เมื่อกลับถึงจวนตระกูลเฟิง เสี่ยวอ้ายโม่และเสี่ยวอ้ายฉือก็ตรงไปพบมารดาทันที
เวลานี้ ฉินอวี้โม่ เฟิงหย่าและฉินหลิงเซียวกำลังพูดคุยกันอยู่ภายในห้อง
“เกิดอะไรขึ้นหรือ ?”
เมื่อเห็นใบหน้าบูดบึ้งของเสี่ยวอ้ายโม่ ฉินอวี้โม่ก็บีบแก้มบุตรสาวตัวน้อยเบา ๆ และเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้
“ท่านแม่ ทายสิว่าพวกเราพบใครเมื่อครู่ ?”
เสี่ยวอ้ายโม่เอนกายพิงแขนของมารดาและกล่าวด้วยใบหน้าที่ยังคงบูดบึ้ง
“พวกเจ้าพบใครหรือ ?”
ฉินอวี้โม่สงสัยใคร่รู้ยิ่งนัก ใครกันที่ทำให้เสี่ยวอ้ายโม่ที่มักอารมณ์ดีอยู่เสมอแสดงสีหน้าที่บูดบึ้งเช่นนี้ได้ ?
“ท่านพ่อของท่านตาเจ้าค่ะ”
แน่นอนว่าเสี่ยวอ้ายโม่ไม่เรียกฉินหยวนว่าท่านทวด ทว่านางเลือกที่จะกล่าวว่าเขาคือบิดาของฉินหลิงเซียว ราวกับไม่ต้องการเอ่ยเรียกด้วยสรรพนามที่ดูสนิทสนมเช่นนั้น
“ท่านพ่องั้นรึ ? อะไรกัน นี่เขาทำร้ายเจ้าอย่างนั้นหรือ ?!”
ใบหน้าของฉินหลิงเซียวกลายเป็นเย็นชาทันที เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างเขาและฉินหยวนก็อยู่ในระดับทั่วไป ทว่าหากฉินหยวนรังแกเด็กน้อยทั้งสอง มันจะกลายเป็นกรณีอื่นทันที !
“มิใช่เจ้าค่ะ เขาช่วยข้าไว้”
แม้เสี่ยวอ้ายโม่จะไม่ชอบท่านทวดที่เป็นเหตุทำให้มารดาของตนต้องเผชิญกับชะตากรรมอันเลวร้ายและทำให้ท่านตาท่านยายต้องเจ็บปวดใจ นางก็มิใช่เด็กโกหก ต่อให้ฉินหยวนจะไม่เข้ามาขวางไว้ นางก็สามารถเอาตัวรอดเองได้ อย่างไรก็ตาม เขาก็เข้ามาช่วยชีวิตนางไว้จริงและนั่นเป็นสิ่งที่มิอาจปฏิเสธได้
ทันใดนั้น ฉินอวี้โม่ก็ทราบถึงเหตุผลที่ทำให้เสี่ยวอ้ายโม่ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ผู้ที่นางเกลียดชังอาจจะมิได้เป็นอย่างที่เห็นภายนอกและบางเรื่องอาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอีกมาก ฉินอวี้โม่จึงยังไม่ต้องการตัดสินท่านปู่ผู้นี้
“แล้วเจ้าได้กล่าวขอบคุณเขาหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม แม้ความรู้สึกที่นางมีต่อฉินหยวนจะค่อนข้างซับซ้อนเช่นกัน การรักษามารยาทไว้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี
จากวาจาของฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่า นางคาดเดาได้ไม่ยากว่าฉินหยวนจะต้องเป็นคนหัวรั้นไม่ยอมใครอย่างแน่นอน สำหรับเหตุการณ์ในอดีตครานั้น แม้มันจะไม่เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรง จุดยืนของเขาก็มีส่วนในเรื่องนั้นไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม หากมิใช่เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น นางก็คงไม่ได้พบกับหานโม่ฉือและไม่ได้มีบุตรน้อยทั้งสองคนนี้
แม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นความผิดของฉินหยวนอยู่ส่วนหนึ่ง เขาก็ไม่เคยกระทำสิ่งใดที่เป็นการทำร้ายนางโดยตรง เพราะเหตุนั้น ความรู้สึกของฉินอวี้โม่ที่มีต่อเขาจึงไม่ชัดเจนนัก
“ขอบคุณแล้วเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่จริงใจนักหรอก ในอดีต เขาทำให้ท่านตาท่านยายต้องเจ็บปวดทุกข์ใจเป็นอย่างมากและเราก็เป็นเหลนของเขา การที่เขาช่วยชีวิตพวกเราไว้ก็ถือว่าถูกต้องแล้ว อีกอย่าง ต่อให้เขาไม่ช่วย ข้าก็หลบหนีได้อย่างง่ายดายเจ้าค่ะ”
เสี่ยวอ้ายโม่ตอบอย่างตรงไปตรงมาและไม่ปิดบังความรู้สึกที่มีต่อฉินหยวน
