บทที่ 632.5 สายลมบางเบาแสงจันทร์ใสกระจ่าง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เป็นเพราะสำนักใบถงดวงซวยแปดชาติจริงๆ จะโทษที่คนอื่นรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของพวกเขาไม่ได้

อันดับแรกก็เป็นตู้เม่าบรรพจารย์ขอบเขตบินทะยานที่อยู่ดีๆ ก็ตายไป ไม่เพียงแต่ตายไป ยังลากเอาถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่งให้พังภินท์ไปด้วย เศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสหลังจากตู้เม่าตายไปล้วนไม่อาจเก็บไว้ที่สำนักของตัวเองได้ บวกกับที่การออกกระบี่ของเซียนกระบี่จั่วโย่วผู้นั้นรัดกุมเกินไป ผลกระทบลึกล้ำยาวไกลเกินไป ทำร้ายไปถึงจิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตนแทบทุกคนในสำนักใบถง ต่างกันแค่ว่าตื้นลึกเท่านั้น ภายหลังก็มีเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกที่จัดงานเลี้ยงบนทะเลเมฆอย่างกำเริบเสิบสาน งานเลี้ยงนั้นจัดขึ้นที่ริมอาณาเขตพื้นที่อิทธิพลของสำนักใบถง หากเปลี่ยนมาเป็นในอดีตตอนที่บรรพจารย์ผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์อย่างตู้เม่ายังอยู่ ไม่จำเป็นต้องให้ตู้เม่าลงมือด้วยตัวเอง เจียงซ่างเจินก็คงถูกคนไล่ฟันจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนแล้ว

จากนั้นก็เป็นบรรพจารย์ห้าขอบเขตบนท่านหนึ่งที่ทรยศออกจากสำนัก โดยเอาสมบัติล้ำค่าของสำนักไปสวามิภักดิ์กับสำนักกุยหยก สุดท้ายก็ไปเลือกที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างในแจกันสมบัติทวีปพร้อมกับเจียงซ่างเจิน ร่วมกันบุกเบิกที่ดิน เพียงแต่ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ไม่มีข่าวของคนผู้นี้แล้ว ว่ากันว่าเขาปิดด่านไปแล้ว

เหวยอิ๋งพลันเอ่ยว่า “หวงถิงที่พูดถึงก่อนหน้านี้ อันที่จริงตามความเห็นของข้า โชควาสนาของนางค่อนข้างจะน่าเสียดาย ต้องถูกกักขังอยู่ในทวีปแห่งหนึ่ง หากผู้ฝึกกระบี่ของสำนักใบถงมีความคิดจิตใจของกบใต้บ่อน้อยลงหน่อย ยินดีจะไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้มากหน่อย ต่อให้ใบถงทวีปถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางเป็นดั่งอุตรกุรุทวีป ก็ควรจะรวบรวมวาสนาของเซียนกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว หากคำพูดของข้าใช้ได้ผล นับจากวันนี้เป็นต้นไปก็จะให้ผู้ฝึกกระบี่เดินทางไปที่ภูเขาห้อยหัว ภูเขาลึกน้ำค้างย่อมลงแรง ทุกครั้งที่ลงจากภูเขาบนร่างย่อมต้องเปื้อนน้ำค้างกลับมาไม่มากก็น้อย โชควาสนาบนวิถีกระบี่ของใบถงทวีปในแต่ละปีถูกสะสมทีละเล็กทีละน้อยเหมือนมดย้ายรัง กำลังทรัพย์ก็ย่อมอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาได้เอง แน่นอนว่าผู้ฝึกกระบี่ที่ออกไปหาประสบการณ์เหล่านี้จะต้องถูกปิดหูปิดตาเอาไว้ เพราะมีเพียงแค่คนที่จิตใจซื่อสัตย์เท่านั้นถึงจะทำงานใหญ่สำเร็จได้”

เหวยอิ๋งกล่าวอย่างระอาใจ “หากนางอยู่ที่สำนักกุยหยก ข้าก็ยินดีจะช่วยนางหวงถิงช่วงชิงบนวิถีกระบี่”

