ตอนที่ 2633

War sovereign Soaring The Heavens

WSSTH ตอนที่ 2,633 : สถานที่ๆมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะดีที่สุด!

 

 

พอนึกถึงเรื่องที่ทำให้อดีตที่ปรึกษาของจวนผู้ว่าอย่างหลิ่วเฟิงกู่ กลายไปเป็นเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวอันไกลห่างแล้ว เจิ้งชิวก็ได้แต่ลอบทอดถอนในใจ

 

และด้วยความที่มันไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะหนุ่มจากเมืองเฉวี่ยโยวต้องเกิดโศกนาฏกรรมซ้ำรอยศิษย์ส่วนตัวของหลิ่วเฟิงกู่…

 

มันจึงกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนออกมาเสียงเข้ม!

 

“โจวทง?”

 

สิ้นคำเจิ้งชิวต้วนหลิงเทียนไม่ทันจะได้ตอบคำใด เป็นฉินอวี่ที่เดินอยู่ข้างๆอดไม่ได้ที่จะหันขวับไปมองเจิ้งชิวเอ่ยถามเสียงเบาว่า…

 

“ท่านอาวุโสเจิ้งชิว…โจวทง ที่ท่านกล่าวถึง ใช่เป็นต้าหลัวจินเซียนอีกคนในมณฑลจิ่วโยวหรือไม่?”

 

ในฐานะที่เป็นถึง 1 ใน 2 ต้าหลัวจินเซียน  ของมณฑลจิ่วโยว โจวทงย่อมมีชื่อเสียงเรียงนามไม่น้อย แทบทุกคนในมรฑลจิ่วโยวรู้จักมันดี เช่นนั้นฉินอวี่จึงรู้จักมันเช่นกัน

 

กระทั่งให้มองไปทั่วทุกมณฑลใต้การปกครองของพระราชวังฉินแล้ว โจวทง ที่เป็นต้าหลัวจินเซียนนั้น ก็ถือว่ามีชื่อเสียงอยู่ในระดับหนึ่ง

 

“เป็นมัน!”

 

เจิ้งชิวหันไปพยักหน้าให้ฉินอวี่ ค่อยหันมามองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนต่อว่า “โจวทงผู้นี้เป็น 1 ใน 2 ต้าหลัวจินเซียนของเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว กระทั่งทั่วทั้งมณฑลจิ่วโยวของเรา…”

 

“นอกจากนั้นมันยังเป็นผู้พิทักษ์ของจวนผู้ว่าเราอีกด้วย สถานะของมันในจวนผู้ว่า จะเป็นรองก็แต่ท่านผู้ว่าคนเดียวเท่านั้น”

 

เจิ้งชิวอธิบายออกมายืดยาวแบบนี้ เพราะกลัวต้วนหลิงเทียนยังไม่ทราบว่าโจวทงเป็นใคร

 

“อาวุโสเจิ้งชิว ข้ามีอาจารย์แล้ว…”

 

ได้ยินคำของเจิ้งชิว ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องที่หลิ่วเฟิงกู่เคยเล่าให้เขาฟังไว้ก่อนหน้าขึ้นมา

 

จากนั้นเพียงอึ้งไปไม่นาน พอฟื้นตัว ต้วนหลิงเทียนก็ตอบสนองเจิ้งชิวกลับไปอย่างใจเย็น

 

“ในชีวิตของข้าเป็นไปไม่ได้ที่จะรับอาจารย์คนที่สอง”

 

ต้วนหลิงเทียนยังคงพูดต่อ

 

ในวาจาไร้การโอนอ่อนทว่าไม่ได้เอาแต่ใจ ยังไม่ยินดียินร้ายใดๆ…

 

และที่เขาพูดออกมาแบบนี้ไม่ใช่แค่หาข้ออ้างแก้ตัว แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ

 

ในใจเขายึดถือคนผู้หนึ่งเป็นอาจารย์มานานแล้ว และนั่นก็คือ ‘เซียนกระบี่ฟงชิงหยาง’ ที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน หากแต่อีกฝ่ายได้ส่งมอบเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุดอย่าง ยอดใจกระบี่ ให้เขา…

 

ถึงแม้ตอนนี้ ฟงชิงหยาง จะติดอยู่ใน นรกอสุรา 1 ใน 7 แดนอันตรายแห่งระนาบเทวโลกทั้งมวลไม่ทราบเป็นตายร้ายดี…

 

อย่างไรก็ตามต่อให้ผลสุดท้ายออกมาว่าฟงชิงหยางตกตายในนรกอสุราจริง ต้วนหลิงเทียนก็ยังจะยึดถืออีกฝ่ายเป็นอาจารย์ และเป็นอาจารย์เพียงหนึ่งเดียว!

