ตอนที่ 2,637 : ความลึกลับของฉินอวี่
ถึงแม้จะเคยอยู่เมืองเฉวี่ยโยวเหมือนกัน ทว่าต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่นั้นกล่าวไปก็เป็นเพียงคนรู้จักเท่านั้น ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมากมาย
จนเมื่อเกิดเรื่องราว ‘ช่วยชีวิต’ ขึ้นในระหว่างการเดินทางมาเมืองประจำมณฑล ทำให้ฉินอวี่รู้สึกติดค้างต้วนหลิงเทียน และมองเห็นต้วนหลิงเทียนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง
ตอนนี้พอได้ยินเสียงคุยจากกลุ่มคนรอบข้าง เลยอดห่วงต้วนหลิงเทียนขึ้นมาไม่ได้
‘ว่ากันไปแล้ว…คนอย่างต้วนหลิงเทียนไหนเลยจะไม่ฉุกคิดถึงเรื่องนี้แต่แรก’
อย่างไรก็ตามในขณะที่ห่วงกังวล ฉินอวี่ก็ฉุกคิดอะไรขึ้นได้ ว่าต้วนหลิงเทียนไม่มีทางไม่รู้เลยว่าการลงมือทำร้ายโจวเฟยแบบนี้จะมีปัญหาตามมา…
‘แต่ถ้ารู้อยู่แล้ว ไฉนถึงทำแบบนี้เล่า?’
‘ทำถึงขนาดนี้ไม่เพียงแต่จะละเมิดกฏในหลุมมังกรซ่อนของผู้ว่า ยังจะบาดหมางกับผู้พิทักษ์จวนอย่างโจวทงอีก…ไม่ฉลาดเอาซะเลย!’
ฉินอวี่ส่ายหัววไปมาอย่างอดไม่ได้ สุดท้ายยิ่งคิดมากเท่าไหร่ก็ได้แต่คลี่ยิ้มเจื่อนๆมากขึ้นเท่านั้น
นั่นเพราะมันไม่เข้าใจจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนคิดอะไรอยู่กันแน่
“ดูเหมือนหลุมมังกรซ่อนเรากำลังจะคึกครื้นครั้งใหญ่แล้วจริงๆ”
“ต้วนหลิงเทียนจากเมืองเฉวี่ยโยวนั่นมาถึงไม่ทันไรก็ทำให้หลุมมังกรซ่อนที่สงบดั่งบอโบราณของเราปั่นป่วนทันที…ไม่ทราบพอโจวทงกลับมาแล้วรู้ว่าลูกชายบุญธรรมโดนดีแบบนี้มันจะทำอย่างไร?”
“ด้วยฐานะผู้พิทักษ์ของโจวทงไหนเลยยังต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพียงแค่เอ่ยปากกับท่านผู้ว่าสักคำ เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ยากจะรอดตัวไปได้”
“ข้าก็คิดเหมือนเจ้า”
…
เสียงสนทนารอบข้างยังดังระงมเข้าหูฉินอวี่ไม่หยุด
หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ ในที่สุดแต่ละคนก็ค่อยๆทยอยกันแยกย้ายกลับไปยังห้องบ่มเพาะของตัวเอง
สำหรับฉินอวี่นั้น มันเลือกห้องบ่มเพาะด้านบนสุดของหลุมมังกรซ่อน
ถึงแม้ว่ามันเองก็อยากได้ห้องศิลาที่มีสภาพแดล้อมในการบ่มเพาะดีๆ
แต่มันไม่ได้ลงมือโดยวู่วาม เพียงต้องการทำความเข้าใจกับพลังฝีมือคนอื่นๆเสียก่อน ถึงจะรู้ว่าห้องศิลาบ่มเพาะที่เหมาะสมกับกำลังของมันคือห้องใด…
สุดท้ายมันก็ไม่เหมือนกับต้วนหลิงเทียนที่มีพลังฝีมือมากพอจะบดขยี้ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ขอบเขตจินเซียนทั้งหมดในมณฑลจิ่วโยว!
ฟุ่บ!
