บทที่ 632.6 สายลมบางเบาแสงจันทร์ใสกระจ่าง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

จงขุยเบี่ยงตัวเดินหันข้าง ยิ้มเอ่ยว่า “คนก็ไม่ใช่คน ผีก็ไม่ใช่ผีอย่างข้า แม้ว่าจะไม่มีสถานะของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักฝูจี หากคิดจะเรียนวิชาลับเฉพาะจากเจ้าสำนักจี ลำพังเพียงแค่อาศัยหน้าตาของอาจารย์ข้าคงยังไม่ได้ ข้าเป็นเพื่อนสนิทของเฉินผิงอัน และเจ้าเองก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเฉินผิงอัน ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ยิ่งสนิทกันมากขึ้น เจ้าไม่ช่วยข้าพูดจามีมโนธรรมสักสองสามประโยคก็ฟังดูไม่สมควรสักเท่าไรเลยนะ”

หวงถิงเพิ่งกลับมาจากการหาประสบการณ์ที่อุตรกุรุทวีปไม่นาน ยังไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขตเป็นก่อกำเนิดได้ในรวดเดียว พอกลับมาถึงภูเขาไท่ผิง แม้จะบอกว่าปิดด่าน แต่แท้จริงแล้วก็แค่คร้านจะพบเจอผู้คนเท่านั้น

เดินทางกลับมาจากการลงใต้ ระหว่างทางที่ผ่านแจกันสมบัติทวีป ยังไปเยือนราชวงศ์ต้าหลีโดยเฉพาะมารอบหนึ่ง อยากจะไปเจอแม่นางน้อยถ่านดำที่หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ผู้นั้นเสียหน่อย ดูสิว่านางเรียนเวทกระบี่วิชาดาบเป็นอย่างไรบ้างแล้ว คิดไม่ถึงว่าแม่นางน้อยจะไม่อยู่บนภูเขา กลับมีเจ้าคนสองคนที่สายตาล่อกแล่กพยายามจะรั้งตัวนางไว้อย่างกระตือรือร้น เจ้าคนที่อายุมากหน่อยนั่นคิดจะหลอกให้นางเป็นผู้ถวายงาน ส่วนอีกคนหนึ่งขาดก็แค่ไม่ได้น้ำลายไหลเท่านั้น ไม่ได้ต่างอะไรจากพวกอันธพาลในหมู่บ้านร้านตลาดสักเท่าไร

หวงถิงไม่มีอารมณ์มาพูดล้อเล่นกับจงขุย ออกจากภูเขามาครั้งนี้ก็เพราะว่าเจ้าขุนเขาขับไล่คน จึงจำต้องมาเที่ยวที่ภูเขาฉุยซางเป็นเพื่อนจงขุย ดังนั้นจึงพูดอย่างเป็นการเป็นงาน “ข้ามีจดหมายลับจากเจ้าขุนเขา น่าจะพอช่วยได้บ้าง เรื่องอื่นๆ ข้าล้วนไม่สนใจ หากจีไห่ไม่รับปาก ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ เจ้าก็ภาวนาให้ตัวเองโชคดีมากๆ เถอะ”

จงขุยกลัดกลุ้มเป็นกำลัง

หวงถิงคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ ในเมื่อเป็นเรื่องใหญ่ ก่อนหน้านี้ก็ควรจะใส่ใจสักหน่อย ไหนเลยจะมีเหตุผลให้เพิ่งมาคิดเป็นจริงเป็นจังยามที่อยู่บนภูเขาฉุยซาง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ถนนเรียกสวรรค์ตรงตีนเขา จงขุยอดีตวิญญูชนของสำนักศึกษาท่านนี้ยามที่หั่นราคาขึ้นมา ความสามารถก็ไม่ตื้นเขินเลยจริงๆ เป็นคนประเภทที่ไม่คิดรักษาหน้าตาตัวเองแม้แต่น้อย หวงถิงเองก็เคยออกท่องยุทธภพอยู่บ่อยครั้ง แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ แต่คนเช่นจงขุยนี้ หวงถิงไม่สนใจใยดีคือเรื่องหนึ่ง แต่ความประทับใจที่มีต่อเขากลับไม่เลว นั่นก็คืออีกเรื่องหนึ่ง ศึกของภูเขาไท่ผิง หากไม่เป็นเพราะจงขุยคาดเดาแผนการของศัตรูได้ล่วงหน้า จึงกอบกู้สถานการณฺกลับมาได้ หวงถิงที่รู้สึกละอายใจต่อสำนักคงถูกความรู้สึกอัดอั้นกดทับจนตายแล้วเป็นแน่

