ตอนที่ 2632

War sovereign Soaring The Heavens

WSSTH ตอนที่ 2,632 : เมืองประจำมณฑลจิ่วโยว

 

 

“เรื่องนี้…สำคัญด้วยหรือ?”

 

ได้ยินวาจาย้อนถามผ่านพลังดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ฉินอวี่ก็สะอึกไปทันใด จากนั้นก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้ง ในแววตายังฉายแววลี้ลับหนึ่ง

 

จากนั้น ฉินอวี่ก็ถอนหายใจพลางยิ้มส่ายหน้า ค่อยส่งเสียงตอบต้วนหลิงเทียนกลับไปว่า

 

“ไม่สำคัญ”

 

พอเอ่ยจบ 3 พยาค์ การสนทนนาครั้งนี้ก็สิ้นสุดลง

 

‘ฉินอวี่ผู้นี้ ท่าทางจะไม่ธรรมดาเลยทีเดียว…’

 

พอเห็นแววลี้ลับที่ฉายขึ้นในแววตาของฉินอวี่ ต้วนหลิงเทียนก็ทราบได้ทันที

 

สิบในสิบ ฉินอวี่ไม่พ้นยืนยันข้อเท็จจริงได้แล้ว ว่าเรื่องที่เขาเป็นผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนเมื่อครึ่งปีก่อนนั้นเป็นเรื่องจริง อีกทั้งยังทราบว่าพลังความแข็งแกร่งที่เขามีทั้งหมดมาจากอะไร…

 

หลังจากพบเจอกลุ่มโจรวีรบุรุษของ ‘ผู้กล้าขาวดำ’ พวกต้วนหลิงเทียนก็ไม่พบเจอโจรร้ายกลุ่มไหนเข้ามาปล้นอีกเลย  ตลอดการเดินทางไปยังเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวล้วนสงบราบรื่น

 

แต่เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใด

 

ด้วยมีทูตพิเศษจากจวนผู้ว่าอย่างเจิ้งชิว ตัวตนขอบเขตจินเซียนตะวันม่วงเหินนำ เหล่าโจรที่คิดจะปล้นย่อมไม่กล้าลงมือ เมื่อสัมผัสได้ถึงระดับพลังของเจิ้งชิว

 

แม้จะมีกลุ่มโจรที่ในกลุ่มมีขอบเขตพลังจินเซียนตะวันม่วงอยู่บ้าง แต่ก็มีแค่คนเดียวพวกมันจึงไม่กล้าเสี่ยง

 

คงมีเพียงแต่กลุ่มโจรที่มีขอบเขตจินเซียนตะวันม่วงอยู่อย่างน้อย 2 คนเหมือนกลุ่มโจรวีบรุรุษของผู้กล้าขาวดำเท่านั้น ถึงกล้าจะปล้นจินเซียนตะวันม่วง เพราะในสายตาของพวกมัน นี่ก็คือแพะอ้วนดีๆ!

 

อนิจจาคราวนี้กลุ่มโจรวีรบุรุษของผู้กล้าขาวดำกลับเตะเอาเข้าตอเหล็กแล้วจริงๆ สุดท้ายจึงถูกฆ่ากวาดล้าง…

 

3 เดือนต่อมา

 

“ด้านหน้าก็คือเมืองประจำมณฑจิ่วโยวของเราแล้ว”

 

ทันใดนั้นเองเสียงของเจิ้งชิวก็ดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน และทำให้เขาที่เหินร่างอย่างเบื่อหน่ายรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง

 

‘ถึงเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวแล้วเหรอ?’

 

ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็มองจ้องไปยังเบื้องหน้าไกลตาทันที

 

ทันใดนั้นพอเหินผ่านที่ราบลุ่มกว้างใหญ่ไพศาลไปอีกพักหนึ่ง สุดขอบฟ้าไกลลิบ ก็เริ่มปรากฏจุดดำเล็กๆให้เห็น

 

จุดดำเล็กๆในพื้นที่ราบลุ่มแห่งนี้ ไม่นานก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ไม่ต่างอะไรจากอสูรกายตัวเขื่องกำลังหมอบฟุบอยู่…

 

“นี่น่ะเหรอ เมืองประจำมณฑลจิ่วโยว?”

