ภายในห้องหนังสือ ฉินอวี้โม่และจื่อเมี่ยวนั่งลงตรงข้ามกัน
ทันทีที่จื่อเมี่ยวกล่าวเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็มองเขาด้วยแววตาตื่นเต้นเล็กน้อย
ในเมื่ออีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น เรื่องที่เขาต้องการจะเปิดเผยต้องมิใช่เรื่องที่ธรรมดาอย่างแน่นอน หากมิใช่ข่าวคราวเกี่ยวกับพี่ใหญ่และอวิ๋นซื่อเทียน มันก็คงจะเกี่ยวข้องกับบิดามารดาในชีวิตนี้ของฉินอวี้โม่
ตอนนี้นางยังไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋น ฉินเทียนเองก็ฝากเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ไว้กับฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าเพื่อให้พวกเขาช่วยดูแลทั้งสองเป็นการชั่วคราวก่อนเดินทางออกตามหานางด้วยตัวเอง ทว่าจนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่ส่งข่าวคราวใดกลับมา หรือว่าขุมกำลังเอกพิภพจะได้ข่าวของทั้งสองคนนี้ ?
“ท่านคงจะทราบว่าในดินแดนของเรามีที่แห่งหนึ่งที่ถูกเรียกว่าขุนน้ำอาชาขาว มันเป็นสถานที่ลึกลับเกินคาดเดา ทว่าเต็มไปด้วยโอกาสและโชคลาภมากมาย ก่อนหน้านี้เราได้ข่าวว่ามีจอมยุทธ์จำนวนหนึ่งเข้าไปสำรวจที่นั่นและถูกขังอยู่ข้างในนั้น จากในข่าวที่ได้ยินมา ในบรรดาผู้ที่เข้าไป มีคนจากดินแดนมหาเทพร่วมอยู่ด้วย”
ในเมื่อจื่อเมี่ยวเชิญฉินอวี้โม่มาพูดคุยเป็นการส่วนตัว มันก็แสดงให้เห็นว่าเขาต้องการผูกมิตรกับนางและแน่นอนว่าเขาจะไม่ปิดบังสิ่งใดจากนางเช่นกัน
ขุมกำลังเอกพิภพของเขาก็ได้รับข่าวคราวเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในขุนน้ำอาชาขาวเพียงเมื่อไม่นานมานี้ สำหรับจำนวนของจอมยุทธ์ที่ติดอยู่ข้างในนั้น หรือว่าความแข็งแกร่งของพวกเขา ขุมกำลังเอกพิภพยังไม่ทราบถึงรายละเอียดเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ว่ามีจอมยุทธ์จากดินแดนมหาเทพรวมอยู่ในกลุ่มนั้นเป็นเรื่องจริงและพวกเขาได้ทำการยืนยันแล้ว
ถึงอย่างไร ก่อนหน้านี้บุคคลผู้นั้นก็ได้มีเรื่องบาดหมางกับขุมกำลังระดับสองแห่งหนึ่งและเปิดเผยสถานะของตนเองออกมา
“ขุนน้ำอาชาขาว…”
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองอย่างเงียบ ๆ พลางนึกถึงพิกัดของขุนน้ำอาชาขาว หากจำไม่ผิด ขุนน้ำอาชาขาวควรจะตั้งอยู่ไม่ไกลไปจากอาณาเขตของตระกูลฉินและเป็นระยะห่างที่ใช้เวลาเดินทางจากที่นั่นเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
ไม่ว่าผู้ที่ถูกขังอยู่ที่นั่นจะเป็นผู้ใด ตราบใดที่เป็นคนจากดินแดนมหาเทพ แน่นอนว่านางก็ต้องไปที่นั่นด้วยตัวเอง
“ขอบคุณท่านจอมยุทธ์จื่อเมี่ยวที่แจ้งเรื่องนี้ให้ข้าทราบ หากไม่ขัดข้อง ท่านจะช่วยข้าสืบหาข่าวคราวของสหายคนอื่น ๆ ที่เดินทางมากับข้าได้หรือไม่ ? ข้าจะขอบคุณในน้ำใจนี้เป็นอย่างมาก”
ฉินอวี้โม่ประกบกำปั้นทั้งสองข้างและกล่าวกับจื่อเมี่ยวในเชิงขอความช่วยเหลือ
เพราะถึงอย่างไร การที่จื่อเมี่ยวแจ้งข่าวเหล่านี้ให้นางทราบก็บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาต้องการจะผูกมิตรกับนาง ตอนนี้นางก็ติดค้างความช่วยเหลือจากเขาครั้งหนึ่งแล้ว หากจะติดค้างเพิ่มเติมอีกก็คงจะมิใช่ปัญหาอะไร
“ไม่มีปัญหา ทว่าท่านไม่ต้องสุภาพมากนักหรอก เรียกชื่อของข้าก็พอ”
จื่อเมี่ยวตอบกลับพร้อมรอยยิ้มก่อนยืนกรานให้ฉินอวี้โม่เรียกเพียงชื่อของตนซึ่งทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงและทำให้เขาดูเข้าถึงได้ง่ายขึ้นมาก
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและพยักศีรษะตอบตกลง
ทั้งสองพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อยโดยฉินอวี้โม่เล่าสถานการณ์ทั่วไปของฉินเทียนและคนอื่น ๆ ให้จื่อเมี่ยวได้ทราบก่อนขอตัวกลับ
อีกฟากหนึ่งของภัตตาคาร ภายในห้องส่วนตัวของตระกูลเฟิง เหอปี้เยว่เริ่มรู้สึกว่าฉินอวี้โม่ใช้เวลานานจนเกินไป แม้เห็นได้ชัดว่าจื่อเมี่ยวไม่มีเจตนาที่มุ่งร้ายต่อฉินอวี้โม่ ทว่าเวลาที่ล่วงเลยมาเกือบหนึ่งชั่วยามก็ทำให้นางอดกังวลไม่ได้
ขณะที่นางกำลังจะออกไปตามหา ฉินอวี้โม่ก็เปิดประตูห้องและเดินเข้ามาพอดิบพอดี
“พี่สะใภ้รอง พี่สะใภ้สาม เรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวแทรกขึ้นก่อนโดยที่ยังไม่คิดคลายความสงสัยให้กับเหอปี้เยว่และโหวเยว่เยว่ในตอนนี้
จากนั้นทุกคนก็ไม่ลังเลและมุ่งหน้ากลับไปยังจวนของตระกูลเฟิงพร้อมกับฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าพวกนางไม่ลืมที่จะส่งคนไปแจ้งข่าวกับเฟิงยางและคณะ
ณ จวนเจ้าเมือง ในเวลานี้ ทุกคนรวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าอีกครา
“อวี้โม่ จื่อเมี่ยวเรียกเจ้าออกไปพูดคุยเรื่องใดรึ ?”
โหวเยว่เยว่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
ฉินอวี้โม่ไม่คิดปิดบังจากคนเหล่านี้และเล่าข้อมูลทุกอย่างที่ได้ทราบจากจื่อเมี่ยว
“ขุนน้ำอาชาขาวอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินหลิงเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวต่อ “ข้ารู้จักที่นั่น มันอยู่ไม่ไกลจากจวนตระกูลฉินนักและข้าก็เคยไปที่นั่นมาก่อน จะว่าไปแล้ว…ข้าและแม่ของเจ้าก็พบกันใกล้กับบริเวณนั้น”
ในฐานะทายาทสายตรงของตระกูลฉิน เขาย่อมคุ้นเคยกับสถานที่ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับจวนตระกูล โดยเฉพาะสถานที่ที่เหมาะสำหรับการฝึกยุทธ์เช่นนั้น สำหรับขุนน้ำอาชาขาว ฉินหลิงเซียวเองก็เคยไปที่นั่นเมื่อครั้งเยาว์วัย
อย่างไรก็ตาม ขุนน้ำอาชาขาวเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยภยันตรายมากมายจนเขาไม่กล้าสำรวจเข้าไปลึกมากนักและทำได้เพียงสั่งสมหาประสบการณ์อยู่ในบริเวณรอบนอก ซึ่งในเวลานั้นเขาก็บังเอิญพบกับเฟิงหย่าที่ออกมาฝึกวิชาอยู่ในบริเวณนั้นพอดิบพอดี
หลังจากที่ฉินหลิงเซียวช่วยคลี่คลายปัญหาให้กับเฟิงหย่าในครานั้น ทั้งสองก็ตกหลุมรักกันก่อนที่จะตบแต่งและครองรักกันมาจนถึงปัจจุบันนี้…
“ข้าจะลองส่งคนไปสืบข่าวดูก่อน หากข้าจำไม่ผิด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลฉินของเราก็ส่งคนไปประจำอยู่ในบริเวณใกล้กับขุนน้ำอาชาขาวนั่น”
เพื่อมิให้ฉินอวี้โม่ต้องกังวล ฉินหลิงเซียวจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เมื่อจบงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของเฟิงเหลียนเฉิง เขาจะเดินทางไปที่นั่นพร้อมกันกับฉินอวี้โม่
ในอดีต เขายังไม่แข็งแกร่งมากพอและไม่สามารถท่องสำรวจในขุนน้ำอาชาขาวได้อย่างอิสระ ทว่าด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ เขามีความมั่นใจมากถึงเจ็ดในสิบส่วน
“ข้าไม่ทราบว่าผู้ที่ติดอยู่ที่นั่นเป็นใคร ทว่าหลังจากจบงานเลี้ยงฉลองของท่านตา ข้าจะต้องไปที่นั่นด้วยตัวเอง”
ฉินอวี้โม่ก็เปิดเผยทัศนคติของตนเองออกมาเช่นกัน ซึ่งเป็นความคิดที่ตรงกับฉินหลิงเซียว
“ตกลง เมื่อถึงตอนนั้น เราจะไปกับเจ้าด้วย”
เฟิงหย่าแตะมือฉินอวี้โม่เบา ๆ และกล่าวขึ้น นางไม่ต้องการแยกจากบุตรสาวอีกต่อไป แม้ในอดีตตนจะไม่ได้ปกป้องฉินอวี้โม่เช่นที่ควร ทว่าในอนาคตหลังจากนี้ พวกนางจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดรังแกฉินอวี้โม่ได้อีก !