หลังจากหยิบป้ายประตูที่ติดหน้าห้องบ่มเพาะว่างด้านบนสุดมา ฉินอวี่ก็จ่ายพลังเพื่อใช้มันเปิดประตูแล้วเข้าไปด้านในทันที
ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของห้องศิลาแห่งนี้จะด้อยที่สุดในหลุมมังกรซ่อน
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับกระโจมแม่ทัพสมัยที่มันอยู่ในค่ายกองทัพมังกรดำแล้ว ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลย กระทั่งยังถือว่าดีกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ
‘หวังว่าต้วนหลิงเทียนจะมีวิธีรับมือปัญหาที่จะตามมาหลังจากนี้…’
ก่อนที่จะเริ่มบ่มเพาะพลัง ฉินอวี่อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องของต้วนหลิงเทียนขึ้นมาอีกครั้ง
แต่มันรู้ดีว่ามันกังวลไป ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
อาศัยพลังฝีมือของมัน ไม่มีหนทางไหนจะช่วยต้วนหลิงเทียนได้เลย
‘หากไม่ใช่เพราะว่าสถานการณ์ของข้ามัน…ไม่งั้นคิดจะช่วยต้วนหลิงเทียนก็ง่ายนิดเดียว! ลำบากแค่เอ่ยหนึ่งคำเท่านั้น…’
ทันใดนั้นราววกับนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา สีหน้าฉินอวี่ก็มืดลงเล็กน้อย
‘หวังว่าผู้ว่ากับโจวทงจะไม่ทำอะไรเกินเลย…ไม่งั้นวันหน้าข้าจะให้ทั้งตระกูลของพวกมันไร้ที่ฝัง!’
ทันใดนั้นสองตาฉินอวี่ก็เผยประกายเยียบเย็นออกมูบวาบ
ทั่วร่างยังแผ่ความน่าเกรงขามประการหนึ่ง ให้ความรู้สึกราวกับองค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ กำลังเหลือบมองสรรพชีวิตเบื้องล่างอย่างไร้แยแส
จากนั้นหลังสงบสติอารมณ์ได้ ฉินอวี่กก็เริ่มต้นบ่มเพาะพลังอย่างตั้งใจ
ณ ชั้นล่างสุดของหลุมมังกรซ่อน ภายในห้องศิลาที่มีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะดีที่สุด
‘ช่างเป็นพลังวิญญาณฟ้าดินที่หนาแน่นอะไรจะขนาดนี้!’
พอเข้ามาในห้องศิลาสิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนกระทำก็คือเบิกตากว้างเล็กน้อยด้วยความตกใจ เพราะด้านในช่างมีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นเหลือเกิน หลังดังสติได้สีหน้าก็ฉายชัดให้เห็นถึงความตื่นเต้นยินดี
‘กลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นบริบูรณ์แบบนี้…แข็งแกร่งกว่ากลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินในคฤหาสน์ของอาวุโสเจิ้งชิวไม่น้อยเลย!’
‘สมแล้วที่มันเทียบได้กับสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของผู้ว่ากับผู้พิทักษ์…เป็นสถานที่ๆดีต่อการบ่มเพาะพลังจริงๆ’
หลังสูดหายใจเข้าลึกๆไม่กี่ครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงศิลาในห้อง แววตาที่เลื่อนลอยคล้ายเหม่อคิดอะไรบางอย่าง อยู่ๆก็เปลี่ยนเป็นแหลมคม ทอแสงสว่างขึ้นวาบหนึ่ง
‘ห้องศิลาแห่งนี้จะเป็นที่ๆข้าใช้บ่มเพาะตลอดเวลาที่อยู่ในมณฑลจิ่วโยว…ใครก็แย่งมันไปไม่ได้!’
สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะที่ดี ย่อมส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าโดยตรง
และหากจะมองไปทั้งมณฑลจิ่วโยวแล้ว สถานที่บ่มเพาะอันมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะดีที่สุดก็ไม่พ้นสถานที่บ่มเพาะส่วนตัวของผู้ว่ากับผู้พิทักษ์
เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนที่ได้สถานที่บ่มเพาะอันเทียบได้กับสถานที่ทั้ง 2 นั่นมา จึงไม่อยากจะย้ายไปไหน
หวังให้ตลอดเวลาที่อยู่ในมณฑลจิ่วโยว เขาจะได้ใช้สถานที่แห่งนี้ในการบ่มเพาะตลอดไป!
‘หากบ่มเพาะพลังที่นี่…อีกไม่นานข้าต้องทะลวงถึงขอบเขตจินเซียนได้แน่!’
เมื่อสัมผัสได้ถึงความหนาแน่นของพลังวิญญาณฟ้าดินในห้อง ต้วนหลิงเทียนก็มั่นใจว่าจะสร้างความก้าวหน้าได้อีกครั้งในเวลาอันสั้นแน่นอน!
และเป็นความก้าวหน้าจากขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์ไปยังขอบเขตจินเซียน
คิดได้ดังนั้น ต้วนหลิงเทียนก็หยิบศิลาอมตะระดับสูออกมา แล้วเริ่มหลับตาบ่มเพาะพลังทันที
“ผลึกรัศมีลี้ลับ!”
วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!