 

ไม่นานเค้าโครงและผังเมืองก็ปรากฏให้ต้วนหลิงเทียนเห็นชัดถนัดตา

 

มันช่างเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่โตนัก! พื้นที่ยังกว้างใหญ่กว่าเมืองเฉวี่ยโยวนับสิบๆเท่า ไม่เพียงทำให้ผู้ที่ชมมองตกตะลึงทางสายตาเท่านั้น ยังทำให้สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันยิ่งใหญ่จนรู้สึกหายใจไม่ออก

 

มองไปเมืองใหญ่ช่างคึกคักมีชีวิตชีวาเหลือเกิน เห็นขบวนรถม้าหลั่งไหลเข้ามาจากทุกสารทิศราวกับแม่น้ำไหลลงสู่ทะเล

 

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

 

ต้วนหลิงเทียนกับฉินอี่เหินร่างติดตามเจิ้งชิวเข้าเมืองทางอากาศโดยตรง พริบตาก็เข้ามาในตัวเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว

 

ต้วนหลิงเทียนพบว่ามีผู้คนเหินร่างผ่านไปมาหนาตาเลยทีเดียว

 

บางคนก็คล้ายรีบร้อนเข้าเมือง บ้างก็เหินบินไปเรื่อยๆไม่รีบไม่ร้อน มีไม่กี่คนที่สนทนากับผู้คนรอบข้าง และมีไม่มากที่เหินร่างค้างกลางหาวเหมือนกำลังรอคอยใครสักคน

 

‘3 เดือน…ไม่คิดเลยว่าการเดินทางมาเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวจะใช้เวลานานขนาดนี้’

 

ต้วนหลิงเทียนลอบทอดถอนในใจ

 

เป็นธรรมดาว่าเขารู้ดี…ที่ต้องใช้เวลาไปถึง 3 เดือนแบบนี้ ล้วนเป็นเพราะเจิ้งชิวกับเขาต้องใช้ความเร็วในระดับที่ฉินอวี่ติดตามได้ไหว ทั้งหมดเพราะฉินอวี่เหาะได้ช้าสุด…

 

‘หากข้าใช้ความเร็วเต็มที่ ต่อให้ไม่ใช้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน…ก็น่าจะใช้เวลาเดินทางมาที่นี่แค่ครึ่งเดือน’

 

ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ

 

“นี่สมควรเป็นการมาเมืองประจำมณฑลครั้งแรกของพวกเจ้าใช่หรือไม่?”

 

หลังเข้ามาในตัวเมืองแล้ว เจิ้งชิวก็หันไปมองถามต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่

 

พอเห็นทั้งคู่พยักหน้า เจิ้งชิวก็แย้มยิ้ม และถือโอกาสแนะนำที่ตั้งสถานที่สำคัญต่างๆในเมืองให้ทั้งคู่รับทราบคร่าวๆ

 

ก่อนที่จะเดินทางมาถึงที่นี่ เจิ้งชิวก็ได้มีอธิบายรายละเอียดของเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวคร่าวๆไปแล้ว..

 

ในมณฑลจิ่วโยว มีเมืองอยู่ทั้งสิ้น 9 เมือง และมีจวนผู้ว่าเป็นผู้ควบคุมสูงสุด

 

อย่างไรก็ตามจวนผู้ว่าไม่ได้ดูแลทั้งหมดด้วยตัวเอง ยังมีตระกูลใหญ่ที่ขึ้นตรงกับจวนผู้ว่าคอยควบคุมดูแลสถานการณ์อีกด้วย

 

และตระกูลทั้งหลายก็จะมีขุมพลังส่วนตัวที่คอยจัดการทุกอย่าง แบ่งสันปันส่ววนธุรกิจใหญ่ต่างๆในมณฑลจิ่วโยว โดยที่ในแต่ละเดือนจำต้องจ่ายผลกำไรครึ่งหนึ่งให้กับจวนผู้ว่าดั่งเสียภาษี…

 