เจียงเหิงไม่รู้ว่าเรื่องโชควานาที่เหวยอิ๋งพูดถึงเป็นสิ่งที่เขาคิดขึ้นมาเอง หรือเป็นความลับสวรรค์ที่เจ้าสำนักสวินยวนเปิดเผยแก่เขากันแน่ แต่เจียงเหิงย่อมไม่คิดจะสอบถาม รู้เรื่องนี้แล้ว ไยยังต้องถามให้มากความ

ส่วนเรื่องที่สตรีที่ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัดคนนั้นมาอยู่สำนักกุยหยกได้อย่างไร แล้วเหตุใดเหวยอิ๋งถึงได้มองนางสูงกว่าคนอื่น เจียงเหิงล้วนไม่สนใจ

สุดท้ายเหวยอิ๋งพูดเนิบช้าว่า “เมื่อโชคร้ายถึงที่สุด โชคดีย่อมมาเยือน ดวงจันทร์เต็มดวงย่อมกลายเป็นจันทร์เสี้ยว จะไม่ตรวจสอบไม่ได้”

เจียงเหิงมองไปยังทิศไกล ยิ้มพูดอย่างเกียจคร้านว่า “ข้าเป็นคนที่กินดื่มอยู่เฉยๆ รอความตาย กิจการใหญ่พันปีล้วนให้พี่อิ๋งเป็นคนคิด”

“ม้าแก่ริมชายแดน ปลดบังเหียนแล้วอยากนอนหลับ ไม่มีเรี่ยวแรงจะเอาชนะในการรบ”

เหวยอิ๋งหัวเราะ ทอดสายตามองไปไกลเท่าที่การมองเห็นของตนจะเอื้ออำนวย “ช่างเป็นกลิ่นอายของความเซื่องซึมเหงาหงอย พันหลุมหมื่นสุสานที่ดีจริงๆ”

ได้ยินถ้อยคำประหลาดพวกนี้ เจียงเหิงก็แค่จดจำไว้ตามจิตใต้สำนึกเท่านั้น

ความคิดของเจียงเหิงล่องลอยไปไกล ในอดีตเขาเคยเดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัว กุ้ยฮูหยินของเกาะกุ้ยฮวา กระบี่ที่พุ่งมาจากชั้นเมฆเหนือนครมังกรเฒ่า สวนดอกเหมยของภูเขาห้อยหัว…

การเดินทางไกลครั้งนั้น เดิมทีเจียงเหิงคิดอยากจะครอบครองเรือข้ามทวีปลำแรกของใบถงทวีป ถือว่าช่วยบุกเบิกเส้นทางการเงินสายใหม่ให้กับสกุลเจียง เงินไม่มาก แต่กลับมีกำไร ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะทำให้บุรุษที่ดูเหมือนมีเมฆหมอกบดบังตลอดเวลาผู้นั้นหันมามองบุตรชายอย่างตนเต็มๆ ตาสักครั้ง

ผลกลับกลายเป็นว่าทุกเรื่องล้วนไม่ราบรื่น ไม่เพียงแต่เรื่องลับครั้งนี้ที่ทำไม่สำเร็จ พอไปถึงภูเขาห้อยหัว ย้อนกลับมาที่สำนักกุยหยกได้ไม่นานเท่าไรก็มีข่าวลือที่ชวนให้สะอิดสะเอียนอย่างถึงที่สุดนั้นแพร่ออกมา เขาเจียงเหิงก็แค่ออกจากบ้านเดินทางไกลครั้งหนึ่ง เพิ่งจะกลับมาถึงบ้านก็มีน้องชายโผล่มาคนหนึ่งแล้วอย่างนั้นหรือ?

