เมื่อฉินอวี้โม่และเด็กน้อยทั้งสามมาถึง พวกนางก็ได้เห็นภาพที่หลัวเหม่ยยวี่กำลังบิดหูเฟิงฉงและบ่นอุบอย่างไม่หยุดหย่อน
เสี่ยวอ้ายโม่หันมองเสี่ยวอ้ายฉือด้วยสายตาเยาะเย้ยถากถางทันที
เห็นได้ชัดว่าบุรุษตระกูลเฟิงดูจะตกเป็นเบี้ยล่างของภรรยา แม้เสี่ยวอ้ายฉือจะไม่มีสายเลือดของตระกูลเฟิงอยู่ในร่างกาย ทว่าดูจากท่าทางที่จนปัญญาของเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าเฟิงชิงหลิง นางก็ทราบดีว่าเขามิใช่คนที่จะกลัวภรรยา หากแต่เป็นประเภทที่เอาอกเอาใจและตามใจภรรยามากกว่า
เมื่อคืนนี้ เสี่ยวอ้ายโม่ก็เอ่ยถามมารดาเช่นกันว่าหากเสี่ยวอ้ายฉือและเฟิงชิงหลิงตกลงปลงใจกัน ทั้งสองจะเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินได้หรือไม่
คำตอบของฉินอวี้โม่คือนางไม่คัดค้านหากว่าทั้งสองจะครองรักกัน ถึงอย่างไร ตอนนี้นางก็เกิดใหม่เป็นอีกคนแล้ว เสี่ยวอ้ายโม่และเสี่ยวอ้ายฉือเป็นบุตรของนางในชีวิตนี้ เพราะเหตุนั้นทั้งสองจึงไม่มีสายเลือดที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเฟิง หากเด็กน้อยทั้งสองตกลงปลงใจกันจริง มันก็มิใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เสี่ยวอ้ายฉือเข้าใจความหมายในสายตาของเสี่ยวอ้ายโม่เป็นอย่างดี ทว่าเขาก็เพิกเฉยต่อนางไป เขาเพียงชำเลืองมองไปยังเฟิงชิงหลิงผู้ซึ่งกระตุกแขนเสื้อของตนด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และส่ายศีรษะด้วยสีหน้าที่รังเกียจ
ยัยทึ่มนี่ หากผู้ใดตบแต่งกับนาง เกรงว่านางคงยึดเงินทองจนหมดไม่มีเหลือเป็นแน่ !
ณ บริเวณหน้าเรือนของเฟิงฉง เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เดินใกล้เข้ามา หลัวเหม่ยยวี่ก็ปล่อยมือจากหูของสามีและเดินตรงออกไปอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีเสี่ยวอวี้โม่ ข้าคือป้าของเจ้า…หลัวเหม่ยยวี่ เจ้าช่างงดงามยิ่งนักและดูดียิ่งกว่าพวกเด็กเหลือขอของข้าเสียอีก”
“…”
บรรดา ‘เด็กเหลือขอ’ ที่หลัวเหม่ยยวี่กล่าวถึงทำได้เพียงตกตะลึงกับภาพที่เห็น มารดาของพวกเขาอ่อนโยนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด ? ทุกคราที่พบกัน นางมักมองพวกเขาด้วยสายตารังเกียจและทำท่าทางราวกับปรารถนาที่จะอยู่ห่างจากพวกเขาให้มากที่สุด เป็นไปได้รึไม่ว่าพวกเขาทำสิ่งใดผิดไป ?
“อวี้โม่คารวะท่านป้าเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรและความอ่อนโยนของหลัวเหม่ยยวี่ นางจึงกล่าวตอบก่อนดึงบุตรน้อยทั้งสองคุกเข่าลงเพื่อโค้งคำนับต่อหลัวเหม่ยยวี่
เด็กน้อยทั้งสองก็เอ่ยเรียกท่านยายด้วยเสียงหวาน สีหน้าท่าทางที่น่ารักน่าชังของทั้งสองทำให้หัวใจของหลัวเหม่ยยวี่แทบละลายอยู่กับที่
“ลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องมีพิธีรีตองมากถึงเพียงนั้น”
หลัวเหม่ยยวี่ประคองให้ฉินอวี้โม่ลุกขึ้นมาและมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า จากนั้นสายตาของนางก็เลื่อนไปที่เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่อีกคราก่อนยื่นมือออกไปสวมกอดด้วยความเอ็นดู
“เสี่ยวอ้ายโม่ก็งดงามนัก ไม่ต่างจากแม่ของเจ้าเลย ส่วนเสี่ยวอ้ายฉือเองก็หล่อเหลาไม่แพ้กัน เมื่อโตขึ้น เจ้าจะต้องหล่อเหลาและดูดีกว่าบรรดาลุง ๆ ของเจ้าอย่างแน่นอน”
หลัวเหม่ยยวี่มองเด็กน้อยทั้งสองด้วยแววตาเอาอกเอาใจและกล่าวชื่นชมอย่างไม่หยุดหย่อน
“…”
วาจาของนางทำให้เฟิงหว่านหลี่ เฟิงซ่าและเฟิงยางนึกสงสัยในชีวิตของพวกตนขึ้นมา ก่อนหน้านี้ สถานะของพวกเขาในครอบครัวก็ถือว่าต่ำต้อยมากแล้วและตอนนี้พวกเขาคงจะอยู่ในสามอันดับรั้งท้าย พวกข้าคงมิใช่ลูกแท้ ๆ ของท่านแม่เป็นแน่ ไม่มีทางเลย !