“ในบรรดาตระกูลทั้งหลายของมณฑลจิ่วโยวที่มีอำนาจสูงสุดก็คือ 5 ตระกูลใหญ่…และตระกูลเจิ้งของข้าก็เป็น 1 ใน 5 ตระกูลใหญ่ที่ว่าด้วย”

 

ขณะกล่าวถึงจุดนี้ สีหน้าท่าทางของเจิ้งชิวก็ฉายความภาคภูมิใจออกมาไม่น้อย

 

ถึงแม้ว่าตระกูลเจิ้งจะมาถึงจุดนี้ได้โดยไม่มีมัน

 

แต่ทว่าหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากมัน คงไม่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่และมีวันนี้ได้ในเวลาอันสั้น

 

เช่นเดียวกับอาวุโสฝ่ายในของจวนผู้ว่า ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับ 1 ใต้ต้าหลัวจินเซียน คนที่ทรงพลังกว่ามัน…

 

เป็นเพราะคนในตระกูลไม่ได้เข้มแข็งอะไรมากมาย ทำให้ไม่อาจก่อปราการได้มั่นคง จะมีก็แต่โคลนเหลว…เลยไม่ได้ยกระดับเป็นตระกูลใหญ่

 

ในมณฑลจิ่วโยวแห่งนี้หากคิดจะเป็นใหญ่ก็ไม่ใช่ว่าอาศัยหมัดใครใหญ่กว่าถ่ายเดียว ทุกคนต้องทำตามกฏเกณฑ์ของจวนผู้ว่า ไม่อาจไปใช้หมัดที่เข้มแข็งของท่านทุบตีตระกูลอื่นแล้วแย่งชิงมาได้…

 

หมัดท่านใหญ่ หรือยังใหญ่กว่าจวนผู้ว่า?

 

“ทหารเฝ้าระวังมาแล้ว…”

 

ไม่นานในสายตาของเจิ้งชิว ต้วนหลิงเทียนและฉินอวี่ ก็มาถึงส่วนตะวันออกของเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว จนพบเห็นกำแพงประหนึ่งเมืองในเมือง และภายในก็มีสิ่งปลูกสร้างแลดูใหญ่โตราวพระราชวัง ก่อสร้างด้วยอิฐแดงกระเบื้องทอง แลดูงดงามละลานตานัก

 

‘นี่น่ะเหรอจวนผู้ว่า’

 

มองไปยัง สถานที่ๆกินอาณาบริเวณกว้างขวางราวกับเป็นเมืองอีกเมือง อันกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของทางตะวันออกไปเกือบหมด ต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่อดไม่ได้ที่จะชมดูจนละลานตาอยู่บ้าง

 

เรียกว่าอาศัยแค่พื้นที่จวนผู้ว่า…ก็ใหญ่โตกว่าเมืองเฉวี่ยโยวถึง 2 เท่าแล้ว!

 

“แม้ไร้อาคมห้ามบิน แต่จวนผู้ว่าของพวกเรามีกฏห้ามมิให้ตัวตนที่พลังฝึกปรือต่ำกว่าต้าหลัวจินเซียนเหินบินในเขตจวนเด็ดขาด! กระทั่งจะล่วงล้ำข้ามผ่านกำแพงจวนมาแค่ก้าวเดียวก็ไม่ได้…ผู้ใดฝ่าฝืนต้องรับโทษสถานหนัก!!”

 

ในขณะที่เหินนำต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่บินลงต่ำคล้ายจะลงจอดหน้าประตูทางเข้าจวนขนาดมหึมา เจิ้งชิวก็ไม่ลืมที่จะกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่เรื่องนี้

 

พอต้วนหลิงเทียนได้ยินดังนั้นก็ลองกวาดตาดูทั่วๆ

 

จึงพบว่า

 

แม้จะมีผู้คนมากมายเข้าออกจวนผู้ว่า แต่ทั้งหมดอาศัยการเดินเท้าผ่านเข้าออกทางประตูทั้งสิ้น และผู้ที่คิดจะเดินทางผ่าน ก็จำต้องบินอ้อมเอา…

 

ราวกับมีม่านพลังต้องห้ามแตะถูกตาย กางกั้นเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น…