“เล่าให้แม่ฟังสิว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร”
ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าเสี่ยวอ้ายโม่ไม่ต้องการคำปลอบประโลม นางจึงไม่กล่าวสิ่งใดอีกและเอ่ยถามออกไปเนื่องจากสงสัยเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่นั่น
เสี่ยวอ้ายโม่ก็เอ่ยปากและเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
“ผิดปกติทีเดียว การคุ้มกันของเมืองจูเฟิงเข้มงวดมากและไม่ควรจะมีอสูรมายาที่ไร้เจ้าของหลุดเข้ามาได้ การที่อสูรมายาปรากฏกายเช่นนั้นและยังมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะมองอย่างไร มันก็ดูจะเป็นแผนการที่ใครบางคนเตรียมเอาไว้”
เฟิงหย่าขมวดคิ้วมุ่นเนื่องจากรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนจงใจทำร้ายหลานของตน ถึงอย่างไรก็ไม่ควรที่จะมีอสูรมายาที่คลุ้มคลั่งหลุดเข้ามาในเมืองจูเฟิงได้
“ข้าพอจะรู้ว่าเป็นฝีมือของใคร”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากขึ้นมา เนื่องจากพอจะคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้
นับตั้งแต่เดินทางมาที่เมืองจูเฟิง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีเรื่องบาดหมางกับนาง และเนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างนางและเด็กทั้งสอง ผู้ที่คิดทำร้ายเสี่ยวอ้ายโม่จะต้องเกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้นอย่างแน่นอน หากคาดเดาไม่ผิด มันจะต้องเกี่ยวข้องกับฉินอิงและฉินอวี๋ !
“ใครรึ ?”
เฟิงหย่าและฉินหลิงเซียวก็แสดงสีหน้าโกรธเคืองขึ้นมาทันที เพียงคิดได้ว่ามีใครบางคนที่จ้องจะทำร้ายหลานของพวกตน ทั้งสองก็ปรารถนาที่จะปลิดชีวิตอีกฝ่ายด้วยตัวเอง
“ฉินอวี๋ !”
ฉินอวี้โม่เปิดเผยชื่อของฉินอวี๋ออกไปทันที แม้ฉินอิงจะมิใช่คนดี ทว่าในฐานะผู้อาวุโสหกของตระกูลฉิน เขายังต้องรักษาภาพพจน์และคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบในทุกฝีก้าว เพราะเหตุนั้น เขาคงจะไม่โง่เขลาพอที่จะวางแผนทำสิ่งใดบุ่มบ่ามเช่นนี้
ในทางตรงกันข้าม ฉินอวี๋เป็นสตรีที่มีจิตใจคับแคบเป็นอย่างมากและนางจะต้องเป็นผู้ที่ลงมือกระทำในสิ่งที่ชั่วร้ายและน่ารังเกียจในครานี้อย่างแน่นอน !
“ฉินอวี๋…บุตรสาวของฉินหลาง !”
เฟิงหย่าอาจไม่ทราบถึงรายละเอียดมากนัก ทว่าฉินหลิงเซียวก็ต้องทราบเกี่ยวกับเรื่องภายในของตระกูลฉินเป็นอย่างดี ทันทีที่ได้ยินชื่อของฉินอวี๋ เขาก็รับรู้ว่านางเป็นใคร
ฉินหลาง—ผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลฉิน เขาเป็นผู้ที่มีอำนาจรองลงมาจากฉินหยวนเพียงคนเดียวเท่านั้น และบุตรสาวคนเดียวของเขา—ฉินอวี๋ก็ตั้งตนเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลมาตลอดและครอบครองทรัพยากรจำนวนมากของตระกูลฉิน
แม้ฉินหลิงเซียวจะเหนื่อยหน่ายเกินกว่าที่จะสนใจฉินหลาง ทว่านั่นก็มิได้หมายความว่าเขาจะไม่ทราบเรื่องราวเหล่านี้ เดิมทีงานฉลองวันคล้ายวันเกิดครานี้ก็มีจุดประสงค์เพื่อสะสางความบาดหมางที่มีต่อฉินหลางเช่นกัน ทว่าในเมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว เขาก็มิอาจทนรอได้อีกต่อไป !
ปัง !
“ตาเฒ่านั่น เขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราต้องแยกจากโม่เอ๋อร์และตอนนี้บุตรสาวของเขาก็ยังกล้าคิดทำร้ายหลานของเราอีก ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก !”