 

วูบ

 

ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน สีหน้าเจิ้งชิวแปรเปลี่ยนไปในฉับพลัน จากนั้นมันเร่งส่งเสียงผ่านพลังพูดกับต้วนหลิงเทียนว่า “ต้วนหลิงเทียน…เจ้าทราบหรือไม่ว่าไฉนอยู่ๆเจ้าเมืองหลิ่วถึงออกจากจวนผู้ว่าและไปยังเมืองเฉวี่ยโยว?”

 

หลังเจิ้งชิวกล่าวถามจบคำ มันก็ไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนตอบอะไร เร่งส่งเสียงผ่านพลังอธิบายต่อทันที ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างในอดีต ถึงทำให้อดีตที่ปรึกษาหลิ่วแห่งจวนผู้ว่า กลับกลายเป็นเจ้าเมืองหลิ่วดูแลเมืองเฉวี่ยโยว…

 

ก็เลยทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้

 

เรื่องราวที่หลิ่วเฟิงกู่เล่าให้เขาฟังตอนนั้น ไม่ได้ปั้นแต่ง…แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลิ่วเฟิงกู่จริงๆ

 

‘ดูเหมือนว่า…ข้อตกลงกับเจ้าเมืองหลิ่ว คงไม่อาจล้มเลิกได้แล้ว’

 

หลังได้ยินเรื่องราวจากเจิ้งชิว ต้วนหลิงเทียนก็ลอบกล่าวในใจ

 

ถึงแม้ว่าเขาจะเตรียมตัวเตรียมใจมานานแล้ว แต่พอได้รับการยืนยัน ในใจก็ยังบังเกิดแรงกระเพื่อมอยู่บ้าง

 

“หากข้าไม่ยอมรับเป็นศิษย์ของโจวทง…มันยังจะฆ่าข้าเหมือนศิษย์ส่วนตัวเจ้าเมืองหลิ่วหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนหยีตามองเจิ้งชิวพลางถามผ่านพลัง

 

“ใช่…แต่เจ้าไม่ต้องห่วงมาก ข้าจะไปแจ้งท่านเจ้าเมืองให้ช่วยเจ้าเอง”

 

คล้ายจะตระหนักได้ถึงเจตจำนงอันแน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยนของต้วนหลิงเทียน และรู้ว่าไร้ผลที่จะโน้มน้าวสืบต่อ เจิ้งชิว ก็ไม่คิดเกลี้ยกล่อมต้วนหลิงเทียนให้โอนอ่อนต่อโจวทงสืบไป “ถือว่านี่เป็นการตอบแทนที่ข้าติดค้างเจ้าก่อนหน้าแล้วกัน…”

 

“อาวุโสเจิ้งชิว”

 

ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วกล่าวผ่านพลังถามต่อ “ท่านไม่ได้บอกข้าเองหรือไง ว่าการเดินทางมายังจวนผู้ว่าครานี้ 9 ใน 10 สมควรเกี่ยวข้องกับพระราชวังฉิน และเป็นทางนั้นที่ต้องการพวกเรา…แต่โจวทงนั่นมันยังจะกล้าทำตามใจตัวเอง และฆ่าข้าอีกหรือ?”

 

ในสายตาของต้วนหลิงเทียน

 

ในเมื่ออยู่ดีๆทางมณฑลจิ่วโยวก็เร่งเฟ้นหาอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่อายุไม่ถึงร้อยปีแต่บรรลุขอบเขตจินเซียนจากทุกเมือง ไม่พ้นต้องเป็นคำสั่งจากเบื้องบนอย่าง ‘พระราชวังฉิน’ แน่

 

จึงกล่าวได้ว่า

 

จินเซียนรุ่นเยาว์เหล่านี้ มีความสำคัญต่อพระราชวังฉินไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง!

