บทที่ 632.8 สายลมบางเบาแสงจันทร์ใสกระจ่าง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หลิ่วซัวสนิทกับหวังอี้ฝู่มาก ขนาดเป็นเสี้ยนเหว่ยที่มีอำนาจบารมีแปดทิศแล้ว แต่กลับยังยินดีที่จะออกไปตากแดดตากลมที่คลองส่งน้ำกับนายท่านของตน แล้วก็ไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเหมือนกัน ช่างมีน้ำใจนัก

ดังนั้นหลิ่วซัวจึงยังชอบเรียกชายฉกรรจ์ผู้นี้ว่าหวังเสี้ยนเหว่ย

หวังอี้ฝู่ไม่ได้พูดอะไร

หลิ่วซัวที่เป็นเด็กรับใช้ของหลิ่วชิงเฟิงมาโดยตลอด แรกเริ่มสุดก็ติดตามหลิ่วชิงเฟิงออกมาจากสวนสิงโต ออกทัศนาจรไปทั่วทิศ จากนั้นก็เข้าเมืองไปสอบ ภายหลังจึงไปอยู่ที่ที่ว่าการอำเภอ

ตอนนี้ก็ยังอยู่ในวัยของเด็กหนุ่ม เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มกลับไม่อ่อนเยาว์ถึงเพียงนั้นอีกแล้ว

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทุกวันนี้เด็กหนุ่มดีใจมก แต่วันหน้าอาจต้องรู้สึกเสียใจ

เพียงแต่ว่าเรื่องที่ทำให้เขาเสียใจในตอนนี้ก็คือนายท่านของตัวเอง อายุยังไม่มาก ยังไม่ทันถึงสี่สิบปี แต่จอนผมสองข้างกลับมีสีขาวแซมแล้ว

ที่ยิ่งทำให้หลิ่วซัวเสียใจก็คือสภาพของนายท่านในทุกวันนี้ไม่เหมือนบัณฑิตที่สวมชุดเขียวผู้สง่างามในปีนั้นเลยแม้แต่น้อย

ท่ามกลางม่านสนธยา รถม้ามาถึงจุดพักม้าแห่งหนึ่ง ยื่นส่งเอกสารผ่านด่านและเอกสารราชการแล้ว คนทั้งสามก็หยุดพักค้างแรมกันที่นี่ เสมียนของจุดพักม้ามองไม่ออกจริงๆ ว่าบุรุษแซ่หลิ่วคนนั้นคือขุนนาง กลับเป็นองค์รักษ์ที่ทำหน้าที่เป็นสารถีซึ่งพูดน้อยเงียบขรึมของเขาเสียอีกที่ดูเหมือนขุนนางมากกว่า

เพราะรู้สึกว่าตำแหน่งขุนนางของหลิ่วชิงเฟิงไม่เล็กไม่ใหญ่ จึงจัดห้องพักให้คนทั้งสามไว้สองห้อง ไม่ดีและไม่เลว

หลิ่วชิงเฟิงกินอาหารเย็นแล้วก็เริ่มจุดตะเกียงอ่านตำรา ทั้งยังเอาหมึกและพู่กันออกมา

หวังอี้ฝู่นั่งอยู่ด้านข้าง ยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์หลิ่ว ไม่ว่าจะอย่างไร ต่อให้เพียงแค่เพื่ออ่านหนังสือแล้วไม่ทำร้ายสายตา เจ้าก็น่าจะลองฝึกตนดูนะ เงินเทพเซียนน้อยนิดแค่นี้ไม่จำเป็นต้องช่วยประหยัดให้ต้าหลีหรอก เพราะถึงอย่างไรราชสำนักต้าหลีก็มีแต่จะได้กำไรมากขึ้น”

หลิ่วชิงเฟิงวางตำราลง ส่ายหน้าเอ่ย “ช่างเถิด พรสวรรค์ด้านการฝึกตนของตัวเองเป็นอย่างไร ตัวข้ารู้ดี”

เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันนี้หวังอี้ฝู่พูดเป็นครั้งที่สองแล้ว แต่หลิ่วชิงเฟิงก็ยังปฏิเสธ หวังอี้ฝู่จึงไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความอีก

หลิ่วชิงเฟิงพลิกเปิดหน้าหนังสือแล้วก็ข่มใจไม่อ่านต่อไปอย่างที่หาได้ยาก เขาปิดตำรา ยื่นมือปาดไปบนหน้าหนังสือเบาๆ “ดื่มเหล้ากันหน่อยไหม?”

