หลังจากที่ฉินอวี้โม่และทุกคนพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวาในห้องโถงเป็นพักใหญ่ ว่านหรูชู ว่านเฉินซีและคนอื่น ๆ ก็เดินตามคนของตระกูลเฟิงเข้ามาข้างใน
“พี่อวี้โม่ !”
เถาเซี่ยวเซี่ยวปรี่เข้าไปหาฉินอวี้โม่ด้วยท่าทางที่ตื่นเต้น
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างฉินอวี้โม่และตระกูลเฟิง พ่อบ้านของตระกูลเฟิงก็ได้เล่ารายละเอียดให้กับเถาเซี่ยวเซี่ยวและคนอื่น ๆ ในระหว่างทางมาที่นี่ และทุกคนก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับการที่ฉินอวี้โม่ได้พบกับบิดามารดาที่พลัดพรากจากกันไป
“อวี้โม่ ยินดีด้วยที่เจ้าได้พบกับครอบครัวที่พลัดพรากและได้อยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้ง”
ว่านหรูชู ว่านเฉินซีและทุกคนกล่าวแสดงความยินดีกับฉินอวี้โม่พร้อมกับเผยสีหน้าที่จริงใจออกมา
“ท่านจ้าวนิกาย หากคนที่นิกายพันปีศาจได้ทราบเรื่องนี้ ทุกคนจะต้องยินดีกับท่านอย่างแน่นอนขอรับ”
เฉินคุนก็มีความสุขเช่นกัน บรรดาผู้อาวุโสของนิกายพันปีศาจล้วนทราบดีว่าฉินอวี้โม่ต้องเผชิญกับประสบการณ์ชีวิตเช่นไรก่อนที่จะมาถึงที่ดินแดนนี้ได้ ในตอนนี้ การที่นางได้พบกับบิดามารดาและญาติพี่น้องทั้งหลาย อีกทั้งพวกเขายังเป็นคนจากตระกูลทรงอิทธิพลเช่นตระกูลเฟิง กล่าวได้ว่ามันเป็นเรื่องดีสำหรับฉินอวี้โม่มาก
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบทุกคนโดยไม่กล่าวสิ่งใด สำหรับนาง เหตุการณ์นี้ถือเป็นผลประโยชน์ที่ได้มาโดยที่ไม่คาดคิด สำหรับเรื่องบิดามารดาของชิงเหอ นางก็มีความคิดตั้งแต่แรกว่าจะสืบหาเบาะแสของพวกเขาเมื่อมาถึงที่โลกแห่งเทพ เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับพวกเขาโดยเร็วเช่นนี้
“ในเมื่อเสี่ยวอวี้โม่เป็นหลานสาวของข้า หลังจากนี้ตระกูลเฟิงของเรา นิกายหมื่นกระบี่และนิกายพันปีศาจก็จะกลายเป็นพันธมิตรที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ในภายภาคหน้า เราจะมุ่งมั่นพัฒนาและร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน”
เฟิงเหลียนเฉิงกล่าวขึ้นและแสดงจุดยืนของตระกูลเฟิงอย่างชัดเจน
“แน่นอนขอรับ เดิมทีพวกเรานิกายหมื่นกระบี่และนิกายพันปีศาจก็เป็นพันธมิตรกันแล้ว ตอนนี้การที่จะได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับตระกูลเฟิงอีก มันย่อมเป็นเกียรติต่อพวกเรา”
ว่านหรูชูกล่าวพร้อมรอยยิ้ม แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางปฏิเสธข้อเสนอที่ดีเช่นนี้ การได้ก่อตั้งพันธมิตรร่วมกับตระกูลเฟิงจะเป็นสิ่งที่ดีต่อทั้งนิกายหมื่นกระบี่และนิกายพันปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย
“ทุกคนอาจยังไม่ทราบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต ไว้ให้เสี่ยวโม่เอ๋อร์เล่าให้ฟังอย่างละเอียดในภายหลังก็แล้วกัน ทว่าในงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของข้าในครานี้ ข้าคิดว่าจะมีใครบางคนก่อปัญหาสร้างความวุ่นวายขึ้นมาอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ทุกคนก็อาจจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
เฟิงเหลียนเฉิงกล่าวต่อโดยที่ไม่คิดปิดบังจากว่านหรูชูและทุกคน
ยิ่งไปกว่านั้น ว่านหรูชูก็อาจจะทราบถึงเรื่องนี้เช่นกัน ถึงอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นในครานั้นก็เป็นเรื่องใหญ่และวุ่นวายมาก นิกายหมื่นกระบี่และนิกายพันปีศาจเองก็เป็นขุมกำลังที่ก่อตั้งมานาน การที่จะรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจึงมิใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด
เป็นจริงดังที่คิดไว้ ว่านหรูชูทราบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตจริง เพียงแต่เขายังต้องทำความเข้าใจรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงเพิ่มเติม
เวลานี้ ตระกูลเฟิงได้ทำข้อตกลงเป็นพันธมิตรร่วมกันกับพวกเขาแล้ว ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อไป พวกเขาก็จะยืนอยู่เคียงข้างตระกูลเฟิงอย่างไม่ลังเล !
