บทที่ 632.7 สายลมบางเบาแสงจันทร์ใสกระจ่าง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เขาขี่กระบี่จากไป ก่อนจะจากไปได้พูดกับนางว่า “สำนักใบถงของพวกเรามีความหวัง ข้าเชื่อในตัวพวกเจ้า พวกเจ้าเองก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง”

ข้างลำคลองจึงเหลือเพียงหญิงสาวคนเดียว

รอกระทั่งเงาร่างของเจ้าสำนักจากไปไกลแล้ว คาดว่าน่าจะไปถึงภูเขาบรรพบุรุษแล้ว นางถึงได้นั่งลงริมตลิ่งแล้วเริ่มเหม่อลอย

ไม่รู้ว่าเซียนกระบี่ที่ไร้เหตุผลที่สุดในใต้หล้าคนนั้น พอไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วจะไปใช้เหตุผลกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างไร

นางโยนหินก้อนหนึ่งลงแม่น้ำ ในใจแอบด่าคนผู้นั้นไปหนึ่งประโยค

……

นครมังกรเฒ่า แจกันสมบัติทวีป

จวนอ๋องเจ้าเมือง

ซ่งจี๋ซิน หรือควรจะเรียกว่าซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองตามแผนผังวงศ์ตระกูลซ่งราชวงศ์ต้าหลี วันนี้เขาหงุดหงิดใจเป็นอย่างยิ่ง จึงหลบความวุ่นวายมาเอนตัวนอนบนม้านั่งยาวในระเบียง

สามลัทธิเก้าสาขา พวกบุคคลจากสถานที่ต่างๆ รุงรังวุ่นวายอะไรพวกนั้น ล้วนคิดจนหัวแทบแตกหวังจะมุดเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องเจ้าเมืองแห่งนี้

ยิ่งนานวันซ่งจี๋ซินก็ยิ่งรู้สึกว่าข้างกายของตนขาดบุคคลที่สามารถเรียกใช้งานได้อย่างสบายใจ อีกทั้งยังทำงานได้เก่ง

ขอแค่หัวสมองดี ขอบเขตสูงพอ ซ่งจี๋ซินก็ไม่ถือสาชาติกำเนิดของอีกฝ่าย

แต่เงื่อนไขก็คือต้องเป็นคนที่เขาซ่งจี๋ซินเลือกเอง

ไม่อย่างนั้นหากเป็นคนที่มาจากการบอกเป็นนัยของตระกูลฝู จากคำพูดมีนัยของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน หรือแม้แต่คนจากภูเขาตะวันเที่ยงและสกุลสวี่นครลมเย็น การกระทำและคำพูดของพวกเขาก็ล้วนทำให้ซ่งจี๋ซินหงุดหงิดได้ทั้งสิ้น

ประเด็นสำคัญคือคนมากมายที่มีคุณสมบัติจะเดินเข้ามาในจวน ซ่งจี๋ซินล้วนไม่อาจเพิกเฉยได้

เมื่อก่อนไม่เคยรู้สึกว่าเจอคนพูดภาษาคน เจอผีพูดภาษาผีเป็นเรื่องยากตรงไหน ตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกว่ายากอยู่เหมือนเดิม แต่รู้สึกว่าตนเหนื่อยจริงๆ

สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว นี่ก็เป็นเพราะต่อให้ซ่งจี๋ซินจะเป็นอ๋องเจ้าเมืองของต้าหลีมานานหลายปี แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าตนเป็นอ๋องเจ้าเมืองที่พื้นที่ศักดินาของตนคืออาณาบริเวณครึ่งทวีปอย่างแท้จริง

ต่อให้ผู้ฝึกตนเฒ่าหรือแม้แต่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนจะปฏิบัติตนกับเขาอย่างมีมารยาท กระทั่งพวกแม่ทัพบู๊ที่กุมอำนาจอย่างแท้จริงของต้าหลี หรือลูกหลานแซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นทั้งหลายที่เดินทางลงใต้มาเยือนนครมังกรเฒ่า ยามที่พูดคุยกับตนก็ยังต้องกะเกณฑ์คำพูดและน้ำเสียงของตัวเองให้ดี