…
หากมีใครมายืนอยู่ข้างๆ จะเห็นได้ทันที…
ว่ารอบตัวของต้วนหลิงเทียนนั้น ปรากฏพลังวิญญาณฟ้าดินกรูกันเข้ามาอย่างแน่นหนา รวมถึงกลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินที่แผ่ซ่านออกมาจากหินอมตะระดับสูงในมือ ก็หลั่งไหลเข้าสู่ช่องพลังมากมายทั่วร่างราวน้ำวนขนาดย่อม…
เมื่อพลังวิญญาณฟ้าดินนหลั่งไหลเข้าร่างแล้ว พวกมันก็โคจรหมุนเวียนแล่นผ่านชีพจรสวรรค์ทั้ง 99 ตามเคล็ดวิชาผลึกรัศมีลี้ลับ ขัดเกลาแปรเปลี่ยนเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่กระจ่างใสทั้งทอแสงเรืองๆ
การเปลี่ยนแปลงยังดำเนินไปทุกขณะเวลา พลังเซียนอมตะถูกสั่งสมเพิ่มเติมในร่างต้วนหลิงเทียนไม่หยุดหย่อน
เรื่องราวภายในห้องศิลาแห่งนี้ดำเนินไปอย่างสงบราบรื่นนัก…
อย่างไรก็ตามสำหรับคนอื่นในหลุมมังกรซ่อนด้านนอก เรื่องราวความสงบทั้งหมดตอนนี้เป็นเพียงความสงบก่อนพายุจะเข้า!
แม้จวนผู้ว่าการจะมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล หากแต่ข่าวเรื่องราววจากปากต่อปากนั้นน่ากลัวเหลือเกิน ไม่ทันไรก็แพร่กระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้าในจวน!
“สหาย เจ้าได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในหลุมมังกรซ่อนรึยัง?”
“ได้ยินแล้วๆ วันนี้ตอนข้าแวะไปหาแม่นางฝ่ายต้อนรับ ข้าได้ยินมาว่าสองจินเซียนหนุ่มอายุไม่ถึงร้อยปีที่อาวุโสเจิ้งชพาตตัวกลับมาจากเมืองเฉวี่ยโยวช่างดุร้ายเอาเรื่องนัก! พึ่งไปถึงหลุมมังกรซ่อนวันแรก หนึ่งในนั้นก็ถึงขั้นตัดแขนตัดขาโจวเฟยลูกบุญธรรมผู้พิทักษ์โจวทงอย่างไม่ไว้หน้า…แม้แขนขานั่นจะต่อได้แต่ก็จริง แต่นับว่าส่งผลกระทบไม่น้อยเลย”
“ใช่ๆ ข้าจะเอาเรื่องนี้มาโม้เจ้าพอดี…ให้ตายเถอะไม่คิดเลยว่ายังมีจินเซียนหนุ่มร้ายกาจขนาดนี้อยู่ในโลกด้วย เจ้าเองก็รู้ว่าเมืองเฉวี่ยโยวมันกันดารเพียงใด แถมโจวเฟยก็มิใช่ชนชั้นต่ำทราม พลังยังบรรลุจินเซียนตะวันเหลือง ทั้งมณฑลจิ่วโยวข้าไม่เคยได้ยินว่ามีจินเซียนอายุน้อยกว่าร้อยปีคนใดจะเทียบมันได้เลย”
“บางทีนี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ด้านนอกยังมีอัจฉริยะบุคคลที่ไม่พบพานอีกมาก”
“ใช่ ครานี้นับว่าต้วนหลิงเทียนจากเมืองเฉวี่ยโยวได้แจ้งเกิดแล้วจริงๆ อีกไม่นานชื่อเสียงต้องระบือไปทั้งมณฑลจิ่วโยวเราแน่…”
“นั่นสิ ตอนนี้ข้าเกรงว่าในจวนเราคงไม่มีใครไม่รู้เรื่องนี้ และอีกสักพักพอข่าวแพร่ออกนอกจวนไป ไม่พ้นสายจากเมืองต่างๆก็ได้รับทราบแน่นอน”
“จริง เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนจะดังไปทั้งมณฑลขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น…”
…
วาจาดังทำนองดังกล่าวดังขึ้นไปทั่วจวนผู้ว่า
“เจ้าหนูนั่น…ก่อเรื่องใหญ่แล้วจริงๆ!”
