ตอนที่ 2,627 : ออกจากเมืองเฉวี่ยโยว
“เอ่อ…ไม่หรอกมั้ง?”
หลิ่วเฟิงกู่สะดุ้งไปทันทีเมื่อได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน
ถึงแม้ในตอนนั้นด้วยพลังฝึกปรือของมัน จะไม่อาจเข้าใกล้เพลิงอมตะดังกล่าวได้ด้วยซ้ำ จนไม่ต้องพูดถึงเรื่องครอบครองอะไรให้วุ่นวาย…
อย่างไรก็ตามมันไม่เคยคิดเลย
ว่าเพลิงอมตะที่มันพบเจออาจจะเป็นเพลิงอมตะระดับสูง! กระทั่งอาจจะเป็นถึงเพลิงอมตะระดับสูงสุด!!
เท่าที่มันรู้มีเพลิงอมตะระดับต่ำบางประการที่หาได้ยากเย็นยิ่ง และจำเป็นต้องมีระดับพลังฝึกปรือเกือบถึงหรือเหนือกว่าขอบเขตต้าหลัวจินเซียนด้วยซ้ำ ถึงจะรับไปครองได้…
แต่เป็นธรรมดาว่าเพลิงอมตะระดับต่ำเช่นนั้น หาได้ยากเย็นนัก!
โดยปกติแล้วหากเป็นเปลวเพลิงอมตะระดับต่ำ ขอแค่เป็นจินเซียนทั่วๆไป เมื่อพบเจอก็สามารถคว้าไว้ด้วยมือเปล่า สามารถใช้พลังหลอมให้เป็นของตัวเองได้ทันที!
ส่วนเรื่องเพลิงอมตะระดับสูงกว่านั้นต้องมีระดับพลังอะไรบ้างมันไม่รู้เลย…
อย่างไรก็ตาม ด้วยสามัญสำนึกของมัน…ในเมื่อเป็นเพลิงอมตะระดับกลาง หมายความว่าต้องทรงพลังกว่าเพลิงอมตะระดับต่ำ เช่นนั้นหากคิดจะครอบครองอย่างน้อยๆก็ต้องบรรลุขอบเขตต้าหลัวจินเซียนขึ้นไป และวันนั้นมันก็พอประมาณได้ว่าหากจะครอบครองต้องมีพลังขอบเขตต้าหลัวจินเซียน…
ด้วยเหตุนี้มันจึงบอกกับต้วนหลิงเทียนไปตามความเข้าใจของมัน
ว่าเพลิงอมตะที่มันค้นพบสมควรเป็นเพลิงอมตะระดับกลาง!
แต่เป็นธรรมที่มันไม่อาจมั่นใจได้เต็มร้อยส่วน ว่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ
เพราะสุดท้ายแล้วก็ยังมีเพลิงอมตะระดับต่ำบางชนิด ที่จำเป็นต้องบรรลุด่านพลังต้าหลัวจินเซียน หรือเหนือกว่าก่อนจึงจะครอบครองได้…
“เจ้าเมือง…พอท่านคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ใช่รู้สึกเสียใจที่พูดเรื่องเพลิงอมตะกับข้าหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มถาม
“ข้าไม่เห็นว่ามีอะไรต้องเสียใจ”
หลิ่วเฟิงกู่ส่ายหัว “ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เพลิงอมตะนั่นไม่แน่ว่าจะเป็นระดับสูง หรือระดับสูงสุด…ต่อให้มันเป็นจริง ก็ไม่ใช่อะไรที่ข้าจะครอบครองได้”
“เพราะสุดท้ายแล้วข้าก็ไม่รู้อนาคต ว่าตัวข้าจะบรรลุถึงขอบเขตต้าหลัวจินเซียนได้หรือไม่…”
“อีกทั้ง ถึงมันจะเป็นเพลิงอมตะระดับสูงก็ดี จะเพลิงอมตะระดับสูงสุดก็ช่าง…แต่เพลิงงอมตะระดับนั้นกระทั่งต้าหลัวจินเซียนชนชั้นยอดฝีมือยังยากจะครอบครอง แล้วจะนับประสาอะไรกับข้าเล่า…”
หลิ่วเฟิงกู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะตัวเองหลังพูดจบ
“ไม่สำคัญหรอกว่าเพลิงอมตะที่ท่านพบเจอจะมีระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง แม้กระทั่งสูงสุด…ข้ารู้แค่ตอนนี้ข้าสนใจมันไม่น้อยทีเดียว”
สองตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลง ก่อนเผยประกายเรืองขึ้นวูบวาบ!