แต่ซ่งจี๋ซินก็ยังไม่คุ้นชิน

ราวกับกำลังฝันอยู่อย่างไรอย่างนั้น

แต่เรื่องที่ทำให้ลึกๆ ในใจของซ่งจี๋ซินไม่สบอารมณ์เป็นที่สุดคือเรื่องที่มองดูเหมือนว่าเล็กอย่างยิ่ง

จื้อกุยสาวใช้ข้างกายที่มีชีวิตพึ่งพากันและกันมานานหลายปี ดูเหมือนว่าจะยิ่งอยู่ห่างไกลจากเขาไปทุกที

ยิ่งนานวันซ่งจี๋ซินก็ยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจนาง

ในความเป็นจริงแล้วจื้อกุยไม่ได้มีคำพูดการกระทำ หรือแม้กระทั่งสายตาที่ไม่สมเหตุสมผลใดๆ

แต่ซ่งจี๋ซินกลับสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาดของจวนอ๋องและจวนตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่า

ซ่งจี๋ซินไม่อยากถามนาง อยากให้นางเป็นคนบอกตนด้วยตัวเอง

คนหนึ่งไม่คิดถาม คนหนึ่งไม่คิดบอก

ซ่งจี๋ซินเอนตัวนอนอยู่บนม้านั่งยาว ตั้งใจว่าจะไม่คิดอะไรทั้งนั้น ขอนอนสักพัก อย่างน้อยที่สุดก็ได้หลับสักงีบ เขาพึมพำกับตัวเองว่า “คงไม่ใช่แค่สนิทสนมกันแต่ภายนอกกระมัง ไม่ใช่หรอกน่า”

ซ่งจี๋ซินพลันลุกพรวดขึ้นนั่ง ขยับเสื้อผ้าให้เข้าที่

เพราะข้างกายมีบุรุษสวมชุดขาวคนหนึ่งมานั่งอยู่

เสด็จอาซ่งจ่างจิ้ง

หรือควรเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าซ่งจ่างจิ้งผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ!

ซ่งจ่างจิ้งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แค่นี้ก็รู้สึกว่าลำบากแล้วรึ?”

ซ่งจี๋ซินพยักหน้า “ไม่ว่าเรื่องใดก็ถ่วงเวลาล่าช้าไม่ได้ ไม่รับประกันว่าจะทำได้ดีสักเท่าไร แต่หากเป็นข้อผิดพลาดใหญ่ๆ ก็ย่อมไม่มีอย่างแน่นอน เสด็จอาวางพระทัยได้ หากมีคำตำหนิ ข้าจะตั้งใจรับฟัง มีความผิดก็พร้อมแก้ไข”

ซ่งจ่างจิ้งหัวเราะเสียงหยัน “หากด่าเจ้าแล้วมีประโยชน์ ข้าก็คงด่าจนกว่าเจ้าจะตายไปนั่นแหละ”

ซ่งจี๋ซินสัมผัสได้ถึงความรู้สึกกดดันที่ทำให้หายใจไม่ออก และเขาก็เริ่มหายใจไม่คล่องแล้ว

แต่ในความเป็นจริงแล้วซ่งจ่างจิ้งไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแค่พูดแรงๆ ประโยคเดียวเท่านั้น

ซ่งจ่างจิ้งเอ่ย “วันหน้าหม่าขู่เสวียนแห่งภูเขาเจินอู่จะมาทำธุระอยู่ที่นี่”

ซ่งจี๋ซินสีหน้ามืดทะมึน

เจ้าลูกพันธ์ผสมตรอกซิ่งฮวาที่ตั้งแต่เด็กก็ชอบแกล้งทำตัวเป็นคนโง่ผู้นั้น!