 

ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว กับอีแค่ผู้พิทักษ์คนหนึ่งของมณฑลจิ่วโยวที่นับได้ว่าเป็นชนชั้นลิ่วล้อของพระราชวังฉิน ยังจะหาญกล้าลงมือเข่นฆ่าตามอำเภอใจอีกงั้นเหรอ?

 

“หากตัวเจ้าอยู่ในสายตาของพระราชวังฉิน และทางนั้นล่วงรู้ถึงความสามารถเจ้า จนให้ความสำคัญต่อเจ้าแล้ว…เป็นธรรมดาว่าโจวทงย่อมไม่กล้าแตะต้องเจ้า!”

 

เจิ้งชิวกล่าว “แต่ปัญหาก็คือ ไม่ว่าตอนนี้เจ้าจะร้ายกาจและมากความสามารถเพียงใด แต่พระราชวังฉินยังไม่ล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของเจ้า…เช่นนั้นต่อให้โจวทงมันลงมือเข่นฆ่าเจ้าทิ้ง ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องภายในของมณฑลจิ่วโยวเท่านั้น”

 

“บางทีผู้ว่าอาจยินดีที่ทราบว่าพลังฝีมือของเจ้าเลิศล้ำ…แต่หากเจ้าถูกโจวทงฆ่าตายไปแล้ว ท่านผู้ว่าก็ทำได้แค่ปกปิดเรื่องราวไว้ให้มิดชิด ไม่อาจปล่อยให้ข่าวของเจ้าแพร่พรายไปถึงพระราชวังฉินได้ ทั้งหมดเพื่อปกป้องผู้พิทักษ์อย่างโจวทง…”

 

“เพราะหากข่าวเรื่องเจ้าแพร่งพรายปถึงหูพระราชวังฉินจริง ไม่พ้นทางนั้นต้องพิโรธโจวทงหนักแน่…”

 

“ที่ข้าพูด…เจ้าเองก็คงเข้าใจดีว่ามันหมายความว่าอะไรใช่หรือไม่?”

 

กล่าวถึงจุดนี้ เจิ้งชิว ก็ถามออกมา

 

“อ่า ข้าเข้าใจ”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ ในใจตระหนักได้ถึงความหนักหนาของเรื่องราว สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา

 

เพราะที่เจิ้งชิวพูดมา ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าจะบอกเขาว่า…

 

ก่อนที่เขา ต้วนหลิงเทียน จะถูกพระราชวังฉินรับรู้ว่าเป็นผู้มีความสามารถ หากโจวทงฆ่าเขาทิ้งก็ถือว่าซวยไป เพราะทางผู้ว่าก็ได้แต่ช่วยปกปิดเรื่องราวทุกอย่างเอาไว้ให้มิดเท่านั้น…

 

เพราะสุดท้ายแล้วหลังเขาตายไป ในสายตาของผู้ว่าโจวทงย่อมมีคุณค่ามากกว่า กระทั่งในทณฑลจิ่วโยวยังไม่มีใครแทนได้

 

‘ดูเหมือนว่าต้องใช้เวลาปิดด่านบ่มเพาะอีกสักพัก…คราวนี้จะได้เอาชนะโจวทงอะไรนั่นได้ จากนั้นค่อยจับมันกลับไปให้เจ้าเมืองหลิ่วฆ่า…’

 

‘หลังเจ้าเมืองหลิ่วฆ่ามันได้ คราวนี้ข้าก็จะได้รู้เบาะแสของเพลิงอมตะ!’

 

พอคิดถึงเรื่องนี้ในใจต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความคึกคักขึ้นมา ยังปรารถนาจะแข็งแกร่งขึ้นให้ได้เร็วไว

 

หวังว่าจะมีพลังมากพอจัดการโจวทงให้เร็วที่สุด!

 

“อาวุโสเจิ้งชิว แล้วหลังจากนี้พวกเราต้องไปอยู่ที่ไหนกันหรือ?”