“นี่คืออ้ายฉือและอ้ายโม่สินะ ? มานี่สิ มาให้ยายดูหน้าใกล้ ๆ สิ”
ว่านเฉินซีสังเกตเห็นเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง นางจึงโบกมือเรียกให้เด็กทั้งสองเข้ามาหา
นางต้องการพบหน้าบุตรทั้งสองของฉินอวี้โม่มานานแล้ว ถึงอย่างไรคราก่อนก็มีเพียงเถาเซี่ยวเซี่ยวที่ออกไปรับตัวเด็กน้อยทั้งสองกับฉินอวี้โม่และพวกนางไม่ได้ไปด้วยกัน หลังจากได้ฟังบุตรสาวคุยจ้อตลอดช่วงเย็นของวัน นางจึงสนใจและใคร่รู้เกี่ยวกับเด็กทั้งสองมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในช่วงที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่ก็ฝึกฝนตามคำชี้แนะของว่านอู๋เริ่นมาโดยตลอดและใช้เวลาอยู่กับพวกนางเป็นประจำ กอปรกับความสนิทสนมระหว่างนางและเถาเซี่ยวเซี่ยว ว่านเฉินซีและว่านหรูชูจึงมองฉินอวี้โม่เป็นเหมือนบุตรสาว และบุตรของฉินอวี้โม่ก็กลายเป็นเหมือนหลานของนางไปโดยปริยาย
“ท่านยาย ท่านตา ท่านลุงทั้งสอง ท่านอา”
เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสมาชิกของนิกายหมื่นกระบี่จากมารดาแล้ว พวกเขาจึงก้าวออกไปทักทายทุกคนอย่างว่าง่าย
“ช่างสง่างามจริง ๆ และเหมือนพี่อวี้โม่มากเลย”
เมื่อวานนี้ เถาเซี่ยวเซี่ยวยังไม่มีโอกาสได้สังเกตรูปลักษณ์ของเด็กทั้งสองอย่างละเอียด เมื่อได้พบกันอีกครั้งในวันนี้ นางก็ตระหนักว่าเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่มีรูปลักษณ์ที่สง่างามและโดดเด่นอย่างมาก แน่นอนว่าทายาทรุ่นเยาว์ของตระกูลเฟิงทุกคนล้วนมีรูปลักษณ์ที่ชวนหลงใหลเช่นกัน ทว่าคนเหล่านั้นก็ยังด้อยกว่าเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่อยู่เล็กน้อย
ในเวลานี้ ว่านเฉินซีและว่านหรูชูก็หยิบของขวัญที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมายื่นให้กับเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่พร้อมรอยยิ้ม เมื่อเห็นเช่นนั้น เด็กทั้งสองจึงกล่าวขอบคุณพวกนางอย่างพร้อมเพรียงซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสุภาพและความน่าเอ็นดู
“คารวะนายน้อยและคุณหนูขอรับ”
คนของนิกายพันปีศาจก็ประกบกำปั้นทั้งสองเข้าด้วยกันและโค้งคำนับตรงหน้าเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ ในเมื่อฉินอวี้โม่เป็นจ้าวนิกายพันปีศาจ บุตรทั้งสองของนางย่อมเป็นนายน้อยและคุณหนูของพวกเขาไปโดยปริยาย สำหรับผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งจ้าวนิกายในอนาคตนั้น ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวอ้ายฉือหรือเสี่ยวอ้ายโม่ พวกเขาก็จะยอมจำนนและจงรักภักดีอย่างไม่มีเงื่อนไข
“ท่านตาและท่านลุงทั้งหลาย ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้นหรอกขอรับ”
เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ยังคงรักษามารยาทที่ดีเยี่ยม
“ท่านจ้าวนิกายขอรับ ข้าอยากจะส่งสาส์นกลับไปแจ้งผู้อาวุโสคนอื่น ๆ เพื่อให้พวกเขาเตรียมความพร้อม หลังจากเรากลับไป เราจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับนายน้อยและคุณหนูทั้งสอง ท่านคิดว่าอย่างไรขอรับ ?”