หลังจากคิดได้เช่นนั้น เฟิงยางและเฟิงซ่าก็ก้าวออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทว่าเฟิงยางกลับเป็นฝ่ายที่กล่าวแทรกขึ้นก่อน “อวี้โม่ ข้าคือพี่สามเฟิงยาง ส่วนนี่คือภรรยาของข้านามว่าโหวเยว่เยว่และลูกทั้งสองคนของเรา”
ใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มกว้างเนื่องจากกังวลว่าจะสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อฉินอวี้โม่
โหวเยว่เยว่คือสตรีเยาว์วัยที่ดูอ่อนโยนอย่างยิ่งและดูมีอายุอยู่ในช่วงยี่สิบปี ตระกูลโหวเป็นเพียงขุมกำลังระดับสองที่ไม่ทรงพลังมากนัก เฟิงยางและโหวเยว่เยว่ก็พบกันโดยบังเอิญเมื่อครั้งที่ออกไปฝึกฝนในโลกภายนอกและตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น ตระกูลเฟิงก็มีทัศนคติที่แตกต่างไปจากตระกูลฉินและไม่ดูแคลนตระกูลโหวเพียงเพราะพวกเขาอ่อนแอเกินไป เพราะเหตุนั้น ทั้งสองจึงได้ครองคู่กันในที่สุด
ทั้งสองมีบุตรด้วยกันสองคนซึ่งเป็นบุตรชายอายุสอบขวบครึ่งและบุตรสาวอายุหนึ่งขวบ ในตอนนี้ โหวเยว่เยว่กำลังอุ้มบุตรสาวที่กำลังหลับใหลในอ้อมกอด ในขณะที่บุตรชายเกาะริมเสื้อของนางไว้แน่นขณะมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้
“ท่านคือท่านอาหรือ ?”
เฟิงเสี่ยวเสี่ยว—เด็กชายอายุสองขวบครึ่งเอ่ยปากและกะพริบตากลมโตด้วยท่าทางที่ดูจะถูกชะตากับฉินอวี้โม่
“มานี่สิ มาให้อากอดสักหน่อย”
ฉินอวี้โม่ยื่นมือออกไปดึงร่างเฟิงเสี่ยวเสี่ยวเข้ามากอดและจิ้มแก้มนุ่มของเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู
รูปลักษณ์ของทายาทตระกูลเฟิงดูไร้ที่ติอย่างยิ่ง เด็กน้อยเหล่านี้ดูจ้ำม่ำเจ้าเนื้อ เพียงเห็นแวบแรกก็ทราบได้ทันทีว่าพวกเขามิใช่คนช่างเลือกและสามารถเลี้ยงดูได้ง่าย
“ว้าว น้องสาวของข้าน่ารักมากเลย ท่านป้าสาม ข้าขออุ้มน้องจะได้รึไม่ ?”
เสี่ยวอ้ายโม่มองเฟิงเนี่ยนเนี่ยนในอ้อมแขนของโหวเยว่เยว่ด้วยแววตาเป็นประกายก่อนเอ่ยถามโหวเยว่เยว่ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“มาสิ ป้าจะสอนวิธีอุ้มเด็กให้กับเจ้า”
โหวเยว่เยว่ก็ไม่กลัวว่าบุตรสาวในอ้อมแขนจะสะดุ้งตื่นขึ้นมา ถึงอย่างไร บุตรสาวของนางก็มักหลับลึกอยู่เสมอ ต่อให้เป็นฟ้าร้องก็ไม่สามารถปลุกนางขึ้นมาได้
“เฟิงยาง เจ้าน้องอวดดี เจ้าจะแนะนำตัวก่อนข้าได้อย่างไรกัน ?!”
เฟิงซ่าตะโกนด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวและมองเฟิงยางตาเขม็ง เขาเอ่ยปากช้าไปเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ทว่ากลับถูกน้องชายแซงหน้าไปเสียก่อน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพี่รอง แล้วเขาจะปล่อยให้น้องสาวคนใหม่ทำความรู้จักกับพี่สามก่อนตนได้อย่างไร ?
“เฟิงซ่า เจ้าทึ่มเอ๋ย ทำอะไรของเจ้ากัน ? น้องสาวของข้ากลัวหมดแล้ว !”