น้อยครั้งนักที่ซ่งจี๋ซินจะชิงชังใครได้ขนาดนี้

ซ่งจ่างจิ้งลุกขึ้นเตรียมจากไป เขามองซ่งจี๋ซินแวบหนึ่ง “ข้าสามารถรับปากเจ้าเรื่องหนึ่งได้ ยกตัวอย่างเช่นยามที่เจ้าคิดจะฆ่าหม่าขู่เสวียนก็แค่บอกข้าสักคำ แต่เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ข้อเรียกร้องมากมายอย่างอื่น ไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะตอบตกลง ยกตัวอย่างเช่นสังหารฮ่องเต้เพื่อให้เจ้าได้นั่งบัลลังก์มังกร ส่วนข้อที่ว่าจะเอาโอกาสนี้ไปใช้กับหม่าขู่เสวียนอย่างเปล่าประโยชน์หรือไม่ เจ้าก็ช่างน้ำหนักเอาเอง”

ซ่งจี๋ซินลุกขึ้นตาม “จดจำไว้แล้ว”

หอเติงหลงริมทะเลนอกนครมังกรเฒ่า ทุกวันนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามไปแล้ว

เป็นคำสั่งห้ามที่อ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่ออกคำสั่งด้วยตัวเอง

คนที่สามารถไปชมทัศนียภาพที่นั่นได้มีเพียงหยิบมือเท่านั้น หากเป็นผู้ฝึกลมปราณก็ต้องเริ่มต้นที่ขอบเขตก่อกำเนิด

คนที่ไปเยือนที่นั่นบ่อยที่สุด กลับกลายเป็นสาวใช้คนหนึ่งของจวนอ๋องเจ้าเมือง

แต่ว่าสตรีนางนั้นมีรูปโฉมไม่ธรรมดา ได้ยินมาว่านางเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง แต่กลับงดงามไร้ที่ติ โดดเด่นเหนือโลกีย์ยิ่งกว่าผู้ฝึกตนหญิงที่ฝึกบำเพ็ญตนจนพอจะบรรลุผลเสียอีก

วันนี้นางก็มาเยือนหอเติงหลงเพียงลำพังอีกครั้ง มายืนอยู่บนตำแหน่งที่สูงที่สุด

กวาดตามองรอบด้าน ไม่มีอะไรให้สำรวจตรวจสอบ

ผู้ถวายงานโอสถทองของตระกูลฝูงซึ่งเดิมทีมาสร้างกระท่อมชมทะเลใกล้กับหอเติงหลงก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว

ตอนนี้อยู่ในนครมังกรเฒ่า หากแม้แต่นางก็ยังสัมผัสไม่ได้ถึงวี่แววใดๆ นั่นก็แสดงว่าต้องไม่มีคนโคจรวิชาอภินิหารห่วยๆ อย่างการมองภูเขาสายน้ำผ่านฝ่ามืออยู่อย่างแน่นอน

ดวงตาสีทองคู่นั้นของนางมีประกายแสงไหลรินไม่หยุดนิ่ง

บนร่างสวมชุดคลุมมังกรที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลฝูที่มาจากการหล่อหลอมทะเลเมฆทั้งหมด

ตอนนี้อยู่ในแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ นางไม่ใช่คนที่ใครคิดจะฆ่าก็ฆ่าได้อย่างง่ายดายอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็นว่าเว้นเสียจากคนจำนวนสองมือนับ นางอยากจะฆ่าใครก็ล้วนฆ่าได้ทั้งหมด!

แต่ตบะขอบเขตที่น้อยนิดจนแทบไม่มีค่าพอให้พูดถึงนี้ยังคงไร้ความหมายอยู่ดี

ลำพังเพียงแค่ฟ่านจวิ้นเม่าที่กลายเป็นซานจวินใหญ่ของขุนเขาใต้ก็ทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าได้แล้ว

และความเร็วในการฝ่าทะลุขอบเขตของฟ่านจวิ้นเม่าหลังจากนี้ก็จะย่อมต้องเร็วมากเหมือนกัน

จื้อกุยก้มหน้าลงมองงูสี่ขาตัวหนึ่งที่มีเขางอกขึ้นกลางหน้าผาก มันนอนหมอบอยู่ข้างฝ่าเท้าของนางอย่างว่าง่าย

นางยกเท้าขึ้นแล้วกระทืบลงไปเต็มแรง เจ้าตัวน้อยน่าสงสารที่อยู่ในรูปลักษณ์ของงูสี่ขาตัวนั้นไม่กล้าวิ่งหนี ได้แต่ส่ายหางอย่างแรงเพื่อแสดงความน่าสงสาร แต่การกระทำนี้ของมันกลับทำให้ทั้งหอเติงหลงโยกคลอน