เฟิงฉงและคนอื่น ๆ ก็มีความคิดเช่นเดียวกัน ทว่าพวกเขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป
“อีกอย่าง…แล้วเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ล่ะ ?”
หลินหว่านหว่านเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่เห็นเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่กลับมากับฉินอวี้โม่
“ก่อนหน้านี้พวกนางรออยู่ในห้องจนเบื่อ เซี่ยวเซี่ยวก็เลยพาเด็กทั้งสามออกไปเที่ยวเล่นและรับปากว่าจะกลับมาในตอนค่ำ”
โหวเยว่เยว่กล่าวอธิบายพร้อมรอยยิ้ม เถาเซี่ยวเซี่ยวเองก็ยังมีความเป็นเด็กอยู่มาก เมื่อเฟิงชิงหลิง เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่เริ่มเบื่อ นางจึงชวนทั้งสามออกไปเที่ยวเล่นด้วยกัน
คนส่วนใหญ่ในเมืองจูเฟิงก็ทราบถึงตัวตนของคุณหนูเฟิงชิงหลิงดี พวกนางจึงไม่กังวลว่าผู้ใดจะคิดรังแกเด็กเหล่านั้นและปล่อยให้ออกไปเที่ยวเล่นได้ตามต้องการ
“เอาล่ะ งานเลี้ยงของท่านพ่อจะถูกจัดขึ้นในอีกสองวัน เมื่อถึงตอนนั้น คนของตระกูลฉินจะต้องมากันอย่างพร้อมหน้า ในระหว่างนี้ ทุกคนควรเตรียมตัวให้พร้อม”
เฟิงฉงกล่าวย้ำเตือนและทุกคนก็พยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียง อันที่จริงพวกเขาพร้อมที่จะประจันหน้ากับตระกูลฉินมานานแล้ว !
…
บนท้องถนนสายหนึ่ง เถาเซี่ยวเซี่ยวเดินจับมือเฟิงชิงหลิงด้วยมือข้างซ้ายและเสี่ยวอ้ายโม่ด้วยมือข้างขวา ในขณะที่เสี่ยวอ้ายฉือเดินนำอยู่ด้านหน้า ทั้งสี่เดินเตร็ดเตร่ไปรอบเมืองอย่างมีชีวิตชีวา
“ท่านน้าเซี่ยวเซี่ยว ดูนั่นสิ ตรงนั้นมีแผงร้านน้ำตาลปั้นด้วย”
เสี่ยวอ้ายโม่ผู้มีสายตาเฉียบคมมองเห็นแผงขายขนมน้ำตาลปั้นอยู่ไม่ไกลจึงปล่อยมือเถาเซี่ยวเซี่ยวก่อนวิ่งตรงไปอย่างรวดเร็ว
“หลังจากที่ไม่ได้พบหน้าท่านพ่อมานาน หากสั่งน้ำตาลปั้นเป็นรูปท่านพ่อ ท่านแม่จะต้องมีความสุขมากแน่ ๆ !”
“อ้ายโม่ ระวัง !”
จู่ ๆ เถาเซี่ยวเซี่ยวก็อุทานเสียงดังและรอยยิ้มบนใบหน้าก็ชะงักไปทันที ในเวลานี้ อสูรมายาระดับสูงตัวหนึ่งได้ปรากฏกายอย่างไร้ที่มาและอ้าปากสีโลหิตของมันขณะพุ่งตรงเข้าหาเสี่ยวอ้ายโม่
“อ้ายโม่ !”
“น้องอ้ายโม่ !”
ใบหน้าของเสี่ยวอ้ายฉือและเฟิงชิงหลิงถอดสีทันที ทว่าเสี่ยวอ้ายฉือก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและพุ่งตรงไปยังทิศทางของเสี่ยวอ้ายโม่
ในฝูงชนไม่ไกลจากบริเวณนั้น สตรีสวมหมวกทรงสูงนางหนึ่งเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมา สายตาของนางนั้นจับจ้องตรงไปยังเสี่ยวอ้ายโม่อย่างมุ่งร้ายขณะแสดงท่าทีราวกับว่าแผนการของตนเองกำลังจะประสบความสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในอึดใจต่อมาก็ทำให้สีหน้าของนางเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง…