ภายในโถงกว้าง เฟิงเหลียนเฉิงนั่งอยู่บนบัลลังก์หลักประจำตำแหน่งและฉินหยวนก็ปรากฏอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน แม้ทั้งสองฝ่ายจะไม่กล่าวสิ่งใด ทว่าแรงกดดันที่มองไม่เห็นก็แผ่ออกมาระหว่างคนทั้งสองซึ่งทำให้เฟิงฉงและคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ใกล้เคียงรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก
ในฐานะสองยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของดินแดน พลังอำนาจของเฟิงเหลียนเฉิงและฉินหยวนย่อมบรรลุถึงระดับที่เหนือจินตนาการ เมื่อนับร้อยปีก่อน ความแข็งแกร่งของเฟิงเหลียนเฉิงยังด้อยกว่าฉินหยวนมาก ทว่าตอนนี้เขาแกร่งกล้ามากพอที่จะต่อกรกับฉินหยวนได้แล้ว
“เฮอะ ไม่ทราบว่าลมอะไรหอบผู้นำตระกูลฉินมาถึงที่นี่ได้ ช่างเป็นเกียรติแก่พวกเราตระกูลเฟิงโดยแท้ !”
เฟิงเหลียนเฉิงแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชันอย่างไม่ปิดบัง
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเป็นเช่นนี้มาเสมอและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตครานั้นทำให้จุดยืนของพวกเขาไม่ต่างจากน้ำกับไฟ เพียงแค่พวกเขาไม่เข้าปะทะกันตั้งแต่พบหน้า มันก็ถือว่าดีมากแล้ว
“ตาแก่เฟิง เหตุใดจะต้องประชดประชันด้วยเล่า ? แม้ในอดีตเราเคยมีปัญหากันก็จริง ทว่าเวลาก็ผ่านมานานมากแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องรื้อฟื้นความหลังอีก”
ฉินหยวนกล่าวด้วยสีหน้าที่เย็นชาก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ว่างตัวหนึ่ง
“ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพราะต้องการจะสอบถามบางอย่างจากเจ้า เด็กทั้งสองคนที่เดินอยู่กับแม่สาวน้อยชิงหลิงก่อนหน้านี้คือใครกัน ?”
ในฐานะผู้นำตระกูลฉิน ฉินหยวนย่อมมีวิธีการสืบหาข่าวของตนเอง สิ่งที่เกิดขึ้นบนท้องถนนก่อนหน้านี้ทำให้เขาได้กลิ่นความผิดปกติบางอย่าง เมื่อเฟิงชิงหลิงเอ่ยถึง ‘ท่านอาอวี้โม่’ ใครคนหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวของเขา เพราะถึงอย่างไรในอดีต เฟิงหย่าและฉินหลิงเซียวบุตรชายของเขาก็เคยให้กำเนิดบุตรสาวคนหนึ่ง
เด็กน้อยแปลกหน้าสองคนนั้นทำให้ฉินหยวนรู้สึกถึงความผูกพันอย่างประหลาด เขาเองมิใช่คนที่ชอบยุ่งวุ่นวายในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองและไม่เคยชื่นชอบเด็กเล็กเป็นทุนเดิม ทว่าการที่ได้พบกับเสี่ยวอ้ายโม่และเสี่ยวอ้ายฉือนั้นแตกต่างออกไป แม้ทั้งสองจะเพิกเฉยต่อเขาและไม่คิดไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย เขาก็ไม่รู้สึกโกรธเคืองแต่อย่างใด
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เสี่ยวอ้ายโม่กล่าวไว้ทำให้เขาสงสัยใคร่รู้มากขึ้นเรื่อย ๆ
เดิมทีเขาวางแผนที่จะรอจนกระทั่งถึงงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของอดีตผู้นำตระกูลเฟิงจึงค่อยมาที่นี่ ทว่าตอนนี้เขาตัดสินใจที่จะมาล่วงหน้า ซึ่งนี่ไม่ถือว่าเป็นเรื่องง่ายสำหรับฉินหยวนที่มักจะหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีและมีความเป็นหัวโบราณสูง
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับเฟิงเหลียนเฉิงและคนตระกูลเฟิงในครานี้ ฉินหยวนยังแสดงท่าทีเป็นมิตรและไม่ได้วางมาดใหญ่โตซึ่งถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมาก
“พวกนางเป็นใครแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าไม่ทราบ ?”
