตะทั้งสองชนิด ข้ารู้สึกว่าถึงแม้กระบวนการจะต่างกันออกไปอยู่บ้าง แต่แก่นแท้ทั้งจุดหมายปลายทางกลับเหมือนกัน…”

 

“ไม่ว่าจะหลอมโอสถหรือหลอมอาวุธก็ดี…”

 

ต้วนหลิงเทียนตอบ

 

“นี่ไม่แปลกอะไร”

 

หลิ่วเฟิงกู่พยักหน้า “มีปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะทั้งปรมาจารย์หลอมอุปกรณ์อมตะมากมายในระนาบเทวโลกแห่งนี้ที่ขึ้นสวรรค์มา…แต่มีฝีมือสูงส่งและมีชื่อเสียงโด่งดังได้ เพราะในอดีตตอนที่ยังอยู่ในระนาบโลกียะ ทุกคนล้วนเป็นผู้หลอมศาสตรากับผู้หลอมโอสถเหมือนเจ้า…กล่าวได้ว่าทุกคนล้วนมีพื้นฐานแน่นหนา จึงนำมาต่อยอดได้มากมาย”

 

“เป็นธรรมดาว่ากระบวนการบางอย่างที่เจ้ารู้มามันจะต่างออกไปในระนาบเทวโลกแห่งนี้ แต่ทั้งหมดก็มีข้อดีข้อเสียของตัวเอง…จะมีก็แต่เพลิงอมตะเท่านั้นที่เป็นรากฐานของทุกสิ่ง”

 

“เพราะหากไม่มีเพลิงอมตะสักอย่าง ให้มีความรู้ความสามารถและแตกฉานในศาสตร์สองแขนงมากเพียงใด ก็ไม่อาจกลายเป็นปรมาจารย์หลอมอมตะได้…”

 

หลิ่วเฟิงกู่อธิบายออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“น้องหลิงเทียน…ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อย หากลืมเรื่องเพลิงอมตะไปก่อน ถ้าเจ้าลองเทียบองค์ความรู้ที่เจ้ามีและประสบการณ์ในการหลอมสร้างโอสถและศาสตราของเจ้าในอดีต…กับข้อกำหนดในระนาบเทวโลกแล้ว ตัวเจ้าคิดว่าเจ้าจะได้เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถและอุปกรณ์อมตะระดับใดหรือ?”

 

หลิ่วเฟิงกู่กล่าวถาม

 

มีหลายคนนักที่ขึ้นสวรรค์มาโดยที่สั่งสมประสบการณ์หลอมยาสร้างอาวุธในระนาบโลกียะจนรากฐานแน่นหนา ทำให้หลังจากได้รับเพลิงอมตะมาแล้ว เพียงผ่านการประยุกต์ประสบการณ์ที่มีให้เข้ากับวิถีในระนาบเทวโลก ความสามารถเก่าจึงส่องประกายขึ้นมาอีกครั้ง มีไม่น้อยที่ในเวลาอันสั้นก็กลายเป็นปรมาจารย์หลอมอมตะระดับกลาง ยังมีแม้กระทั่งระดับสูง!!

 

แต่เป็นธรรมดาว่าผู้ที่ขึ้นสวรรค์มาและอาศัยประสบการณ์เก่าจนกลายเป็นปรมาจารย์หลอมอมตะระดับสูงได้ในเวลาอันสั้นนั้น มีน้อยยิ่งกว่าเขามังกรขนหงส์!

 

“โอสถทิพย์กับยอดสมบัติสวรรค์ประเภทอาวุธหากเป็นระดับสูงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร…แต่หากเป็นโอสถทิพย์กับยอดสมบัติสวรรค์ประเภทอาวุธระดับสูงสุด เกรงว่าต้องใช้เวลาศึกษาเพิ่มเติมสักพัก…”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบตามตรง เพราะเรื่องนี้เขาไม่คิดว่ามันต้องปิดบังอะไร

 

เพราะสุดท้ายแล้วให้เขามีความสามารถในศาสตร์สองแขนงสูงล้ำเพียงใด แต่หากไร้เพลิงอมตะมันก็เท่านั้น

 

ผู้พูดไร้เจตนา ผู้ฟังเข้าใจ

 

ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน หลิ่วเฟิงกู่ถึงกับตะลึงไปทันที!