หวังอี้ฝู่รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะพูดเรื่องความรู้หรือเรื่องการบริหารปกครอง หวังอี้ฝู่ร้อยคนก็สู้อาจารย์หลิ่วคนเดียวไม่ได้ แต่หากว่ากันเรื่องดื่มเหล้า กลับตรงกันข้ามเลยทีเดียว”

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มขื่นส่ายหน้า “ยังไม่ทันได้ดื่มเหล้าก็เริ่มด่าคนแล้วนะ”

หวังอี้ฝู่ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้

คือแม่ทัพใหญ่ผู้กุมอำนาจ คือเสาค้ำยันแคว้นของราชวงศ์สกุลหลูซึ่งอยู่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีปในอดีต

และช่วงแรกเริ่มสุดราชวงศ์ต้าหลีก็คือหนึ่งในแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์สกุลหลู!

หลิ่วซัวยกชามเหล้าเข้ามาให้ เหล้าเป็นเหล้าของพวกชาวบ้านทั่วไป ซื้อได้ไหว และรสชาติก็ไม่แย่

หลิ่วซัวช่วยรินเหล้าให้คนทั้งสอง จากนั้นก็มองนายท่านและหวังเสี้ยนเหว่ยที่นั่งนิ่งไม่ขยับ ถามอย่างสงสัยว่า “จะดื่มเหล้ากันไม่ใช่หรือขอรับ? ไม่มีกับแกล้มหรอก เว้นเสียจากว่าข้าเรียกใช้ขุนนางดูแลจุดพักม้าที่มองคนด้วยหางตาผู้นั้นได้”

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มกล่าว “การให้เกียรติที่แท้จริงคือการที่คนไม่มาไม่เริ่มงานเลี้ยง เจ้าไม่นั่งลง ข้ากับหวังเสี้ยนเหว่ยก็ไม่กล้าหยิบชามเหล้าหรอก”

หลิ่วซัวหัวเราะฮ่าๆ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้

ที่แท้ยามที่นายท่านของตนเอ่ยหยอกล้อขึ้นมาก็น่าสนใจถึงเพียงนี้

น่าเสียดายที่เกิดขึ้นน้อยครั้งเกินไปหน่อย

หลิ่วซัวดื่มเหล้าไม่เก่ง ไม่ชอบดื่มเหล้า แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาเองก็ไม่กล้าดื่มมาก เพราะต้องคอยดูแลนายท่านของตัวเอง หากหวังเสี้ยนเหว่ยยุให้ดื่มมากเข้า เขาก็ควรต้องห้ามปรามสักหน่อย

โชคดีที่นายท่านดื่มช้ามาก แล้วหวังเสี้ยนเหว่ยก็ไม่ยุให้ดื่ม นี่ทำให้เด็กหนุ่มสบายใจได้มาก

พออารมณ์ดีจึงกลายเป็นว่าหลิ่วซัวดื่มเยอะเสียเอง

หวังอี้ฝู่วางถ้วยเหล้าลง “อาจารย์หลิ่ว อันที่จริงข้าใคร่รู้มาโดยตลอดว่าเจ้ามองบนภูเขาอย่างไรกันแน่”

หลิ่วชิงเฟิงจิบเหล้าหนึ่งคำ เอ่ยเนิบช้าว่า “หากเพียงแค่เรื่องมองบนภูเขาอย่างไร คงไม่มีความหมายสักเท่าไร ที่จริงแล้วเส้นแบ่งระหว่างบนภูเขากับล่างภูเขาไม่ได้ใหญ่อย่างที่พวกเราคิดไว้ ล่างภูเขา อายุสั้นตายก่อนวัยอันควร บนภูเขากลับมีอายุขัยยืนยาวยิ่งกว่า”

