เวลานี้ บริเวณด้านหน้าภัตตาคารของขุมกำลังเอกพิภพเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังพูดคุยกัน
ด้วยการที่ผู้คนจากขุมกำลังระดับหนึ่งและขุมกำลังระดับสองหลายแห่งเดินทางมาที่เมืองจูเฟิง แน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องเลือกรับประทานอาหารในภัตตาคารชั้นนำของเมือง ถึงอย่างไร ที่แห่งนี้ก็มิใช่เป็นเพียงสถานที่รับประทานอาหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทว่าพวกเขาสามารถสอบถามหาข่าวสารและพบปะกับสมาชิกจากขุมกำลังอื่น ๆ ได้
เมื่อเห็นกลุ่มของฉินอวี้โม่ใกล้เข้ามา ยอดฝีมือหลายคนก็จดจำพวกนางได้ทันที
แน่นอนว่าผู้ที่พวกเขาจดจำได้มิใช่ฉินอวี้โม่และเถาเซี่ยวเซี่ยว หากแต่เป็นสะใภ้ทั้งสองของตระกูลเฟิง
พวกเขาเหล่านั้นก็เข้ามาทักทายสตรีทั้งสองด้วยความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง
ในฐานะหนึ่งในขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดน ตระกูลเฟิงย่อมเป็นตระกูลที่ขุมกำลังทั้งระดับหนึ่งและระดับสองหลายแห่งต้องการผูกมิตรด้วย โดยปกติแล้วโหวเยว่เยว่และเหอปี้เยว่ก็มักจะเก็บตัวอยู่แต่ภายในจวนตระกูลเฟิงส่งผลให้คนอื่น ๆ ไม่มีโอกาสได้สร้างไมตรีกับพวกนาง ทว่าในเมื่อโอกาสหายากเช่นนี้ปรากฏอยู่ตรงหน้า แน่นอนว่าพวกเขาย่อมกระตือรือร้นเป็นพิเศษและไม่มีทางปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป
เหอปี้เยว่และโหวเยว่เยว่ก็ทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้ม ทว่าพวกนางไม่ได้แนะนำฉินอวี้โม่ให้คนเหล่านี้รู้จัก
สำหรับตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ เฟิงเหลียนเฉิงกล่าวไว้แล้วว่าเขาจะประกาศด้วยตัวเองเมื่อถึงงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของตน เพราะเหตุนั้น พวกนางจึงไม่คิดที่จะแย่งความเฉิดฉายไปจากบุรุษชราผู้นั้น
“สตรีสองคนนั้นคงจะเป็นสมาชิกของนิกายหมื่นกระบี่ ดูเหมือนว่าพวกนางจะสนิทสนมกับคนตระกูลเฟิงมากทีเดียว แต่อย่างไรเสีย นิกายหมื่นกระบี่เป็นเพียงขุมกำลังระดับสอง มิอาจทราบได้เลยว่าพวกนางผูกมิตรกับตระกูลเฟิงจนสนิทสนมเช่นนี้ได้อย่างไร ?”
หลายคนที่ทราบเรื่องราวความบาดหมางระหว่างฉินอวี้โม่และตระกูลฉินก่อนหน้านี้เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นฉินอวี้โม่และเถาเซี่ยวเซี่ยวที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับสะใภ้ตระกูลเฟิง
“สมาชิกของนิกายหมื่นกระบี่ล้วนเป็นบุคคลที่ตรงไปตรงมาและมีจิตใจที่ดี ต่อให้เผชิญหน้ากับขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดน พวกเขาก็ไม่ได้ถ่อมตนหรือหยิ่งผยองใด ๆ ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลเฟิงก็ยึดถือหลักปฏิบัติในลักษณะนี้ ไม่แปลกเลยที่ทั้งสองขุมกำลังจะผูกมิตรเป็นสหายที่ดีต่อกันได้”
หลายคนเริ่มคาดเดากันไปต่าง ๆ นา ๆ ทว่าไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างฉินอวี้โม่และตระกูลเฟิงได้ เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงคิดไปว่ามิตรภาพดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากนิกายหมื่นกระบี่และตระกูลเฟิงยึดถือหลักปฏิบัติที่คล้ายคลึงกัน ทั้งสองขุมกำลังจึงสนิทสนมกันได้ไม่ยาก
“อวี้โม่ เซี่ยวเซี่ยว พวกเจ้าอยากจะกินอะไรกันสักหน่อยรึไม่ ?”