 

เป็นธรรมดาที่มันรู้ว่าต้วนหลิงเทียนไม่มีความจำเป็นที่ต้องหลอกมัน

 

ด้วยเหตุนี้มันจึงตกใจกับคำพูดของต้วนหลิงเทียนนัก!

 

ต้องทราบด้วยว่าผู้ที่ขึ้นสวรรค์มาและมีความรู้ความสามารถมากพอจะหลอมโอสถทิพย์และหลอมสร้างอุปกรณ์อมตะระดับสูงได้เลยแต่ไร้เพลิงอมตะ แม้จะมีอยู่บ้างแต่ก็หาได้ยากเย็นประหนึ่งเขามังกรขนหงส์…!

 

พรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะพลังที่สูงเทียมฟ้า นำพาความตื่นตระหนกกมาให้มันมากแล้ว…

 

คราวนี้ยังมีทักษะความสามารถด้านการหลอมสร้างทั้ง 2 ชนิดอีก จะไม่ให้มันตกใจได้อย่างไรไหว!!

 

“น่าเสียดาย…หากไร้เพลิงอมตะ เรื่องที่ข้าจะศึกษาจนบรรลุถึงขอบเขตปรมาจารย์หลอมอมตะระดับสูงสุดก็เป็นได้แค่ฝันลมๆแล้งๆ…”

 

ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน…

 

“น้องหลิงเทียน”

 

ทว่าทันใดนั้นเองแววตาของหลิ่วเฟิงกู่ก็เปลี่ยนไปเป็นแหลมคม สีหน้ายังจริงจังขึ้นมา ทำราวกับมันตัดสินใจอะไรได้

 

“หือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนมองหลิ่วเฟิงกู่ด้วยความสงสัย ด้วยไม่ทราบว่าไฉนอีกฝ่ายถึงได้แลดูจริงจังขึ้นมา

 

“รอให้เจ้าช่วยข้าล้างแค้นได้แล้ว…ข้าจะบอกเบาะแสเพลิงอมตะให้กับเจ้า! ข้าจะบอกสถานที่ๆมันถือกำเนิด ซึ่งหากพลังของเจ้าสูงพอย่อมสามารถดูดซับมันได้ทันที และที่สำคัญระดับของเพลิงอมตะที่ข้ากำลังพูดถึง ไม่น่าจะใช่แค่เพลิงอมตะระดับต่ำ…แต่สมควรเป็นเพลิงอมตะระดับกลาง!”

 

ขณะที่กล่าว หลิ่วเฟิงกู่ก็มองจ้องตาต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทางจริงจังขึงขังนัก

 

“ท่าน…มีเบาะแสของเพลิงอมตะด้วยหรือ…แถมอาจจะเป็นเพลิงอมตะระดับกลางอีกด้วย!?”

 

ต้วนหลิงเทียนย่อมแปลกใจเป็นธรรมดาเมื่อได้ยินหลิ่วเฟิงกู่พูด เพราะเขาไม่คิดเยว่าอยู่ๆหลิ่วเฟิงกู่พอพูด ก็เอ่ยถึงเรื่องเบาะแสเพลิงอมตะที่สมควรเป็นเพลิงอมตะระดับกลางออกมาได้แบบนี้

 

หลังหายแปลกใจ แววตาของต้วนหลิงเทียนก็ฉายให้เห็นความตื่นเต้นขึ้นมาทันที ยังสุกสกาวราวดวงดาวในยามค่ำคืน!