หวังอี้ฝู่ถาม “เวทคาถาตระกูลเซียน อาจารย์หลิ่วจะไม่พูดถึงสักหน่อยหรือ? เรื่องนี้ไม่ได้มีความต่างที่เด่นชัดยิ่งกว่าอายุขัยสั้นยาวหรืออย่างไร?”

หลิ่วชิงเฟิงส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ข้าเป็นบัณฑิต ยามเจอกับทหารบนสนามรบ ถูกฟันแค่ทีสองทีก็ตายแล้ว หวังเสี้ยนเหว่ย เจ้าว่าทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมากหรือไม่?”

หวังอี้ฝู่พยักหน้ารับ “ที่แท้ในสายตาของอาจารย์หลิ่ว ผู้ฝึกตนบนภูเขาก็แค่มีหมัดใหญ่กว่า แค่นี้เท่านั้น”

หลิ่วชิงเฟิงไม่ดื่มเหล้าอีก “คนมีเงิน คนบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายแรกที่ร่ำรวยจนตั้งตัวเป็นศัตรูกับแคว้นได้ และฝ่ายหลังที่บรรลุมรรคา ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับบุญคุณยิ่งใหญ่จากโชควาสนาของฟ้าดิน มีชีวิตอย่างไร้ทุกข์ไร้กังวล เรื่องการกินอยู่ก็ยิ่งไม่ต้องกลัดกลุ้มไปอีกหลายรุ่นคน ถ้าอย่างนั้นก็ควรคิดที่จะเปิดกระเป๋าเอาเงินคืนกลับไปบ้าง มีไปมีมา น้ำเส้นเล็กไหลยาว นี่ไม่ใช่ว่าข้าต้องการให้ทุกคนเลียนแบบอริยะผู้ทรงคุณธรรม ไม่ใช่แบบนั้นเลย แต่เพราะการทำเช่นนี้ก็คือการมอบเงินน้อยออกจากประตูเพื่อต้อนรับเงินใหญ่เข้าสู่ประตู สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังได้รับกำไร ได้รับผลประโยชน์มากกว่าเดิมอยู่ดี”

หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยต่ออีกว่า “ความเยือกเย็นที่มีต่อคนทำลายกฎเกณฑ์ก็คือการทำร้ายที่ใหญ่หลวงที่สุดที่มีต่อคนรักษากฎเกณฑ์”

กล่าวมาถึงตรงนี้ หลิ่วชิงเฟิงก็หันหน้ามามองเด็กหนุ่มหลิ่วซัวที่ดื่มเหล้าจนแทบจะเมามายไร้สติ แล้วยิ้มถามว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่ากฎเกณฑ์ที่พวกเราตั้ง ต้องเป็นกฎเกณฑ์ที่ดี ที่ถูกต้องเสมอไป?”

“นายท่านคิดเรื่องพวกนี้เองเถิด ข้าไม่คิดหรอก คิดแล้วก็คิดคำตอบไม่ออกอยู่ดี”

หลิ่วซัวโคลงศีรษะ ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “แต่นายท่านก็คิดให้น้อยลงหน่อย ไม่อย่างนั้นเรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่นี้ข้าก็เหนื่อยใจตามท่านแล้ว”

หลิ่วชิงเฟิงโบกมือ กล่าวอย่างอ่อนใจว่า “เจ้าดื่มเหล้าของตัวเองต่อไปเถอะ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น”

หวังอี้ฝู่ยกชามเหล้าขึ้นดื่มคารวะหลิ่วชิงเฟิงหนึ่งชาม

หลิ่วชิงเฟิงเองก็ยกชามเหล้าขึ้นเช่นกัน “ข้าจะดื่มเท่าที่กำลังของตัวเองอำนวย คงไม่เกรงใจหวังเสี้ยนเหว่ยแล้ว”