 

ฉินอวี่ถาม

 

“อันที่จริงข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน…เอาเป็นว่าข้าจะไปหาที่อยู่ให้พวกเจ้าชั่วคราวก่อน หลังจากที่ข้าไปรายงานเรื่องกลุ่มโจรของผู้กล้าขาวดำให้ท่านผู้ว่าทราบแล้ว ค่อยจัดการเรื่องที่อยู่ให้พวกเจ้า”

 

เจิ้งชิวกล่าว

 

จากนั้นเจิ้งชิวก็พาต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่ไปพักที่บ้านของตัวเอง

 

“เอาล่ะ พวกเจ้าพักที่นี่เถอะ…ข้าไปรายงานเรื่องราวให้ผู้ว่าทราบก่อน หากต้องการอะไรก็เรียกใช้คนในบ้านได้เลย”

 

หลังกล่าวจบคำเจิ้งชิวก็เหินร่างจากไปทันที

 

ทิ้งต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่ให้อยู่ในห้องรับแขกกันตามยถากรรม

 

“ที่นี่…ช่างมีไอพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นนัก!”

 

แม้จะอยู่ในห้องรับแขก หากแต่พอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบ ฉินอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความหลงใหล

 

“สมแล้วที่เป็นบ้านพักของอันดับ 2 ใต้ต้าหัวจินเซียนแห่งมณฑลจิ่วโยว…สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะที่คฤหาสน์ของอาวุโสเจิ้งชิว ยังดีกว่าห้องบ่มเพาะส่วนตัวของเจ้าเมืองหลิ่วเสียอีก”

 

ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

 

แม้ต้วนหลิงเทียนจะทราบดี ว่าสถานที่บ่มเพาะที่ดีที่สุดในบ้านหลังนี้สมควรเป็นห้องบ่มเพาะส่วนตัวในบ้านที่เจิ้งชิวอาศัยอยู่…

 

ทว่าเอาแค่ห้องรับแขกแห่งนี้ก็มีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะเหนือกว่าห้องส่วนตัวของเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวแล้ว

 

กล่าวได้ว่า…

 

สถานที่ตั้งคฤหาสน์ที่พักของเจิ้งชิว ไม่ว่าจะตรงไหน…ก็มีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นบริบูรณ์ยิ่งกว่าห้องบ่มเพาะส่วนตัวของเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวเสียอีก!

 

“หืม?”

 

ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนที่ถอนหายใจเมื่อครู่ พอดึงสติกลับมาก็พบว่า…

 

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้ฉินอวี่ได้นั่งขัดสมาธิหลับตาจมอยู่ในภวังค์บ่มเพาะเสียแล้ว อีกทั้งเขายังมองเห็นได้รางๆว่าพลังวิญญาณฟ้าดินมากมายกำลังผสานหลอมรวมเข้าร่างฉินอวี่ด้วยความรวดเร็วไม่หยุด ราวไม่รู้เหน็ดเหนื่อย

 

‘ก็นะ…หากเทียบกับข้าแล้ว ฉินอวี่จะตื่นเต้นกับสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของที่นี่มากกว่าก็ไม่แปลก’

 

ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว

 

เพราะอย่างไรเสียเขาก็เคยได้ใช้ห้องบ่มเพาะพลังส่วนตัวของเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวมาแล้ว

 

แต่สำหรับฉินอวี่นั้น สถานที่บ่มเพาะพลังที่ดีที่สุดเท่าที่เคยพบเจอก็เป็นแค่ สถานที่ตั้งกระโจมของแม่ทัพกองทัพมังกรดำเท่ากับผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำเท่านั้น

 

พอมาถึงที่นี่ ฉินอวี่ย่อมสัมผัสได้ถึงความแตกต่างมากกว่าเขาเป็นธรรมดา จึงไม่กล้าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยสูญเปล่า

 

“ฮู่ว ~~”

 

หลังระบานลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ต้วนหลิงเทียนก็ไปหามุมนั่งขัดสมาธิเริ่มบ่มเพาะพลังทันที ในมือถือไว้ด้วยหินอมตะระดับสูงก้อนหนึ่ง

 

สำหรับโอสถทิพย์ระดับต่ำอย่างโอสถเสริมวิญญาณเขาไม่ได้ใช้มัน

 

เนื่องจากพลังของโอสถเสริมวิญญาณในร่างเขา ยังมีส่วนที่ไม่ได้ถูกเขาดูดซับเหลืออยู่ จึงไม่จำเป็นต้องกินมันเพิ่มอีกในช่วงนี้…