เขาไม่คิดจะปกปิดความต้องการเพลิงอมตะนั้นแม้แต่น้อย…
“ด้วยพลังของน้องหลิงเทียนในปัจจุบัน แม้จะไปที่นั่นก็ยังยากจะรับเพลิงอมตะนั่นมาครอบครอง…รอให้เจ้ามีพลังมากพอจะเอาชนะโจวทงได้ก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นเจ้าอาจจะพอครอบครองเพลิงอมตะนั่นได้”
หลิ่วเฟิงกู่ยิ้มกล่าว
“พูดไปพูดมา…ท่านเจ้าเมืองดูท่าจะอยากแก้แค้นเจ้านั่นให้ได้จริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนมองจ้องหลิ่วเฟิงกู่เอ่ยถามเสียงเข้มว่า “ว่าแต่ท่านเจ้าเมือง…หากข้าไปยังจวนผู้ว่าแล้วแต่สุดท้ายกลับพบว่าโจวทงนั่นมันไม่ใช่คนอย่างที่ท่านพูดเล่า…ถึงตอนนั้นไม่ใช่ข้อตกลงของพวกเราต้องล้มเลิกหรือไร และในเมื่อข้อตกลงของพวกเรากลายเป็นโมฆะไปแล้ว เช่นนั้นเรื่องเพลิงอมตะ…ท่านก็คงไม่คิดบอกข้าอีกต่อไปว่ามันอยู่ไหนใช่หรือไม่?”
“ไม่ต้องห่วง…”
หลิ่วเฟิงกู่คลี่ยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ “ข้อตกลงระหว่างพวกเราไม่มีทางเป็นโมฆะไปได้…”
สำหรับหลิ่วเฟิงกู่แล้ว
หากโจวทงไม่ใช่คนที่สมครตาย โลกนี้ก็ไม่มีใครสมควรตายอีก!!
ครู่ต่อมาหลิ่วเฟิงกู่ก็เอ่ยคำลา ก่อนที่จะเหินร่างจากไป
ต้วนหลิงเทียนเองก็กลับเข้าไปในห้องโถง และใช้ยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่เขาไปตระเวนซื้อมาในเมืองเฉวี่ยโยวต่อ…
‘การจารึกยันต์อมตะนั้นไม่ได้ยุ่งยากเท่าการหลอมโอสถทิพย์หรืออุปกรณ์อมตะ เพราะไม่ต้องใช้เพลิงอมตะที่เป็นสมบัติฟ้าดินอันยากพบเจอแต่อย่างใด…ขอเพียงบรรลุด่านพลังตั้งแต่จินเซียนขึ้นไปและใช้เวลาศึกษามันมากพอก็สามารถจารึกอาคมได้…’
‘อย่างยันต์อมตะเงาลอยทั่วไป กับยันต์อมตะเก็บความทรงจำ…ขอเพียงเป็นจินเซียนที่สามารถเข้าใจอักขระ และสลักข่ายอาคมที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้องลงบนแผ่นหยก ก็สามารถสร้างยันต์อมตะพวกนี้ได้ง่ายๆ…’
‘ส่วนยันต์อมตะเงาลอยแม่ลูกนั้น…แม้จะเป็นสิ่งที่ตัวตนขอบเขตจินเซียนก็สามารถจารึกผังอาคมและอีกขระกำกับลงไปได้ไม่ยาก แต่วัตถุดิบที่จะต้องใช้ทำเป็นหมึกจารึกอาคมกลับหายากและมีราคาแพงนัก ทำให้ยันต์อมตะเงาลอยแม่ลูกจึงกลายเป็นของหายากไปด้วยเช่นกัน’
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พอเข้าใจเรื่องยันต์อมตะคร่าวๆ
ไม่ว่าจะเป็นยันต์อมตะเก็บความทรงจำหรือยันต์อมตะเงาลอย ทั้งหมดถือเป็นยันต์อมตะประเภทสนับสนุน…ส่วนยันต์อมตะประเภทจู่โจม ป้องกัน หรือเสริมกาย จำเป็นต้องบรรลุขอบเขตต้าหลัวจินเซียนหรือสูงกว่านั้น ซ้ำยังต้องเข้าใจอักขระที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้…‘