ภายหลังหลิ่วซัวก็ฟุบหลับลงบนโต๊ะ

ยากนักที่หวังอี้ฝู่จะได้คุยกับอาจารย์หลิ่วได้นาน อีกทั้งเป็นการคุยเรื่อยเปื่อยไม่เคร่งเครียดแบบนี้

ยามที่อาจารย์หลิ่วพูดถึงเรื่องวีรกรรมใหญ่ในสายตาของหวังอี้ฝู่ สีหน้าของเขาสงบนิ่ง เยือกเย็นอย่างถึงที่สุด มีเพียงพูดถึงเรื่องเล็กที่หวังอี้ฝู่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนเท่านั้น

หลิ่วชิงเฟิงกลับดื่มเหล้าอึกใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นต้องเรียกว่าดื่มเหล้าดับทุกข์จริงๆ

“การหายไปของภาษาถิ่นในทุกหนแห่งของแจกันสมบัติทวีปทำให้คนเจ็บปวดใจ สายบุ๋นเล็กๆ จำนวนมากที่ต่อให้จะกระจัดกระจายแค่ไหน แต่ขอแค่ยังแพร่หลายอยู่ในตำราก็ถือว่ามีโอกาสที่จะได้รับการชดเชยกอบกู้ ทว่าภาษาถิ่นซึ่งเกี่ยวโยงกับขนบธรรมเนียมประเพณีมากมายเหล่านั้น หากหายไปแล้วก็คือหายไปอย่างสิ้นเชิงแล้วจริงๆ”

สุดท้ายหลิ่วชิงเฟิงมองเหม่อไปนอกหน้าต่าง

หน้าต่างปิดอยู่ บัณฑิตมองไม่เห็นแสงจันทร์ด้านนอก

จะสว่างกว่าเมื่อวาน หรือมืดมนกว่าเมื่อวาน ไม่มีทางรู้ได้เลย

……

สวีหย่วนเสียกลับไปถึงบ้านเกิดแล้วก็เปิดโรงเรียนสอนการต่อสู้แห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าเจ้าของโรงเรียนแห่งนี้กลับชอบปิดประตูแอบเขียนหนังสือ พอคนที่กวาดเรือนมาเห็นเข้าจึงกลายเป็นเรื่องตลกที่ไม่เล็กไม่ใหญ่

แม้จะบอกว่าชายฉกรรจ์เคราดกอายุมากแล้ว รูปโฉมหน้าตาก็ไม่ได้หล่อเหลาอะไร แต่สตรีที่ยินดีจะแต่งงานกับเขากลับมีไม่น้อย

เพราะถึงอย่างไรก็เป็นคนที่มองดูแล้วต้องไม่ขาดเงินอย่างแน่นอน ประเด็นสำคัญคือบุรุษอายุเท่านี้แล้ว ไม่ว่าด้านใดก็ล้วนได้รับความนิยมชมชอบ พรรคในยุทธภพของท้องถิ่น ท่านนายอำเภอ คนที่ทำงานอยู่ในจวนเจ้าเมืองเมืองเดียวกัน จะเป็นซิ่วไฉหรือก้งเซิง เขาก็ล้วนพูดคุยด้วยได้

ชายโสดอายุมากคนหนึ่ง ขอแค่กระเป๋าตุงแน่น ต่อให้อยากจะเป็นชายโสดก็ยังยาก

รอบนครมีภูเขาลึกอยู่หลายลูก มีเทพเซียนกลุ่มหนึ่งมาเยือนแล้วยึดครองภูเขาที่เงียบสงบซึ่งมีขุนเขาเขียวน้ำใสไปลูกหนึ่ง เพียงไม่นานที่แห่งนั้นก็กลายเป็นสถานที่ที่มีไอเมฆหมอกล้อมเวียนวน