 

“ใช่”

 

หลิ่วเฟิงกู่พยักหน้ารับ “เบาะแสนี้เป็นข้าได้มาโดยบังเอิญตอนข้าออกไปทำธุระนอกเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว…สถานที่ๆมีเพลิงอมตะนั่นซ่อนอยู่ จากร่องรอยข้าพบว่าสมควรมีข้าคนเดียวที่เข้าไป…แต่ตอนนั้นข้าไม่อาจรับเพลิงอมตะนั่นได้”

 

“หากเจ้าอยากได้เพลิงอมตะนั่นมาครอง ข้าประมาณดูแล้ว…อย่างน้อยๆพลังฝึกปรือของเจ้าต้องบรรลุถึงขอบเขตต้าหลัวจินเซียนเสียก่อน!”

 

“อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ข้าจะเอาเพลิงอมตะนั่นมาไม่ได้ แต่ข้าก็ได้จัดตั้งค่ายกลไม่กี่ค่ายเพื่อปกปิดสถานที่แห่งนั้นให้มิดชิดยิ่งขึ้น ถึงขั้นที่ต่อให้ตัวตนขอบเขตต้าหลัวจินเซียนเหินผ่านมาและแผ่สำนึกเทวะปูพรมค้นหา ก็มิอาจพบเจอ!”

 

หลิ่วเฟิงกู่พูดต่อว่า “ในตอนแรกหลังจากข้ารู้ว่าตัวเองยากจะรับเพลิงอมตะนั่นมา ข้าก็คิดว่าจะนำมันมาบอกท่านผู้ว่าเพื่อรับความดีความชอบ…ทว่าพอกลับมาถึง ก็เกิดเรื่องที่ศิษย์คนเดียวของข้าถูกผู้พิทักษ์จวนผู้ว่า โจวทง เข่นฆ่าเสียก่อน”

 

กล่าวถึงจุดนี้สองตาของหลิ่วเฟิงกู่ก็ลุกโชนขึ้นมาดั่งเพลิงไฟ!

 

“ตอนแรกข้าคิดใช้เรื่องนี้ไปต่อรองกับท่านผู้ว่าเช่นกัน…ขอเพียงแค่ท่านผู้ว่ายินดีคืนความเป็นธรรมให้ศิษย์ข้า ตัวข้าก็จะบอกสถานที่ซ่อนเพลิงอมตะออกไปอย่างไม่เสียดาย…”

 

“อย่างไรก็ตาม สุดท้ายผู้ว่าก็เห็นแก่ภาพรวม เพียงแค่ตำหนิโจวทงไม่กี่คำก็จบกัน…จริงอยู่ที่ข้ารู้ดีว่าหากข้าอยู่ในจุดเดียวกับผู้ว่า ข้าเองก็ต้องตัดสินใจจบเรื่องนี้ดุจเดียวกัน เพราะอย่างไรโจวทงก็เป็นหนึ่งเดียวที่ทะลวงถึงขอบเขตต้าหลัวจินเซียนนอกจากผู้ว่า…”

 

“หลังจากนั้นข้าที่ถูกโจวทงกดดันบีบคั้นลับหลัง…แม้จะไม่ได้ไม่พอใจอะไรกับผู้ว่า แต่ข้าก็ไม่คิดจะบอกผู้ว่าเรื่องเพลิงอมตะอีกต่อไป ข้ายังตั้งใจไว้ว่าวันใดที่ข้าบรรลุถึงต้าหลัวจินเซียน ข้าจะไปรับเพลิงอมตะนั่นมาเอง”

 

หลิ่วเฟิงกู่เอ่ยถึงจุดนี้ค่อยหยุดลงเล็กน้อย

 

“พอคิดถึงเรื่องนี้…ข้าจำได้ว่าหลังจากมาถึงเมืองเฉวี่ยโยวได้สักพัก ข้าเองก็ลองศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งการหลอมเช่นกัน…แน่นอนว่าเพราะยังไม่มีเพลิงอมตะ ที่ข้าศึกษาได้ก็มีแต่เรื่องพื้นฐานเท่านั้น…”

 