วันนี้เจียงเหิงทะยานลมออกจากยอดเขาจิ่วอี้กลับไปที่เรือนพักของตัวเอง ยังคงเป็นบ้านหลังเก่าที่ท่านแม่เคยพักอาศัย

เจียงเหิงนั่งอยู่บนธรณีประตูของห้องแห่งหนึ่ง หันหน้าไปมองด้านในที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนแล้วพูดเสียงสะอื้น “ท่านแม่ ท่านพ่อโกหกท่าน ตอนนั้นท่านพ่อยังอยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา จะไปแอบมองท่านได้อย่างไร สรุปแล้วท่านรู้เรื่องนี้หรือไม่…”

สุดท้ายเจียงเหิงเงยหน้าขึ้น พึมพำว่า “ท่านแม่ ท่านเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดขนาดนั้น จะไม่รู้ได้อย่างไร ท่านเป็นแบบนี้มาตลอดชีวิต ในใจห่วงใยแต่เจ้าคนสารเลวที่ใจจืดใจดำผู้นั้น ท่านแม่ ท่านรอข้าก่อนเถอะ สักวันหนึ่งข้าจะต้องให้เขาเอ่ยปากขอโทษท่านด้วยตัวเอง จะต้องทำได้แน่นอน นับแต่วันนั้นไปข้าก็จะไม่ใช่เจียงเหิงอะไรอีกแล้ว จะเป็นเจียงเป่ยไห่…”

ทันใดนั้นก็มีเสียงที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุด แต่ก็ทำให้เจียงเหิงหวาดกลัวลึกเข้าไปถึงกระดูกดังขึ้นในจุดที่ห่างไปไม่ไกล “ลูกชายคนดี พูดแบบนี้กับพ่อของตัวเองได้อย่างไร ไม่กตัญญูเลยนะ จะต้องตาย”

ร่างเจียงเหิงขึงเกร็ง หันหน้ากลับไปมองบุรุษที่มีรอยยิ้มเต็มใบหน้าผู้นั้นด้วยท่าทางแข็งทื่อ

บุรุษผู้นั้นทอดถอนใจติดๆ กัน “กว่าจะได้กลับบ้านมาสักครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย กลับต้องมาถูกลูกชายของตัวเองตำหนิยาวเหยียด โชคดีที่ข้าใจจืดใจดำ จิตใจอำมหิตไร้ปราณี ไม่อย่างนั้นจิตแห่งมรรคาคงระเบิดแตก ขอบเขตถดถอยไปหลายขั้นแล้วเป็นแน่”

เจียงเหิงลุกขึ้นยืนร่างกายโงนเงน ใบหน้าซีดขาวเหมือนขี้เถ้ามอด

คนผู้นั้นมองเจียงเหิงอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าจะโง่ไปหน่อย เพราะถึงอย่างไรความโง่นี้ก็ได้แม่เจ้ามา แต่จะดีจะชั่วก็ยังถือว่าเป็นคน นี่ก็เหมือนนางอีกเหมือนกัน อันที่จริงถือเป็นเรื่องดี คนโง่ก็มีโชคของคนโง่ ดีมาก แต่ว่ากฎบ้านยังต้องมี วันนี้ข้าจะไม่ถือสาเจ้า เจ้าเติบใหญ่ขนาดนี้ ข้าที่เป็นพ่อไม่เคยสั่งสอนอบรมอะไรเจ้า แล้วก็ไม่เคยด่าอะไรเจ้า วันหน้าเจ้าต้องจดจำประโยคหนึ่งให้ขึ้นใจ บิดาไม่เมตตาลูกต้องกตัญญู จากนั้นก็พยายามให้พี่น้องอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง ไม่ว่าใครก็ห้ามทำให้ข้าเหนื่อยใจ”

เจียงเหิงที่ในสมองเหลวเป็นแป้งเปียกได้แต่พยักหน้ารับอย่างทึ่มทื่อ

เจียงซ่างเจินหมุนตัวเดินจากไป จุ๊ปากพูดว่า “เหตุใดถึงได้ให้กำเนิดลูกกระต่ายหน้าตาอัปลักษณ์เช่นเจ้าได้นะ มองนานหน่อยก็ให้รู้สึกย่ำแย่แล้ว เจ้านี่ช่างผิดต่อพ่อแม่ซะจริง วันหน้าหากได้พบเจอข้าอีกต้องก้มหน้าพูดนะ”

เจียงเหิงถึงได้กล้ายกมือเช็ดทั้งน้ำตาและเหงื่อที่ท่วมเต็มใบหน้า ไปเดินวนหน้าประตูผีมารอบหนึ่งก็ เวลานี้จึงรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก

คำพูดพวกนี้ของบุรุษในวันนี้อาจถูกคนนอกที่ได้ยินเข้ารู้สึกสงสารสภาพการณ์ของเขาเจียงเหิง แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อเทียบกับถ้อยคำที่บุรุษเอ่ยในอดีต นี่ถือว่าเป็นถ้อยคำที่ไพเราะแล้ว

หลังจากที่เจียงซ่างเจินออกมาจากเรือนหลังนั้นก็ตรงดิ่งไปที่ศาลบรรพจารย์ภูเขาเสินจ้วน ต้องการน้อมต้อนรับเจ้าสำนักผู้เฒ่าที่ออกจากด่าน เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยานได้สำเร็จ

ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตหรือฐานะ อันที่จริงเหวยอิ๋งก็ควรจะมีตำแหน่งที่นั่งอยู่ในศาลบรรพจารย์ อีกทั้งที่นั่งจะต้องไม่มีทางค่อนไปข้างหลังอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่ายอดเขาจิ่วอี้พิเศษเกินไป กลับกลายเป็นว่าไม่มีที่นั่งของเขา

กฎตายตัวที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ไม่มีเหตุผลให้พูดถึง และตระกูลเซียนอักษรจง กฎเกณฑ์ของบรรพบุรุษก็มักจะใหญ่กว่าผืนฟ้าอยู่เสมอ

เดินเข้าประตูมา เจียงซ่างเจินที่ถูกเจียงเหิงทำลายอารมณ์ดีๆ ไปเล็กน้อยพลันอารมณ์ดีขึ้นมาทันควัน เขาล่ะชอบสีหน้าเหมือนคนกินขี้แล้วยังต้องบอกว่าขี้อร่อยของเจ้าตะพาบเฒ่าพวกนี้จริงๆ

เห็นผู้ฝึกตนหญิงที่นั่งติดประตูใหญ่ที่ยังรักษาความงามเอาไว้ได้ รูปร่างก็ไม่แย่เลยแม้แต่น้อย เจียงซ่างเจินก็รีบขยับเข้าไปใกล้ ยิ้มเอ่ยกับอีกฝ่ายทันที “ศิษย์พี่หญิงหลิว ตรงนี้ลมแรงจะตายไป ระวังจะโดนลมเย็นเข้าล่ะ ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน ดูท่านสิผอมลงแล้ว ข้าเจ็บปวดใจนัก ไม่มีเนื้อกินจะได้อย่างไร หากไม่มีเงินจริงๆ ก็มาหาข้าสิ อย่านั่งอยู่ตรงนี้เลย ไปๆๆ ที่นั่งของข้าอยู่ค่อนไปทางด้านหน้า เจ้าก็มานั่งบนตักข้าเถอะ”

สตรีผู้นั้นจ้องเขาเขม็งด้วยสายตาเยียบเย็น

เจียงซ่างเจินทอดถอนใจ บนใบหน้าเขียนคำว่าถูกทำร้ายจิตใจเอาไว้ แล้วก็เดินจากไป

ทุกคนที่มีเก้าอี้อยู่ในศาลบรรพจารย์ล้วนรู้ดีว่า ใต้หล้านี้คนที่ต้องการถลกหนังดึงเส้นเอ็นของเจียงซ่างเจินที่สุดต้องมีนางเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน

แน่นอนว่าเจ้าของเก้าอี้ส่วนใหญ่ก็รู้สึกไม่ต่างจากนางสักเท่าไร

น่าเสียดายที่เจียงซ่างเจินยังคงมีชีวิตอยู่อย่างดี ทุกวันคล้ายคนที่แบกบ่อขี้วิ่งพล่านไปทั่ว ตัวเขาเองอารมณ์ดี แต่คนอื่นกลับขยะแขยงนี่นา

หลังจากที่เจียงซ่างเจินนั่งลงแล้วก็ทิ้งตัวนั่งพังพาบอยู่อย่างนั้น พรูลมหายใจออกมายาวเหยียด “อยู่บ้านสบายที่สุดจริงๆ ด้วย นั่งยองในห้องส้วมก็ยังเป็นตัวของตัวเองมากกว่า”

บรรพจารย์ผู้คุมกฎท่านหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเจียงซ่างเจินแค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “เจียงซ่างเจิน เจ้าทำปากให้สะอาดหน่อยเถอะ!”