และเวลาไม่นานพวกชาวบ้านก็แห่กันไปโขกหัวกราบไหว้ตรงตีนเขา ขอโชควาสนาตระกูลเซียน แล้วก็ขอให้เซียนกลุ่มนี้ช่วยขจัดเภทภัยให้ เพียงแต่ว่าทุกคนล้วนถูกปฏิเสธ

จากนั้นยามที่เทพเซียนบนภูเขาท่านหนึ่งทะยานเมฆออกจากภูเขาก็ได้ถูกใจตัวอ่อนการฝึกตนคนหนึ่ง เดิมทีเป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านที่ธรรมดาอย่างถึงที่สุดคนหนึ่ง ให้ตายอย่างไรนางก็ไม่ยินยอม ยืนกรานจะแต่งงานกับเด็กหนุ่มที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ใช้ชีวิตที่สงบสุขร่วมกันให้จงได้ บุรุษที่นางชอบมาเรียนวิชาหมัดที่โรงเรียนสอนการต่อสู้ของสวีหย่วนเสียพอดี ตอนนี้ได้แค่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอก

เพียงแต่เรื่องที่ทำให้สวีหย่วนเสียไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีก็คือ เมื่อเขาไปเยือนที่ภูเขาลูกนั้นมารอบหนึ่ง ใช้ทั้งเหตุผลบวกกับดาบที่พกอยู่ตรงเอว กว่าจะเกลี้ยกล่อมผู้ฝึกลมปราณกลุ่มนั้นไม่ให้บังคับคนอื่น ให้ทำการค้าที่เจ้ายินยอมข้าพร้อมใจได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ฝึกตนเหล่านั้นต่างก็มีขอบเขตไม่สูง อีกทั้งยังถือว่ามีเหตุผล พูดคุยกันอย่างปรองดองแล้วก็ยอมตกปากรับคำแต่โดยดี

คิดไม่ถึงว่าเพียงไม่นานโรงเรียนสอนการต่อสู้ของสวีหย่วนเสียก็ถูกพ่อแม่ของเด็กสาวคนนั้นพาญาติกลุ่มใหญ่มาอาละวาดจนไก่บินหมากระโดด พวกเขาร่ำร้องคร่ำครวญไม่หยุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงชราผู้นั้นที่ร้องไห้จนเป็นลมไป ขาดอีกนิดเดียวก็เกือบจะสิ้นลมหายใจแล้ว

ภายหลังเด็กสาวเปลี่ยนใจ ไม่รู้ว่าถูกพ่อแม่เกลี้ยกล่อมหรืออย่างไร สรุปก็คือนางตกลงว่าจะไปฝึกวิชาตระกูลเซียนบนภูเขา

กลายเป็นว่าสวีหย่วนเสียวางตัวไม่ถูกเสียเอง

เพียงแต่ว่าออกท่องยุทธภพมามากแล้ว สวีหย่วนเสียจึงไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก

ก่อนที่ชายหญิงคู่นั้นจะจากลากัน ก็ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะรักกันตราบชั่วฟ้าดินสลายอะไรนั่น คาดว่าหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็คิดตกแล้ว คงเปี่ยมไปด้วยความหวังที่มีต่อวันข้างหน้ากระมัง

คนหนึ่งเรียนวิชาหมัดเป็นจอมยุทธใหญ่ในยุทธภพ จะก่อสำนักตั้งพรรคขึ้นมาด้วยตัวเอง ส่วนอีกคนหนึ่งเรียนวิชาตระกูลเซียนอยู่บนภูเขา วันหน้าก็น่าจะช่วยเหลือกันและกันได้

เพียงแต่ว่ายังไม่ทันพ้นหนึ่งปี เด็กสาวก็กลับมาเยือนบ้านน้อยลง

ผ่านไปอีกหนึ่งปี นางก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย ต่อให้บุรุษไปหานางก็ขึ้นเขาไปไม่ได้ ยิ่งไม่อาจได้พบหน้านาง