‘อีกทั้งหากพลังวิญญาณที่ใช้สลักจารึกอาคมเขียนยันต์อมตะทั้ง 3 ประเภท สูงส่งมากเท่าไหร่ ยันต์อมตะพวกนี้ก็จะยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น! ยันต์อมตะทรงพลังบางแผ่นสามารถทำให้ผู้ใช้พลิกฟื้นจากความตาย…ทั้งยันต์อมตะทรงพลังบางชนิดก็สามารถคร่าชีวิตตัวตนทรงพลังได้เช่นกัน…’
‘หากเป็นเซียนอมตะรุ่นเยาว์จากขุมพลังอันแข็งแกร่ง…หลายคนล้วนมียันต์อมตะทรงพลังที่เหล่าอาวุโสชนชั้นยอดฝีมือในขุมกำลังเขียนไว้ให้ป้องกันตัวและคลี่คลายสถานการณ์คับขันโดยเฉพาะ ’
หลังเข้าใจแล้วว่ายันต์อมตะบนระนาบเทวโลกเป็นอย่างไร ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มหันมาสนใจข้อมูลในยันต์อมตะเก็บความทรงจำแผ่นอื่นๆ
‘ในระนาบเทวโลก ไม่มีข้อแตกต่างระหว่างผู้ฝึกยุทธ์กับผู้ฝึกเต๋า…เพราะในระนาบเทวโลกมีวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังมากมายที่อาศัยการชักนำพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบมาใช้ปะทะรับมือกับศัตรู…ต่างจากระนาบโลกียะที่มีแต่ผู้ฝึกเต๋าเท่านั้นที่จะชักนำพลังวิญญาณฟ้าดินมาเล่นงานศัตรูได้…’
‘นอกจากนั้นเรื่องชีพจรสวรรค์…ผู้ที่มีชีพจรสวรรค์มากกว่า 81 เส้นขึ้นไป จึงพอจะนับได้ว่าเป็นชนชั้นอัจฉริยะมากพรสวรรค์ ยิ่งมีจำนวนเส้นชีพจรมากเท่าไหร่ ความเร็วในการบ่มเพาะจะรวดเร็วเหนือกว่าเซียนอมตะทั่วไปมากเท่านั้น!’
‘ในระนาบโลกียะคนที่มีชีพจรสวรรค์มากกว่า 81เส้นนับว่าหาได้ยากพอๆกับเขามังกรขนหงส์…แต่ในระนาบเทวโลกไม่เป็นแบบนั้น มีชนพื้นเมืองของแดนสวรรค์ไม่น้อยที่มีชีพจรสวรรค์มากกว่า 81 เส้น และนั่นเป็นเพราะมรดกอันประเสริฐของพวกมัน’
ต้วนหลิงเทียนตกใจไม่น้อย
‘สมแล้วที่เป็นระนาบเทวโลก…ผู้ที่มีชีพจรสวรรค์ 81เส้นสายพอมาอยู่ในระนาบเทวโลกก็นับว่ากลายเป็นธรรมดา…’
ต้วนหลิงเทียนอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
‘จำนวนชีพจรสวรรค์นอกจากส่งผลกระทบโดยตรงกับความเร็วในการบ่มเพาะแล้ว ยังส่งผลกระทบถึงความเร็วในการรวมรั้งพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอีกด้วย…ผู้ที่มีชีพจรสวรรค์มากกว่าย่อมมีเปรียบในสองเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด’
‘แต่…ในระนาบเทวโลก ผู้ที่มีชีพจรสวรรค์มากกว่า ก็ไม่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเหนือผู้ที่มีชีพจรสวรรค์น้อยกว่าเสมอไป’
‘ในระนาบเทวโลกมีโชควาสนามากมาย อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น…ยิ่งไปกว่านั้นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะที่ดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์บางคน ยังมีชีพจรสวรรค์ในร่างน้อยกว่า 80 เส้นด้วยซ้ำ!’
