เมื่อได้รับความเมตตาและความเป็นมิตรจากตระกูลเหล่านี้ ฉินอวี้โม่และบุตรทั้งสองก็กล่าวขอบคุณทุกคนอย่างจริงใจและให้คำมั่นว่าจะไปเยี่ยมเยียนตระกูลของพวกเขาหากมีโอกาสในอนาคต
แน่นอนว่าทุกคนตอบสนองด้วยรอยยิ้มยินดี จากนั้นพวกเขาก็พูดคุยกันและเริ่มหารือถึงธุระสำคัญในครานี้
“ท่านลุง ตระกูลเฟิงวางแผนที่จะเปิดเผยเรื่องที่เฟิงหย่าพบตัวหลานอวี้โม่หรือไม่ ?”
หลัวเลี่ยง—ผู้นำตระกูลหลัวเอ่ยถาม ไม่ว่าตระกูลเฟิงจะต้องการเก็บเรื่องนี้เป็นความลับหรือไม่ มันก็จะมีผลกระทบต่อแผนการในอนาคตของพวกเขาอยู่บางส่วน
ในงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของเฟิงเหลียนเฉิงในครานี้ เห็นได้ชัดว่าตระกูลฉินต้องการมาที่นี่เพื่อก่อเรื่องสร้างปัญหา หากสถานะของฉินอวี้โม่ถูกเปิดเผยออกไป มันอาจก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ด้าน
“แน่นอน เราจะต้องเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณะ แม้ครานี้จะเป็นงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของข้า ข้าก็อยากให้มันเป็นทั้งงานเลี้ยงวันเกิดและงานเลี้ยงต้อนรับหลานของข้า”
เฟิงเหลียนเฉิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม นี่คือผลลัพธ์ของการที่พวกเขาหารือกันก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่เผชิญกับเรื่องราวทุกข์ใจมามากแล้วและครานี้พวกเขาจะไม่ยอมทำผิดต่อนางอีก แม้ตระกูลฉินจะทั้งทรงพลังและมีผู้สนับสนุนมากมาย ทว่าตระกูลเฟิงของพวกเขาในปัจจุบันก็ไม่อ่อนแอเช่นในอดีตอีกต่อไป ต่อให้ต้องประจันหน้ากับตระกูลฉินที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาก็มีพลังอำนาจมากพอที่จะต่อสู้ได้
“ใช่ พวกเราจะต้องมอบความเป็นธรรมให้กับเสี่ยวอวี้โม่ ไม่ว่าครานี้จะเกิดอะไรขึ้น เราจะต้องประกาศสถานะของนางออกไปเพื่อให้คนพวกนั้นได้ตระหนักว่าตอนนี้นางคือทายาทหัวแก้วหัวแหวนของเราหลายตระกูลและเราจะไม่ยอมให้ผู้ใดมารังแกนางแม้แต่ปลายเล็บ !”
หลัวเหม่ยยวี่และคนอื่น ๆ พยักศีรษะแสดงความเห็นด้วยและสนับสนุนการตัดสินใจของเฟิงเหลียนเฉิง
“ทว่า…หลิงเซียว ถึงแม้บิดาของเจ้าจะหัวรั้นมาก เขาก็คงไม่คิดที่จะคร่าชีวิตของฉินอวี้โม่ในตอนนั้น บางทีภายในตระกูลฉินอาจมีเบื้องลึกเบื้องหลังบางอย่างที่เจ้าไม่ทราบ และสงครามกับตระกูลฉินอาจจะมิใช่สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นเสมอไป”
เฟิงเหลียนเฉิงมองไปที่ฉินหลิงเซียวและกล่าวขึ้น
แม้อยู่ในสภาวะเก็บตัวเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งมานานหลายปี เขาก็มิได้เพิกเฉยต่อเรื่องราวของโลกภายนอก สำหรับตระกูลฉิน เขาส่งคนไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของคนเหล่านั้นมาโดยตลอด
ฉินหยวน—ผู้นำที่เก่าแก่ของตระกูลฉินคือบิดาของฉินหลิงเซียวและเขามิได้เป็นบุคคลที่เลวร้าย แม้จะเป็นคนที่หัวรั้นและไม่ยอมใคร เขาก็คงจะหลงกลใครบางคนในตอนนั้น ส่งผลให้ตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องของฉินอวี้โม่ อย่างไรก็ตาม เขาอาจจะลงโทษคนเหล่านั้นไปแล้วก็เป็นได้
ฉินหลิงเซียวเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของฉินหยวน หากเป็นไปได้ เฟิงเหลียนเฉิงก็ไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตรชายต้องแตกหักไปมากกว่านี้
“ข้าทราบดีขอรับ ท่านพ่อตาไม่ต้องกังวล ข้าจะตัดสินใจตามความเหมาะสม”
ฉินหลิงเซียวพยักศีรษะ เขาเองก็ตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี สาเหตุที่เขายังไม่ประกาศสงครามเต็มรูปแบบกับตระกูลฉินก็เป็นเพราะเขาทราบดีว่าบิดาหัวรั้นของตนมิใช่คนที่เลวร้ายแต่อย่างใด