บุรุษหนุ่มที่เมื่อก่อนไม่เคยแตะสุราจึงเริ่มเรียนรู้ที่จะดื่มเหล้าดับความทุกข์

สำหรับเรื่องนี้สวีหย่วนเสียก็ได้แต่ถอนหายใจเท่านั้น

เด็กสาวคนนั้นเป็นตัวอ่อนด้านการฝึกตน คือเรื่องจริงแท้แน่นอน มีครั้งหนึ่งนางติดตามอาจารย์และศิษย์พี่ไป ก็ถึงขั้นสามารถทะยานลมบินผ่านกลางอากาศเหนือนครไปได้แล้ว

ข้าอยากไปเยือนขุนเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียง เรียนวิชาหลอมโอสถจากเซียน

ยามนั้นเป็นช่วงอาทิตย์อัสดงพอดี คนหนุ่มแหงนหน้ามอง ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลอาบใบหน้า

สวีหย่วนเสียไม่ได้เอ่ยโน้มน้าวอะไร

ค่ำคืนนี้สวีหย่วนเสียขึ้นมานั่งดื่มเหล้าอยู่บนหลังคา

เริ่มคิดถึงสหายในยุทธภพสองคนที่อายุน้อยกว่าเขาขึ้นมาแล้ว

จางซานเฟิงที่ทั้งโง่และทั้งเฉลียวฉลาด

เฉินผิงอันที่เป็นคนคิดมากอยู่เสมอ

ไม่รู้ว่าคราวหน้าที่คนทั้งสามได้พบเจอกันอีกครั้ง ตนจะต้องดื่มเหล้ากี่กาถึงจะได้

ตอนนี้ทุกหนทุกแห่งในโลกล้วนแผ่กลิ่นอายแปลกประหลาด สวีหย่วนเสียหวังเพียงว่าสหายสองคนนั้น ไม่ว่าจะข้ามภูเขาหรือข้ามสายน้ำก็ล้วนผ่านไปได้อย่างราบรื่น

ชายฉกรรจ์เคราดกเอียงศีรษะ ลูบคลำปลายคาง จะว่าไปแล้วหากตนโกนหนวดขึ้นมา ในบรรดาคนทั้งสามก็ยังเป็นตนที่หล่อเหลาที่สุดอยู่ดีนะ

……

ในตรอกแห่งหนึ่งของนครอวิ๋นโหลวทะเลสาบซูเจี่ยน

มีคนสองคนพักอาศัยอยู่ในบ้านตรงข้ามกัน คนหนึ่งโตคนหนึ่งเด็ก บุรุษหนุ่มนั่งปิ้งข้าวโพดอยู่ในลานบ้านกับเด็กน้อยที่ขี้มูกยืดอยู่ตลอดทั้งปี หักข้าวโพดออกเป็นสองท่อน คนหนุ่มยื่นครึ่งหนึ่งให้เด็กน้อย

เด็กชายร้อนใจขึ้นมาทันควัน ไม่รับข้าวโพดที่อีกฝ่ายยื่นให้ “เจ้าคนแซ่กู้ เหตุใดข้าถึงได้ท่อนเล็กเล่า?! เจ้าอายุมากกว่าจะยอมให้ข้าบ้างไม่ได้หรือไร? ยังอยากจะเป็นพี่เขยข้าอีกหรือไม่?!”

กู้ช่านยิ้มกล่าว “ชั่วชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยกินข้าวโพดท่อนเล็กมาก่อน แต่ไหนแต่ไรมาก็ต้องเป็นข้าที่ได้กินท่อนใหญ่เสมอ สนิทกับเจ้าก็ส่วนสนิท แต่จะแหกกฎไม่ได้”

เด็กชายชำเลืองตามองกู้ช่าน ดูท่าแล้วอีกฝ่ายน่าจะไม่ได้ล้อเล่น จึงหยุดแต่พอสมควร เพราะถึงอย่างไรข้าวโพดก็เป็นของคนแซ่กู้ ตนไม่ได้ออกเงินแม้แต่แดงเดียว เด็กชายแทะข้าวโพด ถามเสียงอู้อี้ว่า “เจ้ามีเงินขนาดนี้ แต่ยังกินข้าวโพดปิ้งบ่อยๆ อีกหรือไง?”