เฟิงเหลียนเฉิงไม่ตอบคำถามโดยตรง ทว่าถามย้อนกลับไป
เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่ายอดฝีมือเช่นฉินหยวนคงจะค้นพบบางอย่างได้ในเวลาเพียงไม่นาน เพียงแต่ไม่คิดว่าเขาจะบุกมาที่นี่เร็วเช่นนี้
สำหรับตัวตนของเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ รวมถึงฉินอวี้โม่ พวกเขาก็ไม่คิดที่จะปิดบังไปอีกนานนัก และในวันนี้ ฉินหยวนควรได้ทราบเป็นการล่วงหน้า
“พวกนางคือเหลนของข้าใช่รึไม่ ? ลูกของเด็กคนนั้น…”
สีหน้าของฉินหยวนกลายเป็นเย็นชาอย่างรวดเร็วและแผ่แรงกดดันออกไปรอบตัวในขณะที่เอ่ยถามด้วยลมหายใจที่หนักอึ้ง
“หากใช่แล้วอย่างไร ?!”
เสียงของเฟิงหย่าดังขึ้นในหูของทุกคนและครอบครัวสามคนก็ก้าวออกมาด้วยกัน
ฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าก้าวออกมาโดยที่ขนาบข้างกายฉินอวี้โม่ทั้งสองข้าง เวลานี้ เฟิงหย่าก็มองฉินหยวนด้วยแววตาไม่เป็นมิตร ในขณะที่ฉินหลิงเซียวมองเขาด้วยแววตาที่ซับซ้อน ทว่าทั้งสองฝ่ายในตอนนี้ดูไม่เหมือนบิดาและบุตรชาย หากแต่เหมือนกับศัตรูที่กำลังเผชิญหน้ากัน
“ท่านพ่อ หลังจากเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน ในที่สุดเราก็พบเสี่ยวโม่เอ๋อร์ หากท่านยังคิดที่จะทำร้ายพวกนางอีกก็อย่ากล่าวโทษลูกชายคนนี้ที่จะไม่สนใจความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างเราเลย !”
ฉินหลิงเซียวกล่าวแสดงจุดยืนออกไปอย่างชัดเจน แม้เขาไม่คิดว่าฉินหลิงเซียวจะมาที่นี่เพื่อทำร้ายฉินอวี้โม่ เขาก็ยังต้องป่าวประกาศให้ชัดเจนก่อน ความผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวก็เกินพอและครานี้เขาจะไม่ยอมให้เกิดอุบัติเหตุใด ๆ กับฉินอวี้โม่โดยเด็ดขาด !
“ถูกต้อง ตาแก่ หากเจ้าริอาจแตะต้องหลานของข้า ตระกูลเฟิงของเราจะไม่มีทางอยู่เฉยแน่ แม้ตระกูลฉินจะแข็งแกร่งกว่าพวกเรา เราก็ไม่มีทางยอมให้พวกเจ้ารังแกได้อย่างแน่นอน !”
เฟิงเหลียนเฉิงและคนอื่น ๆ ก็ยืนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงและแสดงให้เห็นถึงจุดยืนของตระกูลเฟิง
“ข้าบอกเมื่อใดกันว่าจะทำร้ายพวกนาง ?”
แรงกดดันจากฉินหยวนหายวับไปอย่างรวดเร็วขณะสายตาของเขาเลื่อนไปหยุดลงที่ฉินอวี้โม่อย่างสงสัยใคร่รู้
“หลิงเซียว ในสายตาของเจ้า พ่อเป็นคนที่ใจดำอำมหิตและเลือดเย็นถึงเพียงนั้นเลยรึ ?”
