หลังจากได้ทราบถึงเรื่องราวความยากลำบากที่ฉินอวี้โม่ต้องเผชิญตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกคนก็อดรู้สึกหดหู่และเศร้าเสียใจไปกับนางไม่ได้
หลังจากนำทางนางไปยังห้องนั่งเล่นและพูดคุยต่ออีกพักใหญ่ เฟิงหย่าก็พาฉินอวี้โม่ไปยังเรือนที่พักเดิมของตนในอดีต การได้พบกับบุตรสาวที่พลัดพรากจากกันมิใช่เรื่องง่าย เพราะเหตุนั้นจึงเป็นธรรมดาที่นางจะต้องการใช้เวลาอยู่ร่วมกันให้มากที่สุด
เวลานี้ เสี่ยวอ้ายฉือ เสี่ยวอ้ายโม่และเฟิงชิงหลิงก็ออกไปเที่ยวเล่นซื้อของกับหลินหว่านหว่าน ในขณะที่ฉินอวี้โม่พูดคุยกับเฟิงหย่าและฉินหลิงเซียวอยู่ภายในเรือน
“โม่เอ๋อร์ ข้าได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่าเจ้าไม่ได้ข่าวคราวของแม่ผู้ให้กำเนิดในชีวิตนี้ และเจ้ามาที่โลกแห่งเทพเพื่อตามหานางใช่หรือไม่ ?”
เฟิงหย่าจับมือฉินอวี้โม่ไว้แน่น เพียงนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับบุตรสาวก่อนหน้านี้ ความเศร้าใจและความสงสารที่นางมีต่อฉินอวี้โม่ก็ทวีคูณมากขึ้น
ในชีวิตก่อน บุตรสาวผู้นี้พลัดพรากจากนางตั้งแต่ยังไม่รู้ประสีประสา และชีวิตนี้ก็ยังต้องพลัดพรากจากมารดาซึ่งเป็นสิ่งที่ทำใจรับได้ยากยิ่งนัก
ทว่าตอนนี้ ในเมื่อได้พบกันแล้ว เฟิงหย่าก็ตั้งใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อชดเชยให้กับเวลาที่เสียไปและไม่ยอมให้ผู้ใดรังแกนางโดยเด็ดขาด
แน่นอนว่าผู้ที่ฉินอวี้โม่รักและห่วงใยก็คือญาติพี่น้องของพวกนางเช่นกัน เรียกได้ว่าบิดามารดาของฉินอวี้โม่ในชีวิตนี้ก็เปรียบเสมือนดั่งพี่น้องของพวกนาง
เมื่อทราบว่าฉินอวี้โม่พยายามตามหามารดาทว่าไม่มีเบาะแสที่เป็นประโยชน์ พวกนางจึงต้องการช่วยเหลือ
“เจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ท่านพ่อของข้าพาเสี่ยวอ้ายโม่มาที่นี่ก่อน ท่านทั้งสองคงจะได้พบเขาแล้ว ส่วนท่านแม่ ข้าไม่ทราบว่านางถูกจับตัวไปโดยผู้ใด จนถึงตอนนี้ข้าจึงยังไม่มีเบาะแสใด ก่อนมาที่โลกแห่งเทพ ข้าก็พยายามตามหานางตามดินแดนต่าง ๆ ทว่าก็ยังตามหานางไม่พบ เมื่อได้เบาะแสที่แม้จะเลือนราง ข้าจึงมาที่นี่…”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและเล่าเรื่องของมารดาให้ฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าได้ทราบอย่างละเอียด
“โม่เอ๋อร์ ไม่ต้องกังวลไปเลย ข้าจะส่งคนออกไปสืบเรื่องนี้ หากได้เบาะแสอย่างไร ข้าจะบอกเจ้าทันที ไม่ต้องคิดมากล่ะ บางคราการไม่มีข่าวคราวก็ถือเป็นข่าวที่ดีที่สุดแล้ว อีกไม่นาน ครอบครัวใหญ่ของเราจะได้รวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างแน่นอน !”