เหอปี้เยว่ก้าวเข้ามาหยิกเอวของสามีทันที ทว่าใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มกว้าง
“น้องอวี้โม่ อย่ากลัวไปเลย พี่รองของเจ้าไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวน่ะ อย่าถือสาเขาเลย ข้าคือพี่สะใภ้คนรองของเจ้า นามว่าเหอปี้เยว่ หากต้องการสิ่งใดก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ หลังจากที่ผ่านระยะเวลามาเนิ่นนาน ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกัน เพราะฉะนั้นเราก็ควรจะสนิทสนมกันไว้ ไม่ต้องเกรงใจล่ะ อีกอย่าง…เจ้าชอบกินอะไร ? เจ้าแพ้อาหารอะไรหรือไม่ ? และปกติเวลาว่างเจ้าชอบทำอะไร ?”
เหอปี้เยว่จับมือฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยความกระตือรือร้นอย่างไม่ปิดบัง
ไม่ว่าในตระกูลโหวหรือตระกูลเหอ พวกนางก็เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวและไม่เคยมีน้องสาวมาก่อน พวกนางทราบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตและรู้สึกสงสารบุตรสาวของเฟิงหย่าเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังได้ปฏิญาณไว้ในใจว่าหากได้พบกับน้องสาวที่พลัดพราก พวกนางจะปฏิบัติต่อนางเช่นน้องสาวแท้ ๆ ของตนและเอาอกเอาใจให้ดีที่สุด
ฉินอวี้โม่ก็ทักทายทั้งสองพร้อมรอยยิ้มและมีความเข้าใจเกี่ยวกับพี่ชายและพี่สะใภ้เพิ่มมากขึ้น
โหวเยว่เยว่เป็นสตรีที่สุขุม พูดน้อยและอ่อนโยนมากกว่า ในขณะที่เหอปี้เยว่เป็นสตรีที่ตรงไปตรงมาและอารมณ์ร้อน เฟิงซ่าและเฟิงยางเองก็มีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันเล็กน้อย แม้ทั้งสองจะมีบุคลิกที่ตรงไปตรงมาและกระตือรือร้นเหมือนกัน ทว่าเฟิงยางก็ดูจะอ่อนไหวมากกว่า
เป็นจริงดังสำนวนที่ว่าไว้ ‘มิใช่คนพวกเดียวกันย่อมไม่ไปสุมหัวอยู่ด้วยกัน’ เห็นได้ชัดว่าสมาชิกของตระกูลเฟิงล้วนรู้สึกถูกชะตาและชื่นชอบฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก
“เอาล่ะ เอาล่ะ เราเข้าไปพูดคุยกันข้างในเถอะ อย่าไปเซ้าซี้น้องของพวกเจ้ามาก”
เฟิงฉงก้าวออกมาข้างหน้าและกล่าวขึ้นเพื่อให้ทุกคนเข้าไปพูดคุยกันต่อภายในเรือน
ที่นี่คืออาณาเขตที่พักชั้นใน นอกเหนือจากตระกูลเฟิงก็ไม่มีผู้ใดเข้ามาที่นี่ได้ เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงไม่กังวลว่าตัวตนของฉินอวี้โม่จะถูกเปิดเผยหรือมีผู้ใดค้นพบเข้า
ทุกคนพยักศีรษะและเดินตรงเข้าไปด้วยกัน
ภายในโถงกว้าง เฟิงหย่าและฉินหลิงเซียวกำลังนั่งอยู่ทางด้านซ้าย เฟิงเหลียนเฉิงก็นั่งอยู่บนบัลลังก์หลักตรงกลาง ในขณะที่เฟิงหว่านหลี่และหลินหว่านหว่านนั่งลงในอีกฝั่งหนึ่ง
เมื่อเห็นทุกคนเดินเข้ามา เฟิงหว่านหลี่และหลินหว่านหว่านก็ลุกขึ้นยืนทันที
เมื่อครู่นี้ เฟิงหย่าและฉินหลิงเซียวก็ได้ยินวาจาของทุกคนข้างนอกและรู้สึกประทับใจกับปฏิกิริยาของทุกคนมาก
เดิมทีพวกนางกังวลว่าตระกูลเฟิงจะไม่ยินดีกับการกลับมาของฉินอวี้โม่ ทว่าเห็นได้ชัดแล้วว่าพวกนางกังวลไปเองทั้งสิ้น
“อวี้โม่ เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่ ?”
เฟิงเหลียนเฉิงผู้ซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์หลักเอ่ยถามด้วยท่าทางที่เอ็นดูหลานสาวอย่างมาก
“ท่านตา ข้าหลับสบายดีเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้หลับสบายเช่นนี้มานานแล้ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้กับเฟิงเหลียนเฉิงและกล่าวตามความจริง ภายในจวนตระกูลเฟิง นางมีความรู้สึกผูกพันบางอย่างและรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งกับที่นี่ซึ่งช่วยให้นางผ่อนคลายได้โดยสมบูรณ์และหลับสนิทอย่างไร้กังวล
“นั่นเป็นเรื่องที่ดี เอาล่ะ คนของนิกายหมื่นกระบี่และนิกายพันปีศาจก็คงจะมาถึงในไม่ช้า”