 

“คาระท่านผู้อาวุโสเจิ้งชิว”

 

ต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่ที่เดินตามเจิ้งชิวมาถึงหน้าประตูจวนผู้ว่า เหล่าทหารที่เฝ้าประตูหน้าจวนเป็นแถว ก็ประสานมือคารวะกล่าวทักทายเจิ้งชิวอย่างพร้อมเพรียง ทุกคนมาในชุดเกราะสีทองแลดูขึงขัง จากการเคลื่อนไหวที่แลดูเป็นหนึ่งเดียวและพร้อมเพรียงเมื่อครู่ บอกให้รู้ว่าพวกมันมีระเบียบวินัยมากแค่ไหน

 

“ท่านผู้อาวุโสเจิ้งชิว”

 

ไม่เพียงแต่เหล่าทหารที่เฝ้าประตูหน้าจวนเท่านั้น กระทั่งผู้คนที่สัญจรเข้าออกผ่านจวนพอดี เมื่อเห็นเจิ้งชิว พวกมันก็เร่งประสานมือคารวะทักทายเร็วไว แลดูให้ความเคารพนัก

 

เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร

 

ท้ายที่สุดแล้วเจิ้งชิวก็เป็นถึงอาวุโสฝ่ายใน

 

ยิ่งไปกว่านั้นนอกจตากฐานะแล้ว พลังฝีมือของเจิ้งชิวยังได้รับการยอมรับอีกด้วยว่าเป็นอันดับ 2 ใต้ขอบเขตต้าหลัวจินเซียนของมณฑลจิ่วโยว!

 

กล่าวอีกอย่างได้ว่า…

 

ทั่วทั้งมณฑลจิ่วโยวไม่เว้นยอดฝีมือทั้งหมดที่อยู่ในจวนผู้ว่าแห่งนี้ เจิ้งชิวก็คือผู้ที่มีพังฝีมือเป็นอันดับ 4!

 

ต่อหน้าการดำรงอยู่เช่นนี้ ยังจะมีผู้ใดหาญกล้าดูหมิ่น?

 

“ผู้อาวุโสฝ่ายในคนอื่นๆกลับกันมาแล้วหรือยัง?”

 

บริเวณประตูใหญ่หน้าจวน เจิ้งชิวมองถามทหารเฝ้าประตูในชุดเกราะสีทองคนหนึ่งด้วยความสงสัย

 

“เรียนอาวุโสเจิ้งชิว อาวุโสฝ่ายในอีก 8 ท่านที่เดินทางออกไปครานี้ ได้กลับมาถึงจวนกันหมดแล้วขอรับ”

 

ทหารคนดังกล่าวตอบกลับเร็วไว

 

‘ดูเหมือนว่าเมืองเฉวี่ยโยวจะอยู่ไกลกว่าเมืองอื่นเขา…’

 

ได้ยินคำตอบของทหารเฝ้าประตู ต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาได้ไม่ยาก

 

เขารู้เป็นธรรมดาว่าอาวุโสฝ่ายในอีก 8 คนที่กลับมาก่อนเจิ้งชิว ก็คืออาวุโสฝ่ายในที่รับหน้าที่ทูตพิเศษไปพาตัวรุ่นเยาว์ของอีก 8 เมือง…

 

“อ้อ”

 

หลังได้รับคำตอบจากทหาร เจิ้งชิวก็พยักหน้ารับทราบเบาๆ จากนั้นก็เดินนำเข้าไปในจวนผู้ว่าตัวปลิว

 

ต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่ที่เดินตามไปไม่ห่า ก็ไม่ได้ถูกหยุดขวางแต่อย่างใด

 

“ทั้งคู่เป็นคนที่ท่านอาวุโสเจิ้งชิวรับตัวกลับมางั้นหรือ?”

 

“ว่าแต่คราวนี้ท่านผู้อาวุโสเจิ้งชิวไปรับตัวผู้คนจากเมืองใดแล้วนะ…ข้าได้ยินไปรอบหนึ่งแต่กลับลืมเสียแล้ว”

 

“ผู้อาวุโสเจิ้งชิวเหมือนจะไปรับคนมาจากเมืองเฉวี่ยโยว”

 

“เอ๋? เมืองเฉวี่ยโยวเหรอ ใช่เมืองที่อดีตที่ปรึกษา หลิ่วเฟิงกู่ ไปดูแลอยู่หรือไม่?”