ฉินหลิงเซียวกล่าวเพื่อปลอบประโลมฉินอวี้โม่ ตราบใดที่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ในโลกแห่งเทพ พวกเขาจะสืบหาข่าวของนางได้อย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาทุกคนจะได้อยู่กันพร้อมหน้าและกลายเป็นครอบครัวที่อบอุ่น
สำหรับฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋น เฟิงหย่าและฉินหลิงเซียวรู้สึกซาบซึ้งใจต่อพวกเขาอย่างมาก ทั้งสองเป็นบิดามารดาที่ประเสริฐ แม้ไม่สามารถดูแลบุตรอยู่ข้างกายได้ พวกเขาก็ยอมเสียสละตนเองเพื่อปกป้องพวกนางซึ่งเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่ความชื่นชม
“เจ้าค่ะ ข้าเองก็เชื่อว่าวันนั้นจะมาถึงในอีกไม่นาน”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะพร้อมรอยยิ้ม นางเชื่อว่าวันที่รอคอยจะมาถึงในเร็ววัน เมื่อถึงตอนนั้น นางจะได้พบกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้าเสียที…
“อีกอย่าง…ข้าได้ยินว่าเจ้าเดินทางมาที่โลกแห่งเทพพร้อมกับสหายอีกหลายคนใช่รึไม่ ? เราจะช่วยตามหาเบาะแสของพวกเขาอีกแรง”
เมื่อนึกถึงฉินอี้เฟยและคนอื่น ๆ เฟิงหย่าก็กล่าวเสริมขึ้นมา
“ขอบคุณท่านแม่และท่านพ่อเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณทั้งสองอย่างจริงใจ
“เด็กโง่เอ๋ย ต้องขอบคุณอะไรกันเล่า ? นี่ถือเป็นสิ่งที่พ่อแม่อย่างเราควรกระทำ”
เฟิงหย่าและฉินหลิงเซียวคลี่ยิ้มและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
เมื่อพลบค่ำ เสี่ยวอ้ายฉือและคนอื่น ๆ ก็กลับมาถึงเรือนและทุกคนรับประทานอาหารค่ำร่วมกัน หลังจากนั้น เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ก็ต้องการนอนกับมารดา และแน่นอนว่าฉินอวี้โม่ก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน
เด็กน้อยทั้งสองเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว และหลังจากที่ทักทายบรรดาอสูรมายาทั้งหมด พวกนางก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนแรงขึ้นมาเนื่องจากติดตามอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่และพูดคุยกับนางอย่างไม่หยุดหย่อนตลอดทั้งวัน
“ท่านแม่ เมื่อไหร่กันที่เราจะได้พบกับท่านพ่อ ? ข้าคิดถึงท่านพ่อมากเลย”
เสี่ยวอ้ายโม่เอนร่างเล็ก ๆ พิงแขนของฉินอวี้โม่และกะพริบดวงตากลมโตพร้อมกับแสดงสีหน้าที่เศร้าสร้อย
“ท่านพ่อจะมาพบกับเราในอีกไม่กี่วัน ตอนนี้เราเพียงต้องพัฒนาฝีมือให้แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อที่จะช่วยท่านพ่อได้ !”
เสี่ยวอ้ายฉือกล่าวออกมาด้วยทัศนคติที่ดูราวกับเป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็กขณะเอนกายพิงแขนอีกข้างหนึ่งของฉินอวี้โม่ แม้ไม่แสดงอากัปกิริยาออดอ้อนเช่นเสี่ยวอ้ายโม่ ทว่าเขาก็จับมือมารดาไว้แน่นและไม่ยอมปล่อยแม้เสี้ยวอึดใจ
“อ้ายฉือพูดถูก สิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้คือการที่ไม่ทำให้พ่อของพวกเจ้าต้องเป็นกังวลหรือพะวงเรื่องของพวกเรา หลังจากนี้เราจะตามหาท่านตาท่านยายให้พบก่อน จากนั้นค่อยหาทางไปที่โลกปีศาจเพื่อช่วยพ่อของพวกเจ้า”
ฉินอวี้โม่จิ้มแก้มนุ่มของบุตรน้อยทั้งสองอย่างเอ็นดู ในตอนนี้ เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่มีอายุมากกว่าแปดขวบแล้วและจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอีกไม่กี่ปี หากสถานการณ์ในโลกแห่งเทพคลี่คลายโดยเร็ว อีกไม่นานพวกนางก็อาจต้องแยกจากกัน ทว่าหากสถานการณ์ยืดเยื้อและไม่ลงตัว นางก็จะมีโอกาสได้มองดูทั้งสองเติบโตไปด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ในภายภาคหน้า ฉินอวี้โม่ไม่คิดที่จะพาบุตรน้อยทั้งสองไปที่โลกปีศาจด้วยกัน ทั้งสองยังอ่อนแอเกินไป แม้มีคฤหาสน์เฟิงหัวที่ลึกลับเกินหยั่งถึงอยู่ด้วย มันก็ไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของทั้งสองได้ เพราะเหตุนั้น ทางที่ปลอดภัยที่สุดคือการให้พวกเขาอยู่ที่โลกแห่งเทพต่อไปภายใต้การคุ้มกันดูแลของบิดามารดาของนาง
“คนพวกนั้นที่คิดร้ายกับเราตลอดเวลาเป็นคนที่ชั่วร้ายยิ่งนัก ในอนาคตเมื่อข้าแข็งแกร่งมากพอ ข้าจะกวาดล้างคนพวกนั้นให้เรียบและแสดงให้เห็นว่าข้าทรงพลังเพียงใด !”
เสี่ยวอ้ายโม่ยกกำปั้นเหวี่ยงไปมาด้วยท่าทางดุร้ายซึ่งทำให้ทั้งฉินอวี้โม่และเสี่ยวอ้ายฉือหัวเราะพรืดออกมา
หลังจากพูดคุยกันอีกพักใหญ่ มารดาและบุตรทั้งสองก็เข้านอน ทว่าในเช้าตรู่วันต่อมา ทั้งสามก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเฟิงชิงหลิงที่ดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่วิ่งปรี่เข้ามาทันทีที่ตื่นนอน
“ท่านอา ท่านอาเจ้าคะ ท่านปู่ท่านย่าและท่านอาทั้งสองกลับมาแล้ว ท่านปู่สั่งให้ข้ามาเรียกท่านอาไปพบเจ้าค่ะ”
เฟิงชิงหลิงกล่าวอย่างกระตือรือร้น นางเองก็ต้องเปลี่ยนสรรพนามการเรียกฉินอวี้โม่ให้ถูกต้องเช่นกัน ก่อนจะจับมือฉินอวี้โม่ไว้ นางรู้สึกชื่นชอบท่านอาผู้นี้เป็นอย่างมากจริง ๆ
ฉินอวี้โม่ก็จิ้มแก้มนุ่มของเด็กสาวด้วยความเอ็นดู หลังจากที่ทุกคนอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย พวกนางก็เดินตรงไปยังเรือนของเฟิงฉงด้วยกัน
ในเวลานี้ ภายในบริเวณเรือนของเฟิงฉง ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันบริเวณทางเข้าด้วยท่าทางที่กระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด
“เฟิงฉง ข้าบอกว่าข้าจะไปหานางด้วยตัวเอง แต่เจ้ากลับยืนกรานให้ข้ารออยู่ที่นี่ เจ้าคิดว่าเสี่ยวอวี้โม่เป็นสตรีที่จะตื่นกลัวกับอะไรง่าย ๆ รึ ?”
ในเวลานี้ สตรีงามวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งดูมีอายุอยู่ในช่วงสี่สิบปีกำลังยืนอยู่ข้างกายเฟิงฉงและบิดหูของเขาด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์
“เหม่ยยวี่ มีผู้คนที่กำลังมองดูอยู่ตั้งมากมาย ไว้หน้าข้าหน่อยเถอะ ข้าสั่งให้หลิงเอ๋อร์ไปเรียกเสี่ยวอวี้โม่มาที่นี่แล้ว อีกประเดี๋ยวก็คงจะมาถึง อย่ารีบร้อนไปนักเลย”
เฟิงฉงกล่าวปลอบประโลมสตรีวัยกลางคนด้วยน้ำเสียงที่จนปัญญาเล็กน้อย สตรีผู้นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นภรรยาของเฟิงฉง—หลัวเหม่ยยวี่ผู้ครองตำแหน่งภรรยาของผู้นำตระกูลเฟิงในปัจจุบันนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น นางก็เป็นน้องสาวของผู้นำตระกูลหลัวคนปัจจุบัน โดยตระกูลหลัวเป็นขุมกำลังระดับหนึ่งที่อ่อนแอกว่าตระกูลเฟิงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและจัดเป็นขุมกำลังที่อยู่ในสิบอันดับแรกของดินแดน
หลัวเหม่ยยวี่และเฟิงฉงรักกันดีมาเสมอและเติบโตมาพร้อมกับเฟิงหย่า พวกเขาจึงมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันดี เมื่อทราบว่าเฟิงหย่าพบบุตรสาวที่หายสาบสูญไปนาน แม้จะรู้สึกตื่นเต้นไม่มากเท่าเฟิงหย่า ทว่าความตื่นเต้นของนางก็ไม่ได้น้อยกว่านัก ทันทีที่กลับมาถึง นางก็ต้องการเข้าไปพบฉินอวี้โม่ด้วยตัวเอง ทว่าถูกสามีปรามไว้เสียก่อน
“ท่านพ่อ ท่านจะทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปทำไมกัน ? เราทั้งหมดสามารถเข้าไปหาน้องอวี้โม่ได้ด้วยตัวเองทว่าท่านกลับสั่งให้รออยู่ที่นี่ น้องอวี้โม่เองก็ผ่านเรื่องราวมามากมาย นางจะกลัวพวกเราได้อย่างไร ? อีกอย่าง…เราก็ถือเป็นพี่น้องกับนางและเพียงจะมอบความรักความเอ็นดูให้กับนางเท่านั้น แล้วเราจะทำให้นางกลัวได้อย่างไรกัน ?”
สตรีผู้ซึ่งอยู่ในช่วงวัยยี่สิบปีกล่าวขึ้น นางคือเหอปี้เยว่—ภรรยาของบุตรคนรองของเฟิงฉง—เฟิงซ่า และข้างกายของนางก็คือเฟิงซ่าที่ยืนอุ้มทารกน้อยที่ดูมีอายุเพียงหนึ่งขวบในอ้อมแขน
นอกเหนือจากพวกนางก็ยังมีอีกครอบครัวหนึ่งยืนอยู่เช่นกัน พวกเขาคือครอบครัวสี่คนของเฟิงยางซึ่งเป็นน้องสามของเฟิงหว่านหลี่