เฟิงหย่าตบโต๊ะอย่างแรงและกล่าวถึงฉินหลางด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยโทสะ
ไม่มีทางที่เรื่องในอดีตจะไม่เกี่ยวข้องกับฉินหลางโดยตรง เดิมทีพวกนางก็วางแผนที่จะเปิดศึกกับฉินหลางตั้งแต่ตอนนั้น ทว่าเกิดเรื่องบางอย่างในตระกูลฉินและทำให้ฉินหยวนต้องออกตัวปกป้องเขา เพราะเหตุนั้น ฉินหลิงเซียวจึงจัดการกับฉินหลางไม่สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ในครานี้ ต่อให้ฉินหยวนยืนกรานที่จะปกป้องฉินหลางเช่นเดิม พวกเขาก็จะทำให้บุรุษผู้นั้นชดใช้อย่างสาสมให้ได้ !
“เสี่ยวอ้ายโม่ เสี่ยวอ้ายฉือ อย่าหงุดหงิดไปเลย เมื่อถึงงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของท่านทวด เราจะคิดบัญชีกับพวกเขาเอง”
ฉินหลิงเซียวกล่าวกับหลานทั้งสองเนื่องจากไม่ต้องการเห็นพวกนางแสดงสีหน้าบึ้งตึง
ทั้งสองเพียงทำหน้าฉุนเฉียวอีกครู่หนึ่งเท่านั้นก่อนเลิกคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ในขณะเดียวกัน ฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าก็มองฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าต้องการจะหารือบางอย่าง
“ท่านแม่ เราขอเข้าไปเล่นกับพี่เสี่ยวเฮยและพี่อสูรทั้งหลายในคฤหาสน์เฟิงหัวนะเจ้าคะ”
จากนั้นเสี่ยวอ้ายโม่และเสี่ยวอ้ายฉือก็เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวโดยตรงเพื่อพูดคุยเล่นสนุกกับเสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ เพราะเหตุนั้น ภายในห้องจึงเหลือเพียงฉินอวี้โม่และบิดามารดาของนางเท่านั้น
“อวี้โม่ ท่านปู่ของเจ้าเป็นคนฉลาด อีกไม่นานเขาก็คงจะคาดเดาได้ว่าเจ้าเป็นใครและมาถึงหน้าประตูของเรา เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าคิดที่จะยอมรับเขาหรือไม่ ?”
เฟิงหย่าจับมือฉินอวี้โม่และเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
อันที่จริง สำหรับพ่อสามีเช่นฉินหยวน เฟิงหย่าก็ไม่ได้รู้สึกประทับใจนัก
อย่างไรก็ตาม หลังจากแต่งงานกับฉินหลิงเซียว แม้ฉินหยวนจะไม่ชื่นชอบนาง เขาก็ไม่ปล่อยให้คนในตระกูลฉินรังแกหรือกดขี่ข่มเหงนางได้ เพราะเหตุนั้น เฟิงหย่าจึงไม่ได้อคติกับเขามากนัก
ความไม่พอใจของฉินหยวนในตอนนั้นเป็นเพียงเพราะนางมาจากตระกูลเฟิงที่ยังอ่อนแอเกินไปและมองว่านางไม่คู่ควรกับบุตรชายเพียงคนเดียวของตน
หากเขาเป็นบุคคลที่ชั่วช้าจริง ๆ ฉินหยวนก็คงจะบดขยี้ตระกูลเฟิงไปแล้วและทำทุกวิถีทางเพื่อมิให้ฉินหลิงเซียวแต่งงานกับนางได้ หากมองจากเรื่องนี้ นับว่าพ่อสามีผู้นี้ก็เป็นคนที่ดีในระดับหนึ่ง
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับทัศนคติของเขาเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและไม่ปฏิเสธว่าตนยังให้โอกาสฉินหยวนได้ ทว่านางก็ต้องการรอดูทัศนคติและจุดยืนของเขาก่อน
หากฉินหยวนยังเป็นเหมือนในอดีตและหัวรั้นอย่างไม่มีเหตุผล นางก็จะไม่ยอมรับในตัวเขา ทว่าหากฉินหยวนเปลี่ยนไปและขอโทษบิดามารดาของนางเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในครานั้น นางก็จะยอมรับเขาในฐานะท่านปู่
ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าฉินหลิงเซียวซึ่งเป็นคนกลางจะต้องลำบากใจไม่น้อย ถึงอย่างไร เขาก็ยังรักและชื่นชมบิดาของตน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพื้นเพภูมิหลังของภรรยา ความสัมพันธ์ระหว่างบุตรชายและบิดาจึงต้องแตกหักกัน ถึงแม้ว่าหากเกิดการต่อสู้ขึ้น เขาจะเลือกยืนเคียงข้างฉินอวี้โม่และเฟิงหย่าอย่างไม่ลังเล ฉินหลิงเซียวก็ยังรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องยืนอยู่ในฝั่งตรงข้ามกับผู้เป็นบิดา
ในขณะที่ทั้งสามพูดคุยกัน ใครคนหนึ่งก็เข้ามาแจ้งว่าฉินหยวนปรากฏตัวอยู่ที่นี่แล้ว