เจียงซ่างเจินอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง “เจ้าเป็นใครกัน พ่อข้าหรือ เจ้าสอนข้า? หากวันนี้ข้ายอมรับเจ้าเป็นพ่อ เจ้าก็ต้องมอบอาวุธเซียนชิ้นนั้นให้ข้า แล้วข้าจะโขกหัวเรียกเจ้าว่าพ่อทันที วันหน้าอย่าว่าแต่จะพูดจาอย่างไรเลย จะกินข้าวอย่างไรเจ้าก็ล้วนสั่งข้าได้ อีกอย่างนะ ขอแค่พวกเราสองคนรับกันเป็นพ่อลูก ลูกสาวที่รักและหลานสาวคนดีของเจ้าจะยังชอบข้าอีกได้อย่างไร? ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว หากข้าเป็นเจ้า อย่าว่าแต่รับเป็นลูกเลย ต่อให้รับเป็นพ่อก็ยังตอบตกลง!”

บรรพจารย์ผู้คุมกฎท่านนั้นเริ่มหลับตาทำสมาธิ

ไม่อาจฉีกหน้าเข่นฆ่ากันจริงๆ ได้ ด่าก็ด่าอีกฝ่ายไม่ชนะ ยังจะทำอย่างไรได้อีก

ในความเป็นจริงแล้วก็เคยแตกหักกับเจียงซ่างเจินมาก่อนครั้งหนึ่ง คือเมื่อครั้งที่อยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของสกุลเจียง

สำหรับทั้งสองฝ่ายแล้ว จุดจบล้วนไม่ถือว่าดีเท่าไร

ดังนั้นคราวนั้นเจ้าสำนักสวินยวนจึงมีโทสะเดือดดาลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

บริเวณใกล้เคียงกับเก้าอี้ตัวกลางมีริ้วคลื่นกระเพื่อมขึ้น ผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินออกมา ก็คือสวินยวนที่ออกจากด่าน เขายิ้มเอ่ยว่า “พอเถอะ ศาลบรรพจารย์ตระกูลเซียนอักษรจงทั้งหมดในโลกล้วนไม่มีบรรยากาศอึมครึมเป็นมลพิษอย่างสำนักกุยหยกของพวกเราหรอกนะ”

เจียงซ่างเจินเบิกตากว้าง “เหล่าสวิน ดูจากท่าทางแล้วคงจะฝ่าทะลุขอบเขตสองขั้นติดสินะ?”

ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนนอก สวินยวนจึงสบถด่าทันที “ไสหัวไปตายไกลๆ เลยไป”

เจียงซ่างเจินขยับก้นขึ้น เก้าอี้สี่ขาโยกไปโยกมาเหมือนคนขากะเผลกกำลังเดิน ขยับเคลื่อนถอยไปด้านหลัง

สวินยวนเก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืน “พูดเรื่องเป็นการเป็นงาน ข้อแรก เรื่องจัดเตรียมงานพิธีการของสำนักหยุดไว้ให้หมด ข้อที่สอง ปรึกษาเรื่องตัวเลือกเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักกุยหยก เรื่องนี้อยู่ในใต้หล้าไพศาลไม่ถือว่าเป็นกฎเกณฑ์อะไร แล้วก็ไม่ถือว่าเป็นข้อยกเว้นอะไร ดังนั้นพวกเจ้าไม่ต้องทำสีหน้าเหมือนเห็นผี กระตือรือร้นก็คือกระตือรือร้น อยากได้ก็คืออยากได้ หัดเรียนรู้จากเจ้าเด็กเหวยอิ๋งผู้นั้นให้มากหน่อย ไม่จำเป็นต้องลำบากใจอะไร”

เจียงซ่างเจินขยับเก้าอี้มาที่ตำแหน่งเดิมอีกครั้ง พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าสามารถลาออกจากตำแหน่งเจ้าสำนักเจินจิ้ง มาแบกรับภาระที่หนักหน่วงยิ่งกว่าไว้บนบ่า ส่วนเหวยอิ๋งผู้นั้นให้เข้าไปแทนที่ตำแหน่งเดิมของข้า คนหนุ่มน่ะจำเป็นต้องฝึกประสบการณ์ให้มากๆ”