 

“ใช่ เมืองนั้นล่ะ! นอกจากนี้เมืองเฉวี่ยโยวยังเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลจากเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวของพวกเรามากที่สุด…ข้าล่ะไม่ทราบจริงๆว่าไฉนอดีตที่ปรึกษาหลิ่วต้องออกจากจวนไปเป็นเจ้าเมืองไกลปืนเที่ยงเช่นนั้นด้วย”

 

“เหอะๆ ข้าได้ยินมาว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในมากทีเดียวล่ะ…”

 

 

หลังเดินเข้ามธรณีประตูจวนผู้ว่ามาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงบทสนทนากระซิบกระซาบด้านหลัง

 

“ฮึ่ม!”

 

จนเมื่อเจิ้งชิวพ่นลมสบถออกมาเสียงเย็น เสียงซุบซิบทั้งหลายจึงเงียบไปในฉับพลัน แต่ละคนที่ซุบซิบเมื่อครู่ตัวสั่นราวลูกนกตกน้ำ ไม่กล้าแม้จะหายใจแรง

 

‘ดูเหมือน ในอดีตเจ้าเมืองหลิ่วเองก็มีชื่อเสียงในจวนไม่น้อย…ไม่งั้นคงไม่มีคนจำได้แบบนี้’

 

ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว

 

“ผู้อาวุโสเจิ้งชิว…เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวของเราเคยเป็นที่ปรึกษาในจวนผู้ว่าแห่งนี้ด้วยหรือ?”

 

ฉินอวี่กล่าวถามออกมาด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนมันจะไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน

 

“มิผิด”

 

ได้ยินคำถามของฉินอวี่เจิ้งชิวพยักหน้า “สมัยก่อนเจ้าเมืองหลิ่วเคยเป็นอดีตที่ปรึกษาข้างกายท่านผู้ว่า ทั้งยังสร้างผลงานไว้ยอดเยี่ยมนัก…หากแต่เพราะเกิดเรื่องบางอย่างจึงทำให้เจ้าเมืองหลิ่วต้องออกจากจวนผู้ว่าและไปเป็นเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว…”

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือท่าน?”

 

ฉินอวี่รู้สึกสงสัยไม่น้อย

 

ด้วยมันไม่เข้าใจจริงๆว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้อดีตที่ปรึกษาผลงานดี เลือกจะออกจากจวนผู้ว่าแล้วไปเป็นเจ้าเมืองเล็กๆอย่างเมืองเฉวี่ยโยวแทน

 

ต้องทราบด้วยว่าหากเทียบกับจวนผู้ว่าการประจำมณฑจิ่วโยวแล้ว เมืองเฉวี่ยโยวนั้นเสมือนสถานที่ๆวิหกยังไม่อยากแวะเวียนไปขับถ่าย

 

“รายละเอียดเรื่องนี้ ข้าไม่สะดวกจะกล่าว..”

 

เจิ้งชิวส่ายหัวไปมาพลางกล่าวบอกปัด ก่อนที่สองตามันจะทอประกายคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ เร่งหันไปมองต้วนหลิงเทียนเอ่ยขึ้นเสียงเข้มว่า “ต้วนหลิงเทียน…ข้าขอเตือนอะไรเจ้าไว้อย่าง หากมีใต้เท้านามว่า ‘โจวทง’ คิดรับเจ้าไปเป็นศิษย์ ขอเจ้าอย่าได้ปฏิเสธมันเด็ดขาด!”

 

มันพึ่งนึกขึ้นได้ว่าในบรรดา 2 อัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มาจากเมืองเฉวี่ยโยวครั้งนี้ หนึ่งในนั้นกลับเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อันน่ากลัวกระทั่งให้เป็นตัวผู้ว่าเอง หากได้รับทราบไม่พ้นต้องอยากรับตัวเป็นศิษย์ทันทีแน่!