โหวเยว่เยว่เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม หลังจากเดินเลือกซื้อสินค้านานกว่าครึ่งชั่วยาม นางก็นึกขึ้นมาได้ว่าฉินอวี้โม่และเถาเซี่ยวเซี่ยวอาจจะต้องการหยุดพักเพื่อรับประทานของว่างหรือจิบน้ำชา
“ข้าหิววว ~ ข้าหิวมาก ๆ เลย ข้าไม่ได้กินกุ้ยหัวเการสเลิศของภัตตาคารเอกพิภพมานานเหลือเกิน”
* 桂花糕 กุ้ยหัวเกา คือ ขนมดั้งเดิมประเภทหนึ่งของจีน ทำจากแป้งข้าวเหนียว ดอกหอมหมื่นลี้ และน้ำตาล ลักษณะคล้ายๆ กับเจลลี่ นิยมรับประทานพร้อมชาร้อน
ฉินอวี้โม่และเถาเซี่ยวเซี่ยวยังไม่ทันเอ่ยสิ่งใด ทว่านักกินจุอย่างเฟิงชิงหลิงกลับกล่าวแทรกขึ้นมาก่อน
“ถ้าเช่นนั้นเราก็แวะหาอะไรกินและนั่งคุยกันสักพักก็แล้วกัน”
ฉินอวี้โม่และเถาเซี่ยวเซี่ยวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นทั้งสองและคนอื่น ๆ ก็ก้าวตรงไปยังภัตตาคารหลังใหญ่
ในฐานะเจ้าเมืองของเมืองจูเฟิง เป็นธรรมดาที่ตระกูลเฟิงจะมีห้องส่วนตัวภายในภัตตาคารเอกพิภพ ในเวลานี้ เด็กรับใช้ก็พาพวกนางตรงไปยังห้องส่วนตัวของตระกูลเฟิงและหลังจากผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง เด็กรับใช้อีกคนก็นำของว่างและน้ำชาออกมาบริการพวกนาง
“น้องอ้ายฉือ น้องอ้ายโม่ ของที่อร่อยที่สุดของที่นี่คือขนมกุ้ยหัวเกา พวกเจ้าต้องลองดูนะ !”
เฟิงชิงหลิงแนะนำขนมที่ขึ้นชื่อของที่นี่ให้กับเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ด้วยท่าทางที่กระตือรือร้น จากนั้นทั้งสามก็นั่งลงด้วยกันก่อนรับประทานอาหารและขนมของว่างเต็มปากเต็มคำ
“อร่อยจริงด้วย แต่มันไม่อร่อยเท่าฝีมือแม่ของข้าหรอก”
เสี่ยวอ้ายโม่กล่าวขึ้นหลังจากรับประทานอาหารบางส่วนและพบว่าอาหารของที่นี่มีรสชาติที่ถูกปากอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น อาหารทั้งหมดดูจะอัดแน่นไปด้วยพลังงานซึ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก ถึงแม้จะไม่สามารถพัฒนาความแข็งแกร่งได้โดยตรง มันก็สามารถปรับรากฐานพลังในร่างกายให้เสถียรมั่นคงมากยิ่งขึ้น
“เจ้าได้กินอาหารฝีมือท่านอาด้วยหรือ ?”