พอข่าวดังกล่าวแพร่ไปถึงหูเจิ้งชิว อาวุโสฝ่ายในที่พาต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่มาจากเมืองเฉวี่ยโยว มันก็ถึงกับตกตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มแห้งๆออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ไอ้หนูเอย…พึ่งมาถึงแท้ๆ ไฉนไม่หัดสงบเสงี่ยมเจียมตัวหน่อยเล่า เจ้าจะทุบตีโจวเฟยชิงห้องที่ดีที่สุดก็กระทำไปไม่มีผู้ใดว่า ไยต้องลงมือดุร้ายถึงขั้นหั่นแขนขาผู้คนเสียอย่างนั้นกัน! นี่มันผิดต่อกฏที่ท่านผู้ว่าตราไว้เพราะไม่อยากให้มีการรังแกผู้ที่ด้อยกว่าแล้ว..”
“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังต่างอะไรกับลูบคมโจวทงนั่นเข้าอย่างจัง!”
“เจ้าหนู…นับว่าทำให้ข้าไปไม่เป็นแล้วจริงๆ แบบนี้ข้าจะช่วยเจ้าอย่างไร คงได้แต่ภาวนาให้เจ้าเถอะ…”
หลังพึมพำกล่าวไปด้วยความอับจนพักหนึ่ง เจิ้งชิวก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนล้า
ถึงแม้มันจะมีความประทับใจอันดีต่อต้วนหลิงเทียนไม่น้อย และคิดจะคอยช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนเป็นพิเศษในบางเรื่อง
แต่คราวนี้เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนก่อ นับว่าเกินกำลังมันจะช่วยจริงๆ
ภายในห้องรับรองของคฤหาสน์ผู้พิทักษ์จวนผู้ว่า โจวทง…
“เจ้าว่าอะไรนะ ท่านพ่อบุญธรรมของข้าออกไปตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนยังไม่กลับรึ?”
หลังถูกทำร้าย โจวเฟยก็หอบหิ้วความคับข้องใจเดินทางมาที่นี่หมายฟ้องบิดาบุญธรรมอย่างโจวทงทันที แต่พอได้รับทราบจากผู้ดูแลในบ้าน สีหน้ามันก็อดไม่ได้ที่จะมืดคล้ำดำลง…
“แล้วนี่ท่านพ่อบุญธรรมไปทำธุระที่ใดกันแน่…ไฉนไม่ได้แจ้งอะไรไว้เลย?”
โจวเฟยกล่าวถามผู้ดูแลเสียงเข้ม
“เรียนนายน้อยโจวเฟย ครานี้ท่านผู้พิทักษ์เหมือนจะรีบร้อนจากไปจริงๆขอรับ และไปที่ใดก็ไม่มีใครทราบกระทั่งผู้ว่าเองยังไม่ทราบด้วยขอรับ…หากไม่ใช่เพราะว่าผู้ถามเป็นท่าน ข้าน้อยเองก็ไม่กล้ารายงานเรื่องที่ท่านผู้พิทักษ์ไม่อยู่หรอกขอรับ เพราะเรื่องนี้ท่านผู้พิทักษ์ได้กำชับไว้แล้วว่าห้ามมิให้ข้าน้อยบอกผู้ใดขอรับ…”
ผู้ดูแลอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มแหยๆออกมา
“หึ! ท่านพ่อบุญธรรมไม่อยู่ เช่นนั้นข้าไปหาผู้ว่าก็ได้!”
“อย่างไรเสียตัวบัดซบต้วนหลิงเทียนนั่นก็ถือได้ว่าละเมิดกฏที่ผู้ว่าตั้งไว้! ให้มันรู้ไปวว่าผู้ว่าจะยังเฉยอยู่ได้!!”
ด้วยบิดาบุญธรรมเดินทางไปไหนไม่ทราบเป็นการลับและไม่มีกำหนดกลับ โจวเฟยก็ไม่อาจทำอะไรได้…อย่างไรก็ตามเพราะถูกความโกรธแค้นครอบงำจิตใจ มันย่อมไม่คิดปลอยเรื่องนี้ไปง่ายๆ
เช่นนั้นหลังจากออกจากคฤหาสน์ขอโจวทงแล้ว มันก็ไปหาผู้ว่าทันที!
“ท่านผู้ว่าการประจำมณฑล…ท่านต้องคืนความเป็นธรรมให้ข้าน้อย!”
ภายในห้องโถงหลักของที่ว่าการประจำมณฑล โจวเฟยที่รอเข้าพบอยู่สักพัก พอได้เข้ามาในโถงมันก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าผู้ว่าการที่ง่วนอยู่กับเอกสาร กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ยินยอม
ผู้ว่าการประจำมณฑลจิ่วโยวมีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคนร่างสูง สวมใส่ไว้ด้วยชุดคลุมปักลายมังกรสีเงิน ใบหน้าเหลี่ยมดั่งตัวอักษรกั๋ว คิ้วหนาตากลมโต หว่างคิ้วไม่ขาดความสง่าผ่าเผย
(กั๋ว =国)