เฉินคุนมองฉินอวี้โม่และกล่าวขึ้น
“ทำตามที่ต้องการเถิด”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม นี่เป็นสิ่งที่นางวางแผนไว้ตั้งแต่ต้นแล้วเช่นกัน นางสามารถเก็บตัวสงบเสงี่ยมและปิดบังสถานะของตนเองได้ ทว่าไม่ควรทำให้บุตรของตนได้รับผลกระทบไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อมีคนตระกูลเฟิงช่วยดูแลคุ้มครองอีกแรง เชื่อว่าต่อให้ตัวตนของเด็กทั้งสองถูกเปิดเผยออกไปก็มีเพียงน้อยคนที่จะกล้าคิดร้ายกับพวกนาง !
“รับทราบ ท่านจ้าวนิกาย !”
เฉินคุนยิ้มกว้างก่อนแยกตัวออกไปส่งข่าวกลับไปที่นิกายพันปีศาจ
จากนั้นทุกคนก็ออกไปพูดคุยกันในลานข้างนอกต่ออีกประมาณสองก้านธูปก่อนสมาชิกของตระกูลอื่น ๆ ตามเข้ามา
กลุ่มที่เดินนำหน้าเข้ามาคือตระกูลของหลัวเหม่ยยวี่—ตระกูลหลัวซึ่งเป็นหนึ่งในขุมกำลังระดับหนึ่งของดินแดน
ด้านหลังพวกเขาคือตระกูลของหลินหว่านหว่าน ตระกูลของเหอปี้เยว่และตระกูลของโหวเยว่เยว่ที่ตามมาอย่างใกล้ชิด นอกเหนือจากตระกูลโหว อีกสองตระกูลล้วนเป็นขุมกำลังระดับหนึ่ง เพียงแต่เป็นขุมกำลังระดับหนึ่งที่ไม่ได้ทรงพลังมากนัก
ทุกคนก้าวเข้ามาในลานของเรือนและสายตาจับจ้องไปที่ฉินอวี้โม่และบุตรทั้งสองโดยอัตโนมัติ
“ท่านลุง พวกนางคือใครหรือ ?”
ท่ามกลางคณะของตระกูลหลัว หลัวเลี่ยง—พี่ชายของหลัวเหม่ยยวี่ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลหลัวในปัจจุบันเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้เนื่องจากยังไม่ทราบถึงตัวตนของฉินอวี้โม่และเด็กแฝดทั้งสอง
“ท่านพี่ นี่คือเสี่ยวอวี้โม่ ส่วนเด็กทั้งสองก็คือลูกของอวี้โม่…เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ อวี้โม่คือลูกสาวของเฟิงหย่าและถือเป็นหลานสาวของข้า นางคือคุณหนูของตระกูลเฟิง”
ก่อนที่เฟิงเหลียนเฉิงจะมีโอกาสเอ่ยตอบ หลัวเหม่ยยวี่ก็ได้กล่าวแนะนำตัวตนของฉินอวี้โม่ให้พี่ชายของตนได้ทราบและเน้นย้ำถึงความสำคัญของฉินอวี้โม่
“ลูกสาวของเฟิงหย่าอย่างนั้นหรือ ?”
ทุกคนตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนความสุขปรากฏบนใบหน้า
“หลังจากที่เวลาผ่านมาเนิ่นนาน ในที่สุดน้องเฟิงหย่าก็ได้พบกับลูกสาวที่หายสาบสูญไปเสียที สวัสดีอวี้โม่ ข้าเป็นพี่ชายของท่านป้าของเจ้า—หลัวเลี่ยง และข้าก็สนิทสนมกับพ่อแม่ของเจ้าไม่น้อย แม้จะไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด หากเจ้าไม่รังเกียจก็เชิญเรียกข้าว่าท่านลุงเหมือนกับเฟิงหว่านหลี่และเด็กเหลือขอทั้งสองได้เลย ไม่ต้องห่วงล่ะ ในอนาคตเจ้าจะถือเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฟิง หากผู้ใดริอาจรังแกหรือทำให้เจ้าไม่พอใจ มันก็ไม่ต่างจากการหาเรื่องตระกูลหลัวและข้าจะไม่ยอมอยู่เฉยแน่ !”
หลัวเลี่ยงเรียกสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็วและไม่ปิดบังความเอ็นดูที่มีต่อฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย ในขณะเดียวกัน เขาก็แสดงให้เห็นถึงจุดยืนของตระกูลหลัวเช่นกัน
“ใช่ พวกเราก็เช่นกัน ในภายภาคหน้า เจ้าจะถือเป็นสมาชิกของพวกเราตระกูลใหญ่ทั้งหลาย หากผู้ใดรังแกเจ้า อย่าได้ลังเลที่จะบอกเรา เราทุกคนจะช่วยสะสางปัญหาทุกอย่างให้เอง !”
ตระกูลหลิน ตระกูลโหวและตระกูลเหอล้วนแสดงทัศนคติในทำนองเดียวกันก่อนหยิบของขวัญออกมาจากแหวนมิติเพื่อยื่นให้กับฉินอวี้โม่และบุตรทั้งสองของนาง