จากนั้นพวกบรรพจารย์และเหล่าผู้ถวายงานใหญ่ของศาลบรรพจารย์สำนักกุยหยกต่างก็พากันรู้สึกว่า หากเจียงซ่างเจินไม่ใช่บุตรนอกสมรสของเจ้าสำนักสวินยวนก็คงต้องเป็นเพราะเจ้าสำนักสวินยวนฝ่าทะลุขอบเขต ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน สมองก็เลยพังไปแล้ว

เพราะสวินยวนพยักหน้าเอ่ยว่า “ได้สิ”

โชคดีที่ประโยคถัดไปของสวินยวนพอจะถือเป็นยาสงบใจให้กับทุกคนได้บ้าง

ผู้เฒ่าหันหน้ามาจ้องเจียงซ่างเจินที่ลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้วเขม็ง พูดเสียงทุ้มหนักว่า “เมื่อนั่งลงบนตำแหน่งของข้าก็จะไม่ใช่เจียงซ่างเจินเจ้าประมุขสกุลเจียงอีกต่อไปแล้ว”

ผลคือเจียงซ่างเจินนั่งแปะกลับไปบนเก้าอี้

สวินยวนจึงตวาดขึ้นว่า “ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้! ปีนั้นเจ้าต้องการไปอยู่ยอดเขาจิ่วอี้ ข้าไม่รับปาก เจ้าก็เลยได้แต่ไสหัวไปอยู่ยอดเขาอื่น วันนี้ข้าต้องการให้เจ้าเป็นเจ้าสำนัก ต่อให้เจ้าไม่รับปากก็ยังต้องเป็นเจ้าสำนักกุยหยกแห่งนี้แต่โดยดี!”

เจียงซ่างเจินลุกขึ้นยืนช้าๆ ประสานมือคารวะก้มหน้าเอ่ย “เจียงซ่างเจินขอเอ่ยสี่คำว่า ‘น้อมรับบัญชา’ เป็นครั้งสุดท้าย”

สวินยวนคลี่ยิ้ม “ขอให้ข้าได้นั่งเก้าอี้ตัวนี้นานอีกหน่อย”

หลังจากที่ผู้เฒ่านั่งลงแล้วก็มองไปยังทะเลเมฆขุนเขาสูงที่อยู่นอกประตู อยู่ดีๆ ก็นึกถึงบทกวีที่มีชื่อยาวนานเป็นพันปีบทนั้นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

‘ไอเมฆหมอกผุดลอยออกมาจากขุนเขาอย่างเป็นธรรมชาติ นกน้อยที่โบยบินอย่างเหนื่อยล้าก็รู้จักบินกลับรัง กลับคืนไปเถิด พืชพรรณเขียวชอุ่ม สายน้ำเส้นเล็กไหลริน กลับคืนไปเถิด’

แต่สิ่งที่ทำให้ผู้เฒ่าจดจำบทความนี้ได้จริงๆ อันที่จริงไม่ใช่ถ้อยคำน่าฟังที่แม้แต่เทพเซียนบนภูเขาก็ยังอิจฉาเหล่านี้ แต่เป็นแค่สามคำที่เริ่มต้นบทกวี

‘บ้านข้ายากจน’

……

หากมีเซียนที่กินอิ่มว่างงานออกทะเลโดยเริ่มเดินทางจากเกาะหลูฮวา จากนั้นตรงดิ่งเป็นเส้นตรงไปทางใบถงทวีปที่อยู่ทิศตะวันออกก็จะต้องขึ้นฝั่งใกล้กับสำนักฝูจี

ภูเขาบรรพบุรุษของสำนักฝูจีมีชื่อว่าฉุยซาง มีทะเลเมฆล้อมวนอยู่ตลอดทั้งปี

มีชื่อเสียงทัดเทียมกับภูเขาไท่ผิงที่ตั้งอยู่ภาคกลางของใบถงทวีปเช่นเดียวกันมานานแล้ว เพียงแต่จะถือว่าหนึ่งอยู่ตะวันตกอีกหนึ่งอยู่ตะวันออก คล้ายคลึงกับการคุมเชิงทางทิศเหนือและทิศใต้ของสำนักใบถงกับสำนักกุยหยก