เฟิงชิงหลิงกะพริบดวงตากลมโตและมองเสี่ยวอ้ายโม่อย่างสงสัยใคร่รู้ นางเองก็ต้องการลิ้มรสอาหารฝีมือฉินอวี้โม่เช่นกัน
“ข้าเคยกินครั้งหนึ่ง แต่นั่นก็นานมาแล้ว ตอนนั้นท่านพ่อยังอยู่กับพวกเรา…”
เสี่ยวอ้ายโม่กล่าวและจดจำได้ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อตนมีอายุประมาณสองหรือสามขวบ ทว่านางก็จดจำรายละเอียดได้ไม่มากนัก
เสี่ยวอ้ายฉือไม่กล่าวสิ่งใด ทว่าเขาก็แอบคิดถึงบิดาเช่นกัน
“ข้าเองก็ไม่ชอบปรุงอาหารนักหรอก แต่หากพวกเจ้าอยากลิ้มลอง เอาเป็นว่าคืนนี้ข้าจะทำให้กินก็แล้วกัน”
ฉินอวี้โม่ลูบศีรษะบุตรน้อยทั้งสอง นางทราบดีว่าเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่คิดถึงบิดามาก ทว่านางก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป เพราะถึงอย่างไร อีกไม่กี่วันก็จะครบรอบหนึ่งเดือนที่เขาจะได้ปรากฏตัวในคฤหาสน์เฟิงหัวแล้ว…
“ป้ารองก็สามารถปรุงอาหารให้พวกเจ้ากินได้”
เหอปี้เยว่ไม่ยอมน้อยหน้าและกล่าวขึ้นเช่นกัน
“อย่าเลยเจ้าค่ะป้ารอง คราก่อนที่น้องเฟิงเสี่ยวกินขนมดอกท้อฝีมือท่าน เขาต้องสูญเสียฟันไปซี่หนึ่ง”
เฟิงชิงหลิงโบกมือปัดป่ายไปมาอย่างรวดเร็วและบ่นอุบถึงฝีมือการปรุงอาหารของป้าสะใภ้คนรอง ป้ารองของนางเป็นคนที่ใจกว้าง มากพรสวรรค์และแข็งแกร่ง อีกทั้งยังเป็นคนที่มีระเบียบในทุกด้าน สมาชิกทุกคนในตระกูลจึงชื่นชอบนางมาก ทว่าข้อด้อยเพียงอย่างเดียวของนางคือฝีมือการทำอาหารที่ย่ำแย่อย่างที่สุด คราก่อนเมื่อนางทำขนมดอกท้อ เรียกได้ว่ามันแข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้าหมื่นปีและกัดไม่เข้าเลยสักนิด ซ้ำร้ายสีสันของมันยังดูประหลาดซึ่งทำให้ผู้ที่ได้เห็นอดที่จะเบือนหน้าหนีไม่ได้
ในทั่วทั้งตระกูลเฟิง มีเฟิงซ่าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถรับประทานอาหารของเหอปี้เยว่จนหมดและยังโอ้อวดว่ามันเอร็ดอร่อยอย่างยิ่ง !
“…”
เหอปี้เยว่ถึงกับพูดไม่ออก
ในขณะที่พูดคุยกันนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“ใครกัน ?”
เถาเซี่ยวเซี่ยวกล่าวขณะลุกขึ้นไปเปิดประตูและพบว่าหน้าประตูคือใบหน้าที่หล่อเหลาจนเป็นอันตรายต่อหัวใจของนาง บุรุษผู้นี้ก็คือจื่อเมี่ยว—ผู้ปกครองสูงสุดของที่นี่และทำหน้าที่ดูแลขุมกำลังเอกพิภพนั่นเอง
“พี่จื่อเมี่ยว...”