กู้ช่านพยักหน้ารับ “กินสิ ทำไมจะไม่กินล่ะ ตอนหิวจัดๆ ขึ้นมา ขนาดดินยังกินเลย”

เด็กชายเหลือกตามองบน “วันๆ เอาแต่พูดจาเหลวไหล ไม่มีแม่นางคนไหนมาชอบเจ้าหรอกนะ”

เด็กชายไม่เคยรู้เลยว่า เจ้าคนที่สภาพพอไปวัดไปวา ถือว่าคู่ควรกับพี่สาวของตนอย่างถูไถผู้นี้ก็คืออดีตพญามารกู้แห่งทะเลสาบซูเจี่ยน ภายหลังเงียบหายไปพักหนึ่ง แต่เพียงไม่นานกลับกลายมาเป็นงูเจ้าถิ่นที่ไม่อาจดูแคลนของทะเลสาบซูเจี่ยนอีกครั้ง ถึงขั้นพูดได้ว่า ทุกวันนี้กู้ช่านก้าวเดินแต่ละก้าวอย่างมั่นคง เชื่อมความสัมพันธ์กับผู้คนแต่ละฝ่ายได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังรุ่งเรืองก้าวหน้า เพียงแต่ว่าเขาหลบอยู่เบื้องหลังก็เท่านั้น

หลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินในอดีต ทุกวันนี้คือผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน ผู้ถวายงานสำนักเจินจิ้ง ปีนั้นหลังจากการถามตอบระหว่างอาจารย์และศิษย์ก่อนการปิดด่าน อันที่จริงเขาก็ได้มองกู้ช่านเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวอย่างแท้จริงแล้ว จึงมอบ ‘คัมภีร์สกัดคงคา’ ที่เกี่ยวพันกับรากฐานของมหามรรคาเล่มนั้นให้แก่กู้ช่าน

เถียนหูจวินศิษย์พี่หญิง ตอนนี้ก็ยิ่งเห็นศิษย์น้องเล็กคนนี้เป็นฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย

กวนอี้หรานแม่ทัพหนุ่มของต้าหลีที่ก่อนหน้านี้รับหน้าที่เฝ้าพิทักษ์นครอวิ๋นโหลว ต่อให้ตอนนี้จะจากไปแล้ว แต่แม่ทัพบู๊คนใหม่ของต้าหลีที่มารับหน้าที่แทนก็เห็นได้ชัดว่าเป็นสหายกับหลานชายสายตรงสกุลกวนผู้นี้ อีกทั้งยังเป็นสหายประเภทที่ว่ายามดื่มสุราคารวะบนโต๊ะ จอกเหล้าจะต้องอยู่ต่ำกว่ากวนอี้หรานอีกด้วย กู้ช่านรู้ดีว่านี่คือสหาย แล้วก็ทั้งไม่ใช่สหาย แต่อันที่จริงเรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ

หานชิงหลิงฮ่องเต้องค์ใหม่ของแคว้นสือหาว หวงเฮ้อรองเจ้ากรมพิธีการที่อายุน้อยที่สุดในราชสำนักแคว้นสือหาว รวมไปถึง ‘สหายเก่า’ อายุไม่มากทั้งหลายในทะเลสาบซูเจี่ยน ต่างก็เคยทยอยกันมาหากู้ช่านเป็นการส่วนตัวมาก่อน

ประเด็นสำคัญคือเคยมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งมาหาเขาถึงบ้าน

ต่อให้อีกฝ่ายจะร่ายใช้เวทอำพรางตา กู้ช่านก็ยังมองตัวตนของอีกฝ่ายออกในปราดเดียว

และกู้ช่านก็ไม่ได้แกล้งโง่ จึงประสานมือคารวะอีกฝ่าย เรียกอีกฝ่ายด้วยความเคารพว่าเจ้าสำนักเจียงไปโดยตรง