 

‘จะอย่างไรก็ตาม…หลังผ่านไป 9 เดือน ในมือข้าก็เหลือโอสถเสริมวิญญาณอีกแค่ 2 เม็ดเท่านั้น’

 

เมื่อ 3 เดือนที่แล้วตอนที่เริ่มออกจากเมืองเฉวี่ยโยว เขาเหลือโอสถเสริมวิญญาณ 4 เม็ด

 

ตลอดการเดินทางในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ด้วยความที่ความเร็วในการเดินทางมันเชื่องช้า เขาจึงได้บ่มเพาะพลังแบบเรื่อยๆสบายๆมาตลอดทาง และได้ใช้โอสถไปทั้งสิ้น 2 เม็ด…โดยผลของโอสถเม็ดหนึ่งยังเหลือในท้องเขา และดูดซับไม่หมดที

 

‘ว่าไปแล้วข้าต้องหาทางรับโอสถเสริมวิญญาณเพิ่มให้ได้…หากไม่มีมันความเร็วในการบ่มเพาะคงช้าลงไม่น้อย’

 

พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เลิกคิดฟุ้งซ่าน และเริ่มบ่มเพาะพลังทันที

 

จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็บ่มเพาะพลังไปเสมือนลืมวันเวลา

 

ไม่อาจทราบได้จริงๆว่ามันผ่านไปนานแค่ไหน

 

บางทีเขารู้สึกเหมือนพึ่งบ่มเพาะมาไม่กี่ชั่วยาม แต่ไปๆมาๆกลับรู้สึกราวกับนั่งสั่งสมพลังมาแล้วหลายวันหลายคืน

 

จนกระทั่งเสียงของเจิ้งชิวดังขึ้นเข้าหู จึงทำให้เขาตื่นขึ้นมา

 

“พวกเจ้านับว่าโชคดีนัก…”

 

เจิ้งชิวที่กลับมาถึงและปลุกต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่จนตื่น ก็มองทั้งคู่พลางยิ้มแหยๆกล่าวว่า “ในระหว่างที่ท่านผู้ว่าส่งอาวุโสฝ่ายในอย่างข้าออกไปรับตัวพวกเจ้ามาจากเมืองต่างๆ…ท่านเจ้าเมืองก็ได้ตระเตรียมสถานที่บ่มเพาะเอาไว้ให้พวกเจ้าทั้งหมดด้วยตัวเอง”

 

“และในสถานที่บ่มเพาะแห่งนั้น จุดที่มีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะดีที่สุด ก็มีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นเกือบเทียบได้กับสถานที่บ่มเพาะส่วนตัวของผู้พิทักษ์โจวทงกับท่านผู้ว่าด้วยซ้ำ!”

 

“เจ้าต้องทราบด้วยว่าไม่เพียงแค่ในเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวเท่านั้น กระทั่งให้มองไปทั่วทั้งมณฑลจิ่วโยว แต่ปกติแล้วสถานที่บ่มเพาะที่ดีที่สุดก็คือสถานที่บ่มเพาะส่วนตัวของท่านผู้ว่ากับผู้พิทักษ์โจวทง!”

 

ขณะที่พูดถึงเรื่องนี้ แววตาของเจิ้งชิวก็อดไม่ได้ที่จะเผยความอิจฉาออกมา

 

ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของห้องส่วนตัวมันจะถือว่าดี…

 

แต่เมื่อเทียบกับสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของสถานที่บ่มเพาะส่วนตัวผู้ว่ากับโจวทงแล้ว ห้องส่วนตัวของบ้านมันยังไม่คู่ควรให้กล่าวถึง…!

 

ลูกตาฉินอวี่ส่องแสงจ้าขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเจิ้งชิว

 

“หืม? จุด ที่ดีที่สุดในสถานที่บ่มเพาะแห่งนั้น?”

 

ในคำพูดเมื่อครู่ของเจิ้งชิว ต้วนหลิงเทียนย่อมตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง

 

“อาวุโสเจิ้งชิวเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร…ในสถานที่บ่มเพาะที่ผู้ว่าจัดให้ ไม่ใช่ว่าพวกเราทุกคนจะได้รับสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะเท่าเทียมกันหรือ?”