แม้จะไม่ชื่นชอบเฟิงหย่าในตอนนั้นและไม่ต้องการให้ฉินหลิงเซียวแต่งงานกับคนของตระกูลเฟิง เขาก็ไม่เคยกระทำสิ่งใดที่เลวร้ายต่อนาง เพียงแต่ไม่พึงพอใจกับการที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันเท่านั้น
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นเรารอดูท่าทีของคนตระกูลฉินก่อนเถอะ จากนั้นเราก็หารือกันในภายหลังว่าจะรับมืออย่างไรต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น ขุมกำลังทั้งหลายในดินแดนก็ไม่เหมือนกับในอดีตอีกต่อไป นอกเหนือจากตระกูลฉินก็ยังมีขุมกำลังอื่นที่เราต้องระวังอีกด้วย”
เฟิงเหลียนเฉิงไตร่ตรองครู่หนึ่งและกล่าวกำชับกับทุกคน
แม้ตระกูลฉินจะดูเป็นศัตรูรายใหญ่ที่สุดของพวกเขาในตอนนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อขุมกำลังอื่น ๆ ได้เช่นกัน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งดินแดนก็เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นไม่น้อย แม้ว่าตระกูลเฟิงของพวกเขาจะพัฒนาจนกลายเป็นขุมกำลังระดับหนึ่งที่ทรงอำนาจแล้ว แต่แน่นอนว่ายังมีขุมกำลังอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่เกรงกลัวต่อพวกเขาและต้องการยับยั้งมิให้ตระกูลเฟิงแข็งแกร่งไปมากกว่านี้ เพราะเหตุนั้น การเก็บตัวสงบเสงี่ยมและไม่ทำสิ่งใดโจ่งแจ้งจนเกินไปจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“ไม่ต้องกังวลขอรับ พวกเราทุกคนเข้าใจดี”
ทุกคนพยักศีรษะแสดงความเข้าใจอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาเองก็ปฏิบัติตามวิถีชีวิตของการเก็บตัวสงบเสงี่ยมมาโดยตลอดและไม่เคยสร้างศัตรูรายใหม่ที่เป็นภัยคุกคามต่อตระกูลเฟิง
หลังจากรับประทานอาหารร่วมกัน ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็วางแผนจะออกไปเที่ยวชมเมือง ในช่วงที่ผ่านมา พวกนางไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตามากนัก เนื่องจากในวันแรกที่เดินทางไปที่ภัตตาคารของขุมกำลังเอกพิภพ พวกนางก็ถูกก่อกวนโดยผู้ที่แต่งตั้งตนเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน เพราะเหตุนั้นพวกนางจึงไม่ต้องการออกไปข้างนอกอีก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ในเมื่อฉินอวี้โม่ได้พบกับบุตรน้อยทั้งสองและได้พบกับบิดามารดาในภพก่อนแล้ว ฉินอวี้โม่จึงมีสภาวะอารมณ์ที่ดีมาก
เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ก็ต้องการออกไปเที่ยวชมในเมือง เถาเซี่ยวเซี่ยวเองก็เบื่อหน่ายเกินกว่าจะเก็บตัวอยู่ในเรือนที่พักได้ พวกนางจึงตัดสินใจที่จะออกไปเดินเล่นด้วยกัน
เดิมทีฉินหลิงเซียว เฟิงหย่าและคนอื่น ๆ ก็ต้องการตามไปด้วย ทว่าเฟิงเหลียนเฉิงยังมีธุระบางอย่างที่ต้องหารือกับพวกเขา เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงปล่อยให้บรรดาคนรุ่นเยาว์ออกไปกันเอง
ในฐานะนายน้อยของตระกูลเฟิง เฟิงหว่านหลี่ก็ยังต้องจัดการกับธุระกงการมากมายและแน่นอนว่าหลินหว่านหว่านก็ติดตามไปกับเขาด้วย
เพราะเหตุนั้น กลุ่มผู้ที่เดินทางไปเที่ยวเล่นและเลือกซื้อของด้วยกันจึงเป็นกลุ่มคนรุ่นเยาว์ที่นำโดยเฟิงซ่าและเฟิงยาง
“น้องอวี้โม่ หากเจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกพี่รองได้เลย พี่รองผู้นี้จะซื้อให้เจ้าเอง”
เฟิงซ่าพยายามเบียดตัวเข้ามาหลายครา ทว่าเข้ามาไม่ถึงข้างตัวฉินอวี้โม่เสียที เขาจึงทำได้เพียงเดินตามหลังและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ภูมิอกภูมิใจ
“เฟิงซ่า เจ้าทึ่ม บุรุษอย่างพวกเจ้าอยากจะไปซื้ออะไรก็เชิญเลย สิ่งที่น้องอวี้โม่ต้องการ ข้าในฐานะพี่สะใภ้คนรองจะซื้อให้นางเอง อย่ามาตามติดพวกเราให้น่ารำคาญ !”