‘มีชีพจรสวรรค์มาก ก็แค่มีต้นทุนในการเริ่มต้นดีกว่าผู้อื่น…แต่เรื่องราวหลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและโชควาสนาของแต่ละคน…’
หลังได้รับทราบเรื่องราวเหล่านี้ ต้วนหลิงเทียนก็โยนความถือดีในใจที่เริ่มก่อตัวหลังได้ขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนและรับทราบความเลิศล้ำของชีพจรสวรรค์ 99 เส้นทิ้งไปหมดสิ้น! เขาไม่คิดว่ามันยิ่งใหญ่หรือมีเปรียบอะไรผู้อื่นมากมายอีกต่อไป!!
‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้อาวุโสฟงชิงหยางแม้จะมีชีพจรสวรรค์เพียงแค่ 81 เส้น แต่กลับใช้เวลาเพียงแค่แสนปีก็สามารถบรรลุขอบเขตจักรพรรดิอมตะ และสู้ชิงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์มาครองได้สำเร็จ ปกครองจี้เมี่ยเทียน 1 ใน 81 แดนสวรรค์ได้อย่างไร้ข้อกังขา!’
ตอนที่ยังอยู่ในระนาบโลกียะต้วนหลิงเทียนได้ยินเรื่องราวของเซียนกระบี่ฟงชิงหยางมามากมาย โดยเฉพาะเรื่องที่มีชีพจรเซียนถึง 81 เส้นนั่น นับว่าสร้างความแตกตื่นให้ผู้คนไปทั้งแดนดิน…!
ชีพจรเซียนที่ว่าก็คือคำเรียกหาชีพจรสวรรค์ในระนาบโลกียะ และสถานที่อื่นบางทีก็มีคำเรียกหาแตกต่างกันไป อย่างผู้เฒ่าหั่วเองก็เคยเรียกมันว่าชีพจรฟ้าดิน…
‘หากไม่ใช่เพราะข้า…ป่านนี้ท่านผู้อาวุโสฟงชิงหยางก็ยังคงดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ปกครอง หนึ่งในเก้าเก้า 81 แดนสวรรค์อย่าง จี้เมี่ยเทียน อย่างผาสุก…’
‘แต่ตอนนี้…ท่านผู้อาวุโสกลับต้องติดอยู่ในนรกอสุรา 1 ใน 7 แดนอันตรายแห่งระนาบเทวโลกทั้งมวล เป็นตายอย่างไรก็ไม่ทราบ ยิ่งไปกว่านั้นกระทั่งอาสามเองยังบอกไว้ว่า กว่า 9 ใน 10 ของจักรพรรดิสวรรค์เข้าไปยังตายมากกว่าอยู่!’
พอนึกถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็หลับตาลง สองหมัดกำแน่นจนข้อขาว ร่างสั่นเทิ้มไปเบาๆ…
“หากท่านผู้อาวุโสฟงชิงหยางเป็นอะไรไป…อวิ๋นชิงเหยียน สักวันข้าจะสับร่างเจ้าให้แหลกเป็นหมื่นชิ้นเผาร่างเจ้าให้มอดไหม้เป็นเถ้าธุลี!”
สองตาต้วนหลิงเทียนเบิกโพลงดุร้าย ฉายชัดถึงความเกลียดชังคับแค้น! กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟัน จนแทบจะกลายเป็นคำรามอยู่รอมร่อ!!
…
หนึ่งเดือนต่อมา
ดั่งอัสนีฟาดวาบออกมาจากน่านฟ้าเมืองเฉวี่ยโยว เป็นร่าง 3 ร่างที่พริบตาก็เหินไปไกลห่าง ทิ้งเมืองเฉวี่ยโยวเอาไว้เบื้องหลัง…
ในบรรดาร่างทั้ง 3 มีชายชราในชุดคลุมสีเทาเหินนำหน้า
ชายชราผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาธรรมดา อย่างไรก็ตามยามเคลื่อนไหวไม่เพียงกระฉับกระเฉง ท่าร่างยังให้ความรู้สึกเข้มแข็งน่าเกรงขามประการหนึ่ง
ชายชราเป็นผู้นำทาง
ด้านหลังของมันก็ติดห้อยตามมาโดยชายหนุ่ม 2คน
หนึ่งในชายหนุ่มทั้งสองมาในชุดสีม่วง อีกคนสวมใส่ไว้ด้วยชุดสีดำสนิท ใบหน้าทั้งคู่ล้วนหล่อเหลาปานหยกที่ขัดเกลามาอย่างดี หนึ่งในนั้นให้ความรู้สึกสบายๆ อีกหนึ่งให้ความรู้สึกเฉยชาราวกับจะผลักไสผู้คนให้ไกลห่างไปพันลี้
กลุ่ม 3 คนที่เหินออกจากเมืองเฉวี่ยโยวไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นต้วนหลิงเทียน ฉินอวี่และทูตพิเศษที่จวนผู้ว่าการประจำมณฑลจิ่วโยวส่งมารับโดยเฉพาะ
ทูตพิเศษของจวนผู้ว่าก็คือชายชราในชุดเทาที่เหินร่างนำลิ่วไปนั่นเอง
มันมาถึงเมืองเฉวี่ยโยวหัวรุ่งวันนี้ และปฏิเสธการต้อนรับขับสู้จากเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวที่จะรั้งให้มันพักผ่อนก่อนสักวัน เลือกจะพาต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่ออกจากเมืองเฉวี่ยโยวทันที…
“ฉินอวี่ ข้าพึ่งอ่านยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่เจ้าเมืองหลิ่วให้ข้ามา…เห็นว่าเมื่อครึ่งปีที่แล้วเจ้ายังเป็นแค่ไป่ฟูฉางของกองทัพมังกรดำ ที่พึ่งชิงตำแหน่งแม่ทัพมาได้สำเร็จงั้นหรือ?”
หลังเหินร่างไปได้สักพัก อยู่ๆชายชราชุดเทาก็หันมามองถามฉินอวี่ที่เหินร่างข้างๆต้วนหลิงเทียน
“ใช่”
ฉินอวี่พยักหน้าตอบคำ
“ข้าได้ยินมาแล้วว่าในเมืองเฉวี่ยโยวของเจ้ามีผู้ที่บรรลุขอบเขตจินเซียนแต่อายุมิถึงร้อยปีเพียงแค่ 9คนเท่านั้น…ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าสุดท้ายตัวแทนของเมืองเฉวี่ยโยว ที่ถูกคัดเลือกให้ไปยังจวนผู้ว่าทั้ง 2หนึ่งในนั้นจะเป็นเจ้าที่เมื่อครึ่งปีก่อนยังเป็นแค่ไป่ฟูฉางคนหนึ่งของกองทัพมังกรดำเท่านั้น…”
“หายาก หายากยิ่ง…เจ้าไม่เลวเลย ไม่เลวเลยจริงๆ”
ชายชรากล่าวชมฉินอวี่ซ้ำคำละสองรอบ
“ขอบคุณท่านทูตพิเศษที่กล่าวชม”
ใบหน้าที่เดิมสงบของฉินอวี่ เริ่มคลี่ยิ้มบางๆ
ชายชราพยักหน้าให้ฉินอวี่อีกครั้ง ค่อยหันไปสนใจต้วนหลิงเทียนที่อยู่ด้านข้าง
คิ้วของต้วนหลิงเทียนโค้งขึ้นเล็กน้อยด้วยความสงสัย ลอบกล่าวในใจว่า ‘ในเมื่อเจ้าเมืองมอบยันต์อมตะเก็บความทรงจำแนะนำตัวฉินอวี่ให้ทูตคนนี้…เช่นนั้นก็สมควรมอบยันต์อมตะเก็บความทรงจำแนะนำตัวข้าให้ด้วยเช่นกัน’
‘แต่ไม่รู้…ว่าในยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่เจ้าเมืองมอบไปให้นั่น จะแนะนำข้าไว้ว่าอย่างไรบ้าง…’
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าหลิ่วเฟิงกู่แนะนำเขาไปว่าอย่างไร แต่ที่เขารู้คือหลิ่วเฟิงกู่ไม่ได้คิดร้ายอะไรต่อเขาแน่
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เขากับหลิ่วเฟิงกู่ยังมีข้อตกลงร่วมกัน ลักษณะนิสัยของอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนที่คิดร้ายต่อผู้อื่นอย่างไร้เหตุผลเป็นทุน…
แต่ตอนนี้หลิ่วเฟิงกู่เป็นคนที่ฝากความหวังเรื่องล้างแค้นไว้ที่เขา เช่นนั้นยิ่งไม่มีทางที่จะคิดร้ายต่อเขา…!