ตลอดทางที่เดินกันมานี้จงขุยเดินๆ หยุดๆ ชอบไปหาพวกผีพรายเซียนน้ำตามริมทะเลสาบแม่น้ำลำคลองให้ออกมาพูดคุยกันอยู่นาน หรือไม่ก็พูดคุยเรื่องเก่าแก่ยิบย่อยปีมะโว้กับพวกผีเร่ร่อนที่อยู่ตามสุสาน ถึงอย่างไรหวงถิงก็ปล่อยตามใจเขา ตัวเขาเองไม่รีบร้อน นางที่เป็นคนนอกก็ยิ่งไม่รีบร้อน

ตอนนั้นจงขุยยังพูดจามีเหตุผล หลังจากบอกลากับผีผู้เฒ่าที่เกือบจะเผากระดาษเหลืองสาบานเป็นพี่น้องกันมาแล้ว เขาก็พูดกับหวงถิงว่า นี่เรียกว่าคนแก่ไม่เล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง คนรุ่นหลังย่อมไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร เป็นเฉินผิงอันที่บอกกับข้า

หวงถิงที่เงียบขรึมจึงเถียงกลับไปประโยคหนึ่งอย่างที่หาได้ยาก แล้วเฉินผิงอันก็จะบอกเรื่องที่เจ้าบอกเขากับคนอื่นด้วยไหม?

จงขุยก็เลยบ่นนาง เซียนกระบี่อย่างพวกเจ้านี่นะ ออกกระบี่ก็คือฆ่าคน แต่ยามพูดจากลับทำร้ายความรู้สึกคนยิ่งนัก

คนทั้งสองเดินขึ้นเขากันไปช้าๆ จีไห่ยังไม่ปรากฏตัวเสียที นี่ไม่ใช่นิมิตหมายที่ดีเลย

แม้ว่าคนทั้งสองจะไม่ใช่บุคคลยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าของใบถงทวีปอะไร ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาจีไห่มักจะรับรองคนอื่นอย่างมีมารยาทรัดกุมเสมอ ไม่ใช่ผู้อาวุโสที่ชอบวางมาดใหญ่โต

หวงถิงไม่ใช่คนที่ดูถูกตัวเอง ต่อให้ตนจะมาเยือนสำนักฝูจีแค่เพียงลำพัง ตามหลักแล้วต่อให้จีไห่ไม่ออกไปต้อนรับที่หน้าประตูภูเขา เวลานี้ก็ควรมาปรากฏตัวอยู่ที่ขั้นบนสุดของบันไดภูเขาได้แล้ว

จงขุยยังคงไม่รีบร้อน เขาเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าหลิวจิ่งหลงแห่งอุตรกุรุทวีปที่เคยต่อสู้กับเจ้าอยู่บนภูเขาตี่ลี่ ไม่เพียงแต่เป็นเซียนกระบี่แล้ว การถามกระบี่สามครั้งหลังจากนั้นก็ล้วนชวนให้คนตื่นตาตื่นใจอย่างมาก”

หวงถิงพยักหน้ารับ “เจ้าคนจู้จี้นิสัยเหมือนสตรีผู้นั้นกลายเป็นเซียนกระบี่มีอะไรให้ต้องประหลาดใจกัน คอขวดขอบเขตก่อกำเนิดของข้าใหญ่ยิ่งกว่าและสูงยิ่งกว่า จึงเป็นเหตุให้ช้ากว่าเขาเล็กน้อย ความต่างแค่ช้าเร็วไม่กี่ปี สำหรับผู้ฝึกตนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อเทียบกับสองคนที่ลำดับในรายชื่อสูงยิ่งกว่าอย่างหลินซู่และสวีเซวี่ยนแล้ว ข้าเห็นดีในความสำเร็จบนมหามรรคาของหลิวจิ่งหลงมากกว่า แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ทัศนคติของข้าคนเดียว”

จงขุยบังเกิดความสนใจ จึงกระซิบถาม “ออกเดินทางไปหาประสบการณ์ที่อุตรกุรุทวีปครั้งนี้ ไม่มีใครที่ตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกเห็นบ้างหรือ?”