ใบหน้าของเถาเซี่ยวเซี่ยวหน้าแดงระเรื่อทันทีและเอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยเสียงเบาก่อนหันหลังกลับและเข้าไปหลบด้านหลังฉินอวี้โม่
คราก่อน เนื่องจากจดจ่ออยู่กับโทสะที่มีต่อคนตระกูลฉิน รูปลักษณ์ของจื่อเมี่ยวจึงมิได้มีผลกระทบต่อเถาเซี่ยวเซี่ยวมากนัก ทว่าครานี้เมื่อได้มองจื่อเมี่ยวในระยะเผาขน มันก็ยากที่นางจะสงวนท่าทีไว้ได้
รูปลักษณ์ของจื่อเมี่ยวดูดีกว่าพี่ชายทั้งสองของนางมาก ในเวลานี้ เขาสวมอาภรณ์สีม่วงที่เข้ากับสง่าราศีและท่าทางอันสูงส่งของเขาซึ่งทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้ ทว่าคุณสมบัติเหล่านั้นกลับดึงดูดใจจนเกินบรรยาย กอปรกับรอยยิ้มบางที่ประดับบนใบหน้าของเขายิ่งช่วยเสริมให้ดูลึกลับยิ่งกว่าเดิม
โดยปกติแล้วเถาเซี่ยวเซี่ยวเป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผยความรู้สึกทุกอย่างออกมาทางสีหน้า เมื่อเผชิญหน้ากับจื่อเมี่ยวในตอนนี้ เป็นธรรมดาที่นางจะเก็บอาการต่อไปไม่ได้
“สวัสดี”
จื่อเมี่ยวยิ้มให้กับทุกคน เห็นได้ชัดว่าเขาและเหอปี้เยว่รู้จักกันมาก่อน
“ท่านจอมยุทธ์จื่อเมี่ยว ลมอะไรหอบท่านมาที่นี่รึ ?”
โหวเยว่เยว่เอ่ยถามขณะประจันหน้ากับผู้ดูแลของขุมกำลังเอกพิภพโดยที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัว
“ข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องการจะแจ้งสหายน้อยอวี้โม่และต้องการที่จะให้การต้อนรับนางสักหน่อย”
จื่อเมี่ยวกล่าวอย่างตรงไปตรงมา อันที่จริง มันคือข้อความที่ถูกส่งมาจากสาขาหลักของขุมกำลังเอกพิภพซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับฉินอวี้โม่พอสมควร แม้เขาและนางจะเคยพบหน้ากันเพียงคราเดียว เขาก็รู้สึกประทับใจในตัวฉินอวี้โม่อย่างมากและรู้สึกว่าควรแจ้งข่าวดังกล่าวให้นางได้ทราบ
“เป็นเช่นนั้นนี่เอง”
เหอปี้เยว่และโหวเยว่เยว่มองหน้ากันเล็กน้อยก่อนสายตาเลื่อนไปยังฉินอวี้โม่
“บังเอิญว่าตอนนี้ข้าก็ไม่มีอะไรทำอยู่พอดี ถ้าเช่นนั้นเราออกไปพูดคุยกันเลยจะดีหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ลุกขึ้นและเดินตรงเข้าไปหาจื่อเมี่ยว ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงเจตนาอย่างชัดเจนว่าต้องการพูดคุยกับตนเป็นการส่วนตัว มันก็ไม่เหมาะสมที่จะเปิดเผยให้ผู้อื่นได้ทราบ จื่อเมี่ยวมิใช่คนช่างจ้อเท่าใดนัก การที่เขาเป็นฝ่ายเข้ามาหานางด้วยตัวเองเช่นนี้แสดงให้เห็นว่ามันจะต้องเป็นเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปเถอะ พวกเราจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”
เมื่อเห็นการตอบสนองของฉินอวี้โม่ เหอปี้เยว่และอีกสองคนก็ไม่คิดขัดขวางขณะกล่าวออกไปเพียงสั้น ๆ
“เจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะก่อนเดินตามจื่อเมี่ยวออกไปและมุ่งหน้าขึ้นไปยังชั้นที่สามของภัตตาคารเอกพิภพ
บนชั้นที่สามนี้มีห้องอยู่เพียงสามห้องเท่านั้นและจื่อเมี่ยวนำทางนางเข้าไปยังห้องหนังสือซึ่งอยู่ตรงกลาง
“มีเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับท่าน…”
.