กล่าวถึงจุดนี้หลิ่วเฟิงกู่ก็คลี่ยิ้มขื่นขมออกมา “ในตอนนั้นข้ายังเสียใจอยู่บ้าง…ว่าไฉนตอนที่ข้ายังอยู่ในระนาบโลกียะข้าถึงไม่ศึกษาเรื่องพวกนี้ไว้บ้าง…”

 

“ในเมื่อเจ้าเมืองเองก็ดูอยากจะเก็บเพลิงอมตะไว้ใช้เอง…เช่นนั้นไฉนถึงบอกให้ข้ารู้ล่ะ แถมยังจะมอบให้ข้าหลังจากที่ข้าช่วยล้างแค้นได้สำเร็จแล้วอีก?”

 

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“สาเหตุที่ข้าบอกเจ้าถึงเรื่องเพลิงอมตะ…”

 

เผชิญหน้ากับคำถามของต้วนหลิงเทียน หลิ่วเฟิงกู่ก็กล่าวตอบออกไปตามตรง

 

“หนึ่งเลยเป็นเพราะข้าไม่รู้ว่าตัวข้าจะทะลววงถึงต้าหลัวจินเซียนได้หรือไม่…หากต่อไปข้าไม่อาจทะลวงงถึงขอบเขตต้าหลัวจินเซียนได้จริงๆ ความลับนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเน่าอยู่ในท้องข้า มิสู้ให้คนที่อาจใช้ประโยชน์ได้มากกว่า…”

 

“ประการที่สองเนื่องจากทักษะในด้านการเล่นแร่แปรธาตุของเจ้าสมควรไม่ใช่ชั่วแล้วจริงๆ เมื่อรวมกับเรื่องที่เจ้ามีพรสวรรค์ในด้านการบ่มเพาะขนาดนี้ หมายความว่าความสำเร็จในวันหน้าของเจ้าย่อมไร้ขีดจำกัด! เช่นนั้นมิสู้ข้าส่งถ่านกลางหิมะ โดยการมอบเพลิงอมตะให้เจ้าแต่เนิ่นๆ เพื่อผูกไมตรีกับเจ้าไม่ดีกว่าหรือไร? บางทีในอนาคตผลตอบแทนที่เจ้าจะมอบให้ข้า มันอาจจะมากกว่าที่ข้าเก็บเพลิงอมตะไว้เองก็เป็นได้…”

 

ฟังจากคำพูดของหลิ่วเฟิงกู่แล้ว นับว่ามันเปิดเผยจริงใจ…ไม่คดในข้องอในกระดูก!

 

และสายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเผยประกายแห่งความหวังมากขึ้นกว่าเดิม…

 

“เจ้าเมือง ข้าบอกเลยว่าพอได้ยินท่านพูดแบบนี้ ข้าอยากให้แผ่นหลังมีปีกงอกเงยขึ้นสักคู่จะได้รีบบินไปจับ โจวทง อะไรนั่นที่จวนผู้ว่ามาให้ท่านฆ่าไวๆ…”

 

ต้วนหลิงเทียนได้แต่ยิ้มแห้งๆออกมา

 

เพลิงอมตะนับว่าล่อใจเขาเหลือเกิน…

 

“ด้วยระดับพลังฝึกปรือของเจ้าในตอนนี้ แม้จะมีผู้ที่อยู่ในขอบเขตจินเซียนน้อยคนนักที่สู้เจ้าได้…แต่หากต้องปะทะกับโจวทงจริงๆ เกรงว่าคงยังไม่พอเช่นนั้นเจ้าอย่าได้ใจร้อนวู่วามเด็ดขาด ในช่วงสั้นๆ เจ้าอย่าพึ่งคิดเรื่องช่วยข้าล้างแค้นเถอะ…”

 

หลิ่วเฟิงกู่ส่ายหัวไปมา

 

“ข้าก็พูดไปเรื่อย…แค่เพลิงอมตะมันยั่วใจข้าเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเมืองยังบอกเองว่ามันสมควรเป็นเพลิงอมตะระดับกลาง”

 

ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน

 

เพราหากบุคคลใดได้ครอบครองเพลิงอมตะล่ะก็ ถึงแม้จะเป็นระดับต่ำ แต่ก็นับว่ามีพลังอาจสะกดต้าหลัวจินเซียนทั้งหมดให้บังเกิดอาการคิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภายชนะเสียหาย ไม่กล้าตอแยเขาง่ายๆแล้ว!

 

และหากเขาได้เพลิงอมตะระดับกลางมาครองจริงๆล่ะก็ ถึงตอนนั้นเขาจะมีแม้กระทั่งพลังสะกดให้ตัวตนขอบเขต ยอดเซียนอมตะ ที่อยู่เหนือขอบเขตต้าหลัวจินเซียนมาระดับหนึ่งไม่กล้าทำอะไรวู่วาม!

 

เพราะหากผู้ที่ถือครองเปลวเพลิงอมตะระดับกลางเลือกที่จะยอมเป็นหยกแหลกลาญไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์ คิดพินาศวอดวายไปกับศัตรูจริงๆ ให้เป็นยอดเซียนอมตะก็ไม่กล้าอยู่ใกล้เขาในรัศมีพันหมี่!

 

ยอดเซียนอมตะทั่วไปนั้นต่อหน้า พลังอำนาจของเพลิงอมตะระดับกลางที่จุดระเบิด…ตายไม่ต้องสืบ!

 

หากเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แม้จะต้านทานพลังระเบิดได้ แต่ไม่พ้นต้องจ่ายราคาหนักหน่วง…เรียกว่าไม่ตายก็ต้องพิกลพิการ!!

 

ทำให้ในสายตาของต้วนหลิงเทียนตอนนี้…

 

เพลิงอมตะไม่ใช่สิ่งที่มีไว้ใช้หลอมสร้างโอสถทิพย์หรือยอดสมบัติสวรรค์เท่านั้น แต่ยังเป็นดั่งเครื่องรางช่วยชีวิตที่เอาไว้ข่มขู่ยับยั้งต้าหลัวจินเซียนหรือแม้กระทั่งตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะ ให้พวกมันคิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภายชนะเสียหาย!

 

“เป็นไปได้สูงที่มันจะเป็นเพลิงอมตะระดับกลาง…แต่ข้าเองก็ไม่กล้ามั่นใจเต็มสิบส่วนเช่นกัน เพียงแค่ข้ารู้สึกว่าลักษณะของมันช่างแตกต่างจากลักษณะของเพลิงอมตะที่ข้าหาข้อมูลมาได้เท่านั้นเอง…”

 

หลิ่วเฟิงกู่กล่าว

 

“หืม? มันแตกต่างจากลักษณะของเพลิงอมตะระดับต่ำงั้นหรือ? แล้วหากเทียบกับเพลิงอมตะระดับสูงกับระดับสูงุสดเล่ามันเป็นอย่างไร?”

 

ต้วนหลิงเทียนฉุกคิดอะไรได้ จึงรีบถามออกมาทันที

 

“น้องหลิงเทียน…”

 

หลิ่วเฟิงกู่คลี่ยิ้มขื่นขมเอ่ยออกว่า “ข้าเพียงเคยได้ยินเรื่องลักษณะของเพลิงอมตะระดับต่ำมาบ้างเท่านั้น…อย่าได้กล่าวถึงลักษณะของเพลิงอมตะระดับสูงหรือระดับสูงสุดเลย บอกเจ้าตามตรงกระทั่งลักษณะของเพลิงอมตะระดับกลางสมควรเป็นเช่นไรข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน…”

 

“หากเป็นเช่นนั้น…ไม่ใช่เพลิงอมตะที่ท่านเคยพบเจอ มันอาจจะเป็นเพลิงอมตะระดับสูง หรือกระทั่งอาจจะเป็นเพลิงอมตะระดับสูงสุดได้เลยหรือไร?!”

 

พอกล่าวถามจบคำ ลมหายใจของต้วนหลิงเทียนก็หนักหน่วงขึ้นทันที!