หวงถิงไม่ถือสาเรื่องพวกนี้ “มีสิ แถมยังมีไม่น้อยด้วย ในหุบเขาผีร้ายของชายหาดโครงกระดูกก็มีผู้ฝึกตนสำนักพีหมาอยู่คนหนึ่ง เขาเป็นคนดีจนข้านึกอยากจะแนะนำศิษย์น้องหญิงให้เขาเลยล่ะ”

จงขุยโอดครวญ “ในใต้หล้านี้ยังมีคำพูดใดที่ทำให้บุรุษเสียใจเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย ราวกับว่าชีวิตไม่เหลืออะไรแล้วได้เท่าการที่สตรีบอกบุรุษว่าเจ้าเป็นคนดีอีกหรือ? แม่นางหวง เทพธิดาหวง วันหน้าขอเจ้าอย่าได้พูดจาแบบนี้อีกเลย เจ้าทำตัวเป็นคนใบ้ยังดีกว่าเสียอีก”

หวงถิงจึงคร้านที่จะพูดคุยกับเขาต่อ

จงขุยมองไปทางทิศตะวันตก ภูเขาฉุยซางตั้งอยู่ติดกับมหาสมุทร

จงขุยพึมพำกับตัวเองว่า “อยากไปจะลองดูที่กำแพงเมืองปราณกระบี่สักครั้งจริงๆ แต่อาจารย์ไม่อนุญาตนี่นา”

หวงถิงเหลือบตามองจงขุย

จงขุยยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ข้าไม่ใช่เจ้าที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนทำได้ตามใจปรารถนา บัณฑิตน่ะมีกฎเยอะนักล่ะ”

หวงถิงยิ้มกล่าว “แม้แต่ยศวิญญูชนก็ไม่มีอยู่แล้ว แล้วก็ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อแล้วด้วย ยังจะเฝ้ารักษาสถานะของบัณฑิตเอาไว้ไม่ยอมวางอีกหรือ อืม เฝ้ารักษาจนตัวตายก็ไม่ยอมวางจริงๆ”

จงขุยมีอยู่ข้อหนึ่งที่ดีมาก พูดล้อเล่นด้วยได้ ต่อให้สาดเกลือลงบนบาดแผลก็ไม่ถือสา

จงขุยขยับคอเสื้อ สะบัดชายแขนเสื้อ “รับผลได้ผลเสียจากการเป็นบัณฑิตได้ และยังสามารถรักษาจิตใจที่ปกติเอาไว้ได้ ก็ถือว่าการฝึกตนประสบผลสำเร็จเล็กๆ แล้ว หากทำไม่ได้ก็เท่ากับว่าแสร้งวางมาดให้ภูมิฐานไปอย่างนั้นเอง ข้าในเวลานี้ถือว่ามีมาดแห่งความยิ่งใหญ่เที่ยงธรรม ปีนั้นเจ้าเด็กเฉินผิงอันนั่นก็ถูกปราณเที่ยงธรรมซื่อสัตย์บนร่างข้าทำให้ตะลึงพรึงเพริด รู้สึกนับถือเลื่อมใสข้าอย่างสุดจิตสุดใจ เซ้าซี้อยากจะตัดหัวไก่สาบานเป็นพี่น้องกับข้าให้จงได้ แต่ข้าไม่ตอบตกลง เพราะรังเกียจว่าน้ำหมึกในท้องเขามีน้อยเกินไป ไม่อาจเขียนบทกวีออกมาได้”

หวงถิงเอ่ย “ข้าไม่ได้ตาบอด ไม่เห็นจะมองออก”

จงขุยเงยหน้ามองยอดเขาฉุยซางด้วยความรู้สึกเสียใจเล็กน้อย

เล่าลือกันว่าในอดีตเคยมียอดฝีมือคนหนึ่งเดินทางท่องเที่ยวผ่านมายังที่แห่งนี้ แล้วได้มอบคำทำนายที่ไม่เป็นมงคลนักแก่จีไห่

‘ตะวันขึ้นแบกฟืนผ่านแสงแดด สวมเสื้อกันฝนหลังฝนตกยากแย้มยิ้ม มือขาวนวลเนียนไม่มั่นคง บนโลกนี้ย่อมมีสิ่งที่ยากจะรั้งไว้’

จงขุยไม่เชื่อในเรื่องชะตากรรม

แม้ว่าเขาเองก็เป็นคนที่บนร่างแบกคำทำนายไว้เช่นกัน

แต่จงขุยก็แค่ไม่ชอบเท่านั้น

ทว่าดูเหมือนจะไม่ยอมรับชะตากรรมก็ไม่ได้

นี่ทำให้จงขุยยิ่งกลัดกลุ้มเข้าไปใหญ่

ไม่รู้ว่ากิจการโรงเตี๊ยมของจิ่วเหนียงที่พอไม่มีนักบัญชีซึ่งเป็นดั่งเสาคานหลักเช่นตนอยู่แล้ว วันหน้าใครจะเป็นคนเขียนกลอนคู่วันปีใหม่ให้

แต่ว่ากันว่าราชวงศ์ต้าเฉวียนมีแม่นางงดงามคนหนึ่งนามว่าเหยาจิ้นจือที่ฝีมือร้ายกาจไม่น้อย

นางเองก็เป็นคนที่มีบทเพลงอยู่ในหมู่เด็กๆ และมีคำทำนายติดตัวเช่นกัน จะเป็นโชคหรือเคราะห์ ตอนนี้ยังไม่อาจบอกได้

คิดถึงเรื่องพวกนี้ จงขุยก็พลันหันหน้ามาถามว่า “แม่นางหวง ภูเขาไท่ผิงกลับกลายเป็นว่าไม่ค่อยสงบสุขก่อนใคร เจ้าว่าพวกเจ้าตั้งชื่อได้ดีขนาดนี้ แล้วก็ไม่เคยปัดความรับผิดชอบของตัวเอง ทว่าวิถีทางโลกทุกวันนี้วุ่นวายถึงเพียงนี้ ก็ไม่ควรจะต้องโทษพวกเจ้าสักหน่อยหรือ?”

หวงถิงหัวเราะร่า “อยากโดนฟันรึ?”

จงขุยยิ้มหน้าเป็น “หากแม่นางเซียนกระบี่สามารถฟันให้คนตายอย่างข้ามีชีวิตกลับคืนมาได้ก็เชิญเจ้าฟันตามสบาย”

หวงถิงเก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืน ถามเสียงเบา “เจ้าไม่โทษชะตากรรมบ้างหรือ?”

จงขุยส่ายหน้า “ได้มาคือความโชคดีของข้า เสียไปคือชะตาของข้า ความเป็นความตายก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน”

……

หลังจากที่ตู้เม่าลุกผงาดขึ้นมาในสำนักใบถง สภาพการณ์ของสำนักก็ไม่เคยถูกบีบคั้นเช่นนี้มาก่อน

หากไม่เป็นเพราะเจ้าสำลักยอมสละการเดินขึ้นสู่ยอดบนสุดของมหามรรคาเป็นค่าตอบแทน ใช้วิชานอกรีตมาฝ่าทะลุคอขวดจนกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง บวกกับที่ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขา ‘ร่มสวรรค์ใบถง’ ยังคงอยู่ เกรงว่าวันเวลาของสำนักใบถงตลอดหลายปีมานี้ก็คงยากลำบากยิ่งกว่าเดิม

ไม่มีใครคาดคิดว่าบรรพจารย์ผู้คุมกฎจะขโมยสมบัติหนักทรยศออกจากสำนัก จิตใจของผู้คนไม่มั่นคง เหล่าผู้ถวายงานแตกฉานซ่านเซ็น สำนักใบถงที่ยิ่งใหญ่ อันที่จริงอาณาเขตยังคงอยู่ แต่คนกลับไม่พอแล้ว