เหอปี้เยว่ตวัดสายตามองสามีด้วยแววตาฉุนเฉียว นับเป็นครั้งที่สิบได้แล้วที่เขาพยายามกล่าวเช่นนี้และนางเริ่มเบื่อที่จะฟังคำพูดของเขาซ้ำ ๆ ยิ่งไปกว่านั้น พวกนางก็ต้องการพูดคุยกับฉินอวี้โม่ตามประสาสตรีและถึงขั้นปล่อยบุตรของตนไว้ที่เรือน เวลานี้ พวกนางเพียงเดินตามเสี่ยวอ้ายฉือ เสี่ยวอ้ายโม่และเฟิงชิงหลิงขณะพูดคุยกันอย่างออกรส
“ถูกต้อง เฟิงยาง เจ้าและพี่รองพาน้องชายเหล่านี้ไปเดินเลือกซื้อของที่อื่นเถอะ ไม่จำเป็นต้องตามพวกเรามา”
แม้แต่โหวเยว่เยว่ที่มักอ่อนโยนอยู่เสมอก็ทนพฤติกรรมของพี่รองไม่ไหว เพราะเหตุนั้น นางจึงแนะนำให้เฟิงยางพาเฟิงซ่า พี่ชายทั้งสองของเถาเซี่ยวเซี่ยวและคนจากนิกายพันปีศาจไปเลือกซื้อของที่อื่น เพื่อไม่เป็นการรบกวนเวลาเพลิดเพลินของพวกนางกลุ่มสตรีและเด็กน้อยทั้งสาม
“น้องอวี้โม่ หากต้องการสิ่งใดก็บอกพี่สะใภ้รองและพี่สะใภ้สามได้เลย ไม่ต้องเกรงใจล่ะ ข้าจะพาพี่รองและสหายทั้งหลายไปจิบชากันสักหน่อย ไว้พบกันภายหลัง”
เฟิงยางพยักศีรษะก่อนชำเลืองมองพี่รองของตนด้วยแววตารังเกียจเช่นกัน หลังจากสิ้นเสียง เขาก็ลากตัวเฟิงซ่า สองพี่น้องว่านหลิวชางและว่านหลิวอวิ๋น รวมถึงคนอื่น ๆ ไปยังโรงน้ำชาในอีกฟากหนึ่ง
“ไปกันได้เสียที ข้าล่ะรำคาญจริง ๆ”
เหอปี้เยว่โบกมือไล่หลังพวกเขาและกล่าวขึ้น นางคงเป็นเพียงคนเดียวที่ทนกับพฤติกรรมของสามีคนนี้ได้
“ชีวิตคู่ในแต่ละวันของพี่สะใภ้รองและพี่รองคงจะน่าสนใจมากเป็นแน่”
ฉินอวี้โม่กล่าวติดตลกและพอจะคาดเดาถึงบุคลิกนิสัยของญาติพี่น้องเหล่านี้ได้พอสมควร
พี่รองและพี่สะใภ้รองของนางเป็นคู่รักประเภทที่ฝ่ายหนึ่งพร้อมที่จะทะเลาะทุกเวลาและอีกฝ่ายพร้อมที่จะยอมจำนนตลอด คงมีเพียงเหอปี้เยว่เท่านั้นที่จะจัดการกับบุรุษอย่างเฟิงซ่าได้อยู่หมัด
“ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก ตระกูลเฟิงของเราเป็นตระกูลที่ผ่อนคลายและรักความสงบ น้องอวี้โม่…เจ้าจะสัมผัสได้เองในอนาคต”
เหอปี้เยว่กังวลว่าฉินอวี้โม่จะเบื่อหน่ายจึงแตะมือนางเบา ๆ และกล่าวแทนเฟิงซ่า
“ข้าทราบดีเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม การอาศัยอยู่ในตระกูลเฟิงและปรับตัวเข้ากับพวกเขาเป็นเรื่องที่เรียบง่ายมาก บรรดาพี่ชายและพี่สะใภ้เหล่านี้ก็เป็นคนที่ตรงไปตรงมา สำหรับตระกูลที่มีลักษณะเช่นนี้ มิอาจคาดเดาเลยว่าเหตุใดผู้นำตระกูลฉินในตอนนั้นจึงได้ดูแคลนพวกเขานัก ?
ระหว่างพูดคุยกัน ฉินอวี้โม่และคณะก็มาถึงหน้าภัตตาคารของขุมกำลังเอกพิภพอีกครา