สำนักฝูจีเชี่ยวชาญเรื่อง ‘เทพเซียนถามตอบ ผู้คนได้รับความรู้’ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นจวนเซียนของลัทธิเต๋า ทว่ากลับไม่อยู่ในสามสายของป๋ายอวี้จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัว มีทัศนียภาพไม่ต่างจากภูเขามังกรพยัคฆ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางหรืออารามเสวียนตูใหญ่ของใต้หล้ามืดสลัวสักเท่าไร

เพียงแต่ว่าก่อนหน้าที่จะเกิดอุบัติการณ์ใหญ่เทียมฟ้าที่ลุกลามไปทั่วทั้งใบถงทวีป ไม่พูดถึงรากฐานที่แท้จริง พูดถึงแค่ชื่อเสียง สำนักฝูจีก็ยังถือว่าเหนือกว่าภูเขาไท่ผิงเล็กน้อย ทั้งสองฝ่ายมีแค้นสะสมกันมายาวนาน หลังจากที่ปีศาจใหญ่สองตนทยอยกันออกอาละวาด ตนหนึ่งทำร้ายสำนักฝูจีจนบาดเจ็บสาหัส อีกตนหนึ่งก็ยิ่งทำให้พลังชีวิตของภูเขาไท่ผิงเสียหายอย่างใหญ่หลวง ภูเขาไท่ผิงและสำนักฝูจีที่ร่วมทุกข์ร่วมหายนะด้วยกันมาย่อมวางอคติที่มีในอดีตลง กลายมาเป็นพันธมิตรกัน ผู้ฝึกตนของทั้งสองฝ่ายต่างก็ลงจากภูเขา รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมานานหลายปี ความสัมพันธ์ในทุกวันนี้จึงดีขึ้นเยอะมาก

กลางดึกของวันนี้มีชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งขึ้นมาบนสำนักฝูจีที่ปิดภูเขามานานหลายปี

ก่อนที่จะปิดภูเขา สำนักฝูจีได้ย้ายถนนเรียกสวรรค์ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขาลงไปอยู่ด้านล่างภูเขา เห็นได้ชัดว่าถนนที่เจริญรุ่งเรืองอย่างถึงที่สุดสายนี้ได้กลายมาเป็นความเจ็บปวดใจของเจ้าสำนักจีไห่ เพราะเมื่อมองนานเข้าก็จะคิดถึงคู่บำเพ็ญตนของเขาที่สร้างถนนเส้นนี้ขึ้นมากับมือของตัวเอง

ตอนอยู่ที่ถนนเรียกสวรรค์แห่งนั้น ชายหนุ่มที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อซื้อของเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง แต่ขอแค่ราคาเกินสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เขาล้วนไม่ซื้อ

ข้างกายบุรุษมีสตรีพกกระบี่ที่รูปโฉมงดงามอย่างถึงที่สุดติดตามมาด้วย แต่กลับไม่มีใครกล้ามาหาเรื่อง เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เพราะกระบี่เล่มนั้นมีลักษณะของกระบี่ประจำกายของภูเขาไท่ผิง

และนักพรตหญิงของภูเขาไท่ผิงที่งดงามขนาดนี้ก็มีเพียงคนเดียว นั่นคือเซียนกระบี่ก่อกำเนิดที่โชควาสนาลึกล้ำที่สุดในทวีป หวงถิง

ต้องรู้ว่าปีนั้นแม้แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพในอดีต เจ้าสำนักชิงเหลียงแห่งอุตรกุรุทวีปคนปัจจุบัน ในเรื่องของโชควาสนานี้ก็ยังได้แค่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘หวงถิงคนที่สอง’ เท่านั้น

และข้างกายหวงถิง บัณฑิตที่ท่าทางเหมือนคนตกยากนี้ ก็คือจงขุยที่ไม่มีสถานะวิญญูชนของลัทธิขงจื๊ออยู่แล้ว

การที่เฉินผิงอันเป็นนักบัญชีได้ แรกเริ่มสุดก็เพราะได้เรียนรู้มาจากจงขุย