ใช่ว่าสำนักใบถงจะไม่มีตัวอ่อนสำหรับการฝึกตน ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ ต้นกล้าที่พรสวรรค์ดีเยี่ยมทั้งหลายมีอยู่มากมาย เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ล้วนยังไม่ได้เติบโตอย่างแท้จริง

และเมื่อหลายพันปีก่อนสำนักใบถงก็คุ้นชินกับการทำตัวกำเริบเสิบสานมานานแล้ว เดิมทีเป็นเรื่องสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน กองกำลังตระกูลเซียนแห่งอื่นๆ ตั้งแต่บนภูเขาจรดล่างภูเขาต่างก็เคยชินกันแล้ว ถึงขั้นยังเป็นฝ่ายช่วยสะสมกำลังทรัพย์ให้สำนักใบถงด้วยตัวเอง เพียงเพื่อแลกเปลี่ยนมาด้วยความสัมพันธ์ควันธูปเล็กๆ น้อยๆ อาจเป็นการที่เซียนดินของสำนักใบถงมาเป็นแขกที่บ้านของตน ปรากฏตัวเข้าร่วมงานพิธีการบางอย่างบนภูเขา ช่วยสนับสนุนทำให้สำนักมีหน้ามีตา หรือไม่หากผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ของสำนักใบถงลงจากเขาไปหาประสบการณ์แล้วพาผู้ฝึกตนของสำนักตัวเองติดตามไปด้วย จะด่าจะตีก็ได้ แค่อย่าไม่ระวังทำให้สะพานแห่งความเป็นอมตะบนมหามรรคาขาดสะบั้นเป็นพอ หรือหากไม่ระวังจริงๆ แล้วหลังจบเรื่องสำนักใบถงยินดีชดใช้ด้วยเงินสักเล็กน้อยให้พอเป็นพิธีก็ยังได้ จะดีจะชั่วก็ให้เกียรติสำนักแห่งนั้นบ้างไม่มากก็น้อย หรือไม่หากสำนักใบถงมีพิธีการเปิดขุนเขา ขอแค่มีที่ว่างให้กับพวกเขาสักเล็กน้อย ไม่คาดหวังว่าต้องเป็นบนภูเขาบรรพบุรุษ แค่อยู่บนยอดเขาแห่งอื่นแล้วได้มองเห็นบุคคลยิ่งใหญ่บนยอดเขาสำนักใบถงทั้งหลายไกลๆ ก็ได้แล้ว เพราะพอกลับไปยังสำนัก นั่นก็จะกลายเป็นหนังเสือที่เอามาห่มคลุมข่มขู่คนอื่นซึ่งใช้ได้ผลเป็นอย่างดีมากๆ แล้ว

เพียงแต่เรื่องราวที่ทั้งคนภายในและภายนอกสำนักใบถงคุ้นเคยกันอย่างถึงที่สุดนี้กลับกลายมาเป็นจุดที่ทำให้สำนักใบถงถูกประนามหยามเหยียดมากที่สุดในทุกวันนี้ ไม่เพียงแค่คำประณามเท่านั้น การกระทำเล็กๆ มากมาย นับวันก็ยิ่งเกินขอบเขต สำนักบางแห่งที่ห่างจากสำนักใบถงไปไกลพอสมควร อีกทั้งยังมีรากฐานลึกล้ำมากพอ ขาดก็แค่ไม่ได้แสดงตัวอย่างโจ่งแจ้งว่าต้องการเลื่อยขาเก้าอี้ของสำนักใบถงก็เท่านั้น ผู้ถวายงานปลายแถวหลายคนของสำนักใบถงจึงถูกชิงตัวไปจนหมดอย่างรวดเร็วทั้งอย่างนี้

ดังนั้นต่อให้เจ้าสำนักใบถงจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้วก็ยังต้องเหน็ดเหนื่อยยากลำบากเป็นทบทวีอยู่เหมือนเดิม

พวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่เดิมทีหมอบกราบกรานหายใจรวยรินอยู่ใต้ฝ่าเท้าก็แอบสมคบคิดเป็นพันธมิตรกัน และถึงขั้นกล้าต่อรองราคากับสำนักใบถงแล้ว