นางกล่าวอย่างเดือดดาล “ส่ายหางแสดงความน่าสงสารแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้งั้นหรือ? เจ้ายังสู้เจ้าเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนที่แม้แต่จะร้องไห้ก็ยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ คนนั้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”

ทันใดนั้นก็พลันเพิ่มแรงเหยียบให้งูสี่ขาจมลงไปในพื้นดิน

จื้อกุยยกเท้ากลับคืน หันหน้าเหม่อมองไปทางทิศใต้ที่ห่างไกล ม่านฟ้าของตรงนั้นเลือนรางเต็มที

คนผู้นั้นที่สามารถควบคุมนางได้ ตายไปแล้ว ตายอย่างน่าเวทนานัก

ส่วนอีกคนหนึ่ง อันที่จริงก็สามารถควบคุมนางได้ แต่กลับไม่เคยรู้ความจริงข้อนี้ ช่างน่าขันจริงๆ

……

ท่ามกลางม่านราตรี

บนเกาะกุ้ยฮวาเรือข้ามทวีปของตระกูลฟ่านแห่งนครมังกรเฒ่า

กุ้ยฮูหยินกับจินซู่ลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวนั่งอยู่ในเรือนที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง

จินซู่ยิ้มเอ่ย “อาจารย์ นี่ไม่ใช่วันไหว้พระจันทร์เสียหน่อย เหตุใดท่านถึงอยากกินขนมไหว้พระจันทร์ขึ้นมาล่ะเจ้าคะ”

มือหนึ่งของกุ้ยฮูหยินถือขนมไหว้พระจันทร์ อีกมือหนึ่งวางรองไว้ด้านใต้ หลังจากเคี้ยวช้าๆ อย่างละเอียดแล้วก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ก็อยากกินนี่นา”

มีเพียงยามอยู่กับอาจารย์เท่านั้น จินซู่ถึงจะมีท่าทางออดอ้อนซุกซน นางยืดขาทั้งสองข้างออก สิบนิ้วสอดประสานกัน ยืดตัวบิดขี้เกียจ จากนั้นก็แหงนหน้ามองไป ต้นกุ้ยบรรพบุรุษบนเกาะสูงมาก แสงจันทร์จึงราวกับว่าแขวนอยู่บบนกิ่งไม้

กุ้ยฮูหยินกัดขนมไหว้พระจันทร์เบาๆ คำหนึ่งแล้วเอ่ยสัพยอก “ยังชอบซุนเจียซู่ ไม่ใช่ฟ่านเอ้อร์อยู่อีกหรือ?”

จินซู่หน้าแดงน้อยๆ พูดบ่นว่า “อาจารย์ ท่านช่างทำลายบรรยากาศเสียจริง ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่ถูกกาลเทศะเอามากๆ!”

กุ้ยฮูหยินยิ้มกล่าว “ก็ได้ๆๆ ข้าผิดไปแล้ว”

จินซู่แหงนหน้ามองทัศนียภาพงามล้ำที่ราวกับว่าดวงจันทร์และต้นกุ้ยอิงแอบแนบชิดกันต่อไป ปากก็ถามชวนคุยว่า “อาจารย์ ได้ยินมาว่าใต้หล้าทุกแห่งล้วนมีดวงจันทร์ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ยิ่งมีถึงสามดวง บวกกับถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่มีมากมายพวกนั้น สรุปแล้วดวงจันทร์ดวงใดถึงเป็นดวงจริง หรือจะบอกว่าจริงทุกดวง? ผู้คนล้วนสามารถแหงนหน้ามองดวงจันทร์ได้จากทุกหนทุกแห่งหรือเจ้าคะ”

กุ้ยฮูหยินหัวเราะ “ดวงจันทร์ที่แท้จริงน่าจะอยู่ในใจกระมัง”

ดวงจันทร์ในดวงจันทร์

อยู่ดีๆ จินซู่ก็ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “หากเป็นแบบนี้ได้ตลอดไปก็ดีน่ะสิ”

กุ้ยฮูหยินยิ้มบางๆ “ดวงจันทร์มีมืดมีสว่าง มีกลมมีเสี้ยว คงมีเพียงดวงจันทร์ในดวงตา ดวงจันทร์ในหัวใจของผู้คนเท่านั้นที่ไม่เป็นเช่นนี้ เพียงแต่ว่าแบบใดถึงดีกว่ากัน กลับไม่เคยมีใครให้คำตอบที่ชัดเจนได้”

กุ้ยฮูหยินที่รูปโฉมไม่ถือว่างามล้ำ แต่บุคลิกกลับสง่างามมีราศีผู้นี้แหงนหน้ามองดวงจันทร์ที่อยู่บนฟ้า

มองโลกมนุษย์จากดวงจันทร์มาจนเคยชินแล้ว อันที่จริงมองดวงจันทร์จากโลกมนุษย์อยู่ไกลๆ ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ

……

การลำเลียงเสบียงทางน้ำของแคว้นชิงหลวนกลับมาดำเนินการได้อีกครั้ง ถือว่าเป็นคุณูปการที่สมบูรณ์แบบ ที่ว่าการทั้งหลาย ขุนนางน้อยใหญ่ และฝ่ายงานต่างๆ ที่ร่วมมือกันทำเรื่องนี้ต่างก็พอใจกันถ้วนหน้า

อันที่จริงช่วงแรกเริ่มกลับไม่มีใครเห็นดีเห็นงามในเรื่องนี้ นอกจากจะทำสำเร็จได้ยากแล้ว ยังจะต้องล่วงเกินคนอื่น รวมไปถึงมีภัยร้ายซ่อนแฝงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน ไม่ทันระวังก็เท่ากับมีโคลนเละๆ เปื้อนติดเต็มชุดขุนนาง ล้างอย่างไรก็ล้างไม่ออก

ดังนั้นช่วงแรกเริ่มสุดคนที่หมวกขุนนางใหญ่สุดจึงมีแค่ใต้เท้าหลางจงสองท่านจากกรมครัวเรือนและกรมโยธาธิการที่ถูกดึงตัวมาจากเมืองหลวง บวกกับผู้ว่าการในเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของเส้นทางหลักบางช่วงของการลำเลียงเสบียงอีกท่านหนึ่ง แค่สามคนนี้เท่านั้น

นอกจากนี้ก็มีหลิ่วชิงเฟิงที่ ‘เลื่อนขั้น’ จากนายอำเภอมาเป็นขุนนางผู้ช่วยดูแลเรื่องการขนส่งทางน้ำเท่านั้น

เพียงแต่ว่าเมื่อเรื่องราวราบรื่นอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง หมวกขุนนางของขุนนางผู้ดูแลหลักจึงใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ซือหลางกรมครัวเรือน ซือหลางกรมโยธาพากันแย่งชิงที่จะออกจากเมืองหลวง ไปทำงานยากลำบากด้านการขนส่งทางน้ำที่เล่าลือกันว่าเป็นสถานที่ที่ยุงและแมลงบินเต็มฟ้า มดเดินยั้วเยี้ยเต็มพื้น ครึ่งปีต่อมาก็เป็นเจ้ากรมโยธาที่ไปรับหน้าที่ด้วยตัวเอง ว่ากันว่าไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่เคยพร่ำบ่นถึงความเหนื่อยยาก กว่าจะเปิดเส้นทางการขนส่งทางน้ำได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ยามที่กลับเมืองหลวง ใต้เท้ากรมโยธาที่เข้มแข็งมีเกียรติและหยิ่งในศักดิ์ศรีก็เอาร่มหมื่นประชา (ร่มที่ชาวบ้านมอบให้แก่ขุนนางในท้องถิ่นเพื่อสรรเสริญที่ขุนนางสร้างคุณูปการในสมัยอดีต) กลับไปด้วยคันเดียวเท่านั้น

ฮ่องเต้สำราญพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เลื่อนขั้นให้คนไม่น้อย คนบางคนที่ตำแหน่งขุนนางสูงอยู่แล้วก็จะมอบของพระราชทานให้แทน