ราชวงศ์ล่างภูเขาจำนวนมากที่เดิมทีเตรียมจะยกสองมือประคองส่งตัวอ่อนด้านการฝึกตนให้กับสำนักใบถงก็เริ่มมีความคิดเป็นอื่น เลือกจะเดินอ้อมไปไกลมากกว่าเพื่อพาพวกเด็กๆ ไปเยือนสำนักฝูจีหรือไม่ก็ภูเขาไท่ผิงก่อน หมายดูว่าพวกเซียนซือของที่นั่นจะถูกชะตากับพวกเด็กๆ หรือไม่

หากว่ากันตามเนื้อผ้า ใช่ว่าสำนักใบถงจะไม่เคยทำเรื่องที่หาข้อตำหนิอะไรไม่ได้เสียเลย ใช่ว่าจะไม่เคยมอบน้ำใจมีบุญคุณกับผู้อื่น น้ำค้างสายฝนของหนึ่งสำนักสร้างความชื่นฉ่ำให้กับภูเขาสายน้ำหมื่นลี้ ย่อมไม่ใช่แค่คำที่ชื่นชมเกินจริงอย่างแน่นอน

น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ผู้ฝึกตนบนภูเขาของใบถงทวีปไม่มีใครยินดีที่จะพูดถึงเรื่องพวกนี้

บุรุษสวมชุดตัวยาวสีม่วงคนหนึ่งยืนอยู่ริมตลิ่งของลำคลองในเขตการปกครองของสำนัก สถานที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่ที่เซียนกระบี่จั่วโย่วมาหยุดอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ

แรกเริ่มสุดบุรุษยังเกลียดชังการออกกระบี่ของคนผู้นี้ เพียงแต่ว่าเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป เหตุการณ์ไม่คาดฝันแต่ละอย่างเกิดขึ้นกะทันหัน มองดูเหมือนไม่มีลางบอกเหตุ แต่แท้จริงแล้วหากสืบเสาะอย่างละเอียดจะค้นพบว่าที่แท้แก่นรากของหายนะได้แผ่ขยายลุกลามมานานแล้ว

สำนักใบถงในอดีตพึ่งพาขอบเขตของบรรพบุรุษผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์ท่านนั้นมากเกินไป

และบรรพบุรุษผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์ท่านนั้นก็ชอบอาศัยขอบเขตข่มเหล่าผู้มีความสามารถมากเกินไป บนกระทำล่างปฏิบัติตาม โดยภาพรวมแล้วคนทั้งบนและล่างสำนักจึงเป็นกันเช่นนี้

หากวิถีทางโลกสงบสุขมั่นคง ภาพรวมเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอย่างแน่นอน เป็นภาพบรรยากาศที่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ามาช่วงชิงด้วย สำนักใหญ่จึงเจริญรุ่งเรือง

สามารถใช้ขอบเขตและสมบัติอาคมมาแก้ปัญหายุ่งยากนอกภูเขาได้ ประหารก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง แต่หากทำไม่ได้ ก็ใช้สามคำว่าสำนักใบถงมาคลี่คลาย แต่หากยังไม่ได้อีกก็กลับมาที่สำนัก ขอให้พวกผู้อาวุโสในสำนักลงมือ ใช้วิธีการง่ายๆ ที่มาจากประสบการณ์อันโชกโชน หากยังไม่รู้อะไรควรไม่ควร หัวย่อมกลิ้งหล่นไปบนพื้น แต่หากพอจะรู้กาลเทศะ ก็มาโขกหัวขอขมาอยู่นอกประตูภูเขา

ไม่ได้บอกว่าหลายพันปีที่ผ่านมานี้สำนักใบถงไม่มีเอกลักษณ์ความพิเศษเลย เพียงแต่ว่าการปักบุปผาลงบนผ้าแพรที่เป็นดั่งการแตกกิ่งก้านเล็กๆ ออกไปนี้คล้ายจะไม่อาจแบกรับคลื่นมรสุมได้มากสักเท่าไร