แน่นอนว่านอกจากหลิ่วชิงเฟิงที่ไปหลบอยู่เบื้องหลังอย่างรู้อะไรควรไม่ควรซึ่งไม่ได้ผลประโยชน์สักเท่าไรแล้ว อันที่จริงขุนนางสามท่านที่ร่วมงานกับหลิ่วชิงเฟิงในช่วงแรกเริ่มสุดอย่างพวกซือหลางและผู้ว่าการ ต่างก็อดรู้สึกกระอักกระอ่วนในใจไม่ได้ เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วใต้เท้าทั้งสามท่านที่ร่วมงานอยู่กับหลิ่วชิงเฟิงมานานก็พอจะขบคิดถึงความนัยที่ซ่อนแฝงอยู่ได้ จึงไม่ได้เอ่ยอะไรในฎีกาแม้แต่ครึ่งคำ ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุให้หลิ่วชิงเฟิงถึงต้องทำเช่นนี้ จนถึงทุกวันนี้คนสามคนที่ต่างก็ได้เลื่อนตำแหน่งแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

ตามหลักแล้วขุนนางคนหนึ่งที่ถูกตัดชื่อออกจากผังวงศ์ตระกูล ชื่อเสียงฉาวโฉ่อย่างถึงที่สุด กว่าจะสร้างคุณความชอบเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย อะไรที่ควรได้รับ เหตุใดถึงจะไม่รับ? คนทั่วไป ต่อให้เป็นของที่ไม่ใช่ของตนก็ยังไขว่คว้ากันแทบตาย หลิ่วชิงเฟิงผู้นี้กลับดีนัก ตากแดดจนตัวดำเหมือนชาวนาแก่ๆ คนหนึ่ง เนื้อตัวก็ผอมแห้งไม่มีราศีแล้ว และนับประสาอะไรกับที่รายละเอียดและทิศทางการดำเนินไปแทบทั้งหมดของการขนส่งทางน้ำครั้งนี้ ก็ล้วนเป็นคุณความชอบของเขาคนเดียว กลับกลายเป็นว่าเขาดันเป็นคนที่ไม่ได้เลื่อนขั้นไม่ได้ร่ำรวยที่สุด ก็แค่เปลี่ยนจากขุนนางผู้ช่วยงานขนส่งทางน้ำมาเป็นขุนนางผู้ช่วยเจ้าเมืองเท่านั้น

วันนี้หลิ่วชิงเฟิงอยู่ระหว่างการเดินทางไปรับตำแหน่งในเมืองที่ค่อนข้างห่างไกลของแคว้นชิงหลวน เขานั่งอยู่บนรถม้าคันหนึ่ง สารถีคือหวังอี้ฝู่ผู้ติดตามที่เคยทำหน้าที่เป็นเสี้ยนเหว่ยมาก่อน

หลิวซัวที่มีชาติกำเนิดเป็นเด็กรับใช้นั่งอยู่ข้างกายชายฉกรรจ์ อาจารย์นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องโดยสารด้านหลัง เนื่องจากถนนขรุขระรถม้ากระเด้งกระดอน การอ่านหนังสือจึงทำร้ายสายตาทำลายจิตใจได้มากที่สุด เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่หลิวซัวอดไม่ไหวเลิกม่านขึ้นเอ่ยเตือน นายท่านมักจะบอกว่าจะอ่านอีกแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น พอมาถึงตอนหลัง หลิวซัวจึงปล่อยตามใจเขา

ตลอดทางมานี้นายท่านไม่อ่านตำราอริยะปราชญ์ แต่กลับอ่านอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ที่รวบรวมทางหลวงจุดพักม้าทั้งหมดของแคว้นชิงหลวนไว้เป็นฉบับใหญ่ และยังจะเลือกเอาบันทึกทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับถนนหนทางออกมาจากอักขรานุกรมท้องถิ่นที่มองดูวุ่นวายยุ่งเหยิงเหล่านั้น ไม่สนว่าถนนหนทางจะเล็กหรือใหญ่ จะถูกทิ้งร้างแล้วหรือไม่ เพราะเขาจะต้องวงกลมและคัดลอกไว้ทุกอัน

หลิวซัวรู้สึกว่าตนคงไม่มีทางรู้ได้เลยว่านายท่านของตัวเองคิดอะไรอยู่กันแน่