รอกระทั่งบรรพบุรุษผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์จากไป บวกกับการกระทำอำมหิตของตู้เม่าที่ยอมทำลายถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่งโดยไม่เสียดายเพื่อให้ตัวเองได้มีชีวิตอยู่ต่อ อย่าว่าแต่พวกผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อซึ่งป้อนอย่างไรก็ไม่เคยอิ่ม หรือกระทั่งผู้สืบทอดมากมายของศาลบรรพจารย์ที่อายุยังน้อย ความคิดเรียบง่ายเลย แม้แต่บุรุษที่เป็นเจ้าสำนักเช่นเขาก็ยังรู้สึกหนาวเหน็บในหัวใจ

ต่อให้เปลี่ยนตำแหน่งกัน และเขาก็คิดว่าตัวเองน่าจะเลือกทำแบบเดียวกับตู้เม่าก็ตาม

ข้างกายบุรุษมีหญิงสาวท่าทางขลาดกลัวคนหนึ่งเดินมาหา

บุรุษหันหน้ามายิ้มถาม “จิตแห่งกระบี่ของเขาได้รับการรับชดเชยเป็นอย่างไรแล้วบ้าง?”

ตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกันของสำนักใบถงผู้นั้นได้รับกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่บรรพจารย์ตู้เม่ามอบให้ เพียงแต่ว่าภายหลังคำพูดไม่กี่คำของจั่วโย่วกลับเกือบจะทำให้จิตแห่งกระบี่ของเขาแหลกสลาย

หญิงสาวที่ความเยาว์วัยเพิ่งจะผ่านพ้นไปเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “เรียนเจ้าสำนัก จิตแห่งกระบี่ของศิษย์พี่ฟื้นตัวมาได้พอสมควรแล้ว หากจิตแห่งกระบี่กลับคืนมาสมบูรณ์แบบอีกครั้งก็มีหวังว่าจะฝ่าทะลุขอบเขตได้ทันที”

แม้บุรุษจะเหนื่อยใจอย่างถึงที่สุด อีกทั้งอนาคตบนมหามรรคาของตนก็ไม่เหลือความเป็นไปได้ใดๆ แล้ว แต่พอได้เห็นใบหน้าของคนรุ่นเยาว์ เสาคานที่จะทำให้สำนักใบถงรุ่งโรจน์ขึ้นมาได้อีกครั้งในอนาคตเหล่านี้ อารมณ์ของบุรุษก็ดีขึ้นมาได้บ้าง

บุรุษยิ้มบางๆ เอ่ย “หลายปีมานี้ลำบากพวกเจ้าแล้ว หน้าที่หลายอย่างที่เดิมทีเป็นของอาจารย์พวกเจ้ากลับต้องมาตกอยู่บนบ่าของพวกเจ้าแทน”

เด็กสาวตรงหน้าเขาที่ในอดีตศาลบรรพจารย์เห็นพ้องต้องกันว่าข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือขี้ขลาดเกินไปนี้ คิดไม่ถึงว่าในขณะที่วิถีทางโลกสงบสุข จิตแห่งการฝึกตน การกระทำและคำพูดยามลงจากภูเขา นางจะมีท่าทางอ่อนแอบอบบางดุจน้ำเสียงยามเอื้อนเอ่ยของนาง แต่ที่ยิ่งนึกไม่ถึงก็คือยามที่เจอกับสภาพการณ์อับจนอันอเนจอนาถ กลับกลายเป็นว่าจิตแห่งการฝึกตนของนางยิ่งเด็ดเดี่ยวมั่นคง อีกทั้งความเด็ดเดี่ยวนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยนักบนตัวของคนรุ่นเยาว์สำนักใบถงในอดีต แน่นอนว่านี่ก็เกี่ยวข้องกับการที่ในอดีตสำนักพบเจอแต่ความราบรื่นสมปรารถนาเกินไปด้วย

นางส่ายหน้าอย่างแรง ปลุกความกล้าพูดเสียงดังว่า “เรียนเจ้าสำนัก ได้ทั้งฝึกบำเพ็ญตนและก็ได้ทั้งฝึกฝนจิตใจ แบบนี้ดีมากแล้ว! ไม่ลำบากเลยสักนิด เจ้าสำนักไม่ต้องเป็นห่วง!”

เซียนกระบี่ชุดม่วงคลี่ยิ้ม ดีมาก แม่หนูนี่กล้าพูดเสียงดังต่อหน้าคนอื่นแล้ว