“ท่านพ่อสามีมิใช่คนประเภทนั้นหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่ภายในตระกูลฉินมีคนแบบท่านเพียงน้อยนิดเท่านั้น ในอดีตครานั้น ท่านดูแคลนตระกูลเฟิงของเราและเพิกเฉยต่อการกระทำของคนในตระกูลฉิน ครานี้เราก็ต้องการที่จะทวงคืนความเป็นธรรมให้กับเสี่ยวโม่เอ๋อร์ หวังว่าท่านจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว”
เฟิงหย่ากล่าวอย่างเยือกเย็น ทว่าทุกประโยคล้วนเป็นความจริงที่มิอาจปฏิเสธและทำให้ใบหน้าของฉินหยวนแดงก่ำด้วยความอับอายเล็กน้อย
“ริอาจนัก นี่คือวาจาที่เจ้าใช้กล่าวกับพ่อสามีอย่างข้าหรือ !”
เขาตะโกนกร้าวขณะพยายามซ่อนความรู้สึกผิดในใจ
“เหอะ แล้วผู้นำตระกูลฉินต้องการให้ท่านแม่ของข้ากล่าวอย่างไรกัน ? จะให้โค้งคำนับเช่นสาวรับใช้หรือยิ้มแย้มเสมือนว่าท่านเป็นพ่อแท้ ๆ ? หากต้องการให้ผู้อื่นพูดดีด้วย ผู้นำตระกูลฉินก็ควรจะระงับอารมณ์ตัวเองให้ได้เสียก่อน หากถามข้า สำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต การที่ท่านแม่ของข้ายังเรียกท่านว่าพ่อสามีก็ถือว่าแสดงความเคารพมากแล้ว”
ฉินอวี้โม่แค่นเสียงเย็นชาและกล่าวเหน็บแนมฉินหยวน
นางไม่ได้รู้สึกถูกชะตากับผู้นำตระกูลฉินผู้นี้นัก แม้เขาจะมีศักดิ์เป็นท่านปู่ของตน ตอนนี้เขาก็เป็นคนนอก หากเทียบกับท่านปู่ท่านตาของนางในดินแดนระดับต่ำ ฉินหยวนผู้นี้เทียบไม่ติดฝุ่นอย่างแท้จริง
หากกล่าวตามความเป็นจริง เดิมทีฉินอวี้โม่ก็คิดที่จะแสดงความสุภาพนอบน้อมต่อเขา อย่างไรก็ตาม การที่เขามากล่าวหามารดาของนางเช่นนี้ นางก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าฉินหยวนอีกต่อไป
“หลานตัวดี ข้าคือปู่ของเจ้านะ !”
ฉินหยวนคิดไม่ถึงว่าฉินอวี้โม่จะแสดงทัศนคติเช่นนี้ออกมา ในเมื่อได้ทราบว่าท่านปู่ของตนเป็นถึงผู้นำของตระกูลที่ทรงพลังเช่นตระกูลฉิน นางก็ควรจะตื่นเต้นดีใจ ควรที่จะยอมรับในสถานะของตนเองและประจบประแจงท่านปู่มิใช่หรือ ?
“เมื่อใดที่ท่านพ่อท่านแม่ยอมรับในตัวท่าน เมื่อนั้นท่านจึงจะเป็นท่านปู่ของข้า ทว่าหากพวกท่านไม่ยอมรับ ท่านก็เป็นได้เพียงคนแปลกหน้าสำหรับข้าเท่านั้น ในอดีต ท่านไม่เคยทำหน้าที่ที่คนเป็นปู่ควรจะทำ หากมิใช่เพราะท่านเพิกเฉยต่อเหตุการณ์ทั้งหมด ข้าก็คงไม่ต้องพลัดพรากจากท่านพ่อท่านแม่มานานถึงเพียงนี้หรอก !”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา สาเหตุที่นางยอมรับตระกูลเฟิง เฟิงหย่าและฉินหลิงเซียวเป็นครอบครัวก็เพราะนางสัมผัสได้ถึงความรักความเอ็นดูที่พวกเขามีต่อนาง ทว่าสำหรับตระกูลฉิน นางไม่สนใจเลยว่าจะต้องนับญาติกับพวกเขาหรือไม่
เพียงแค่ขุมกำลังระดับหนึ่งเช่นนั้น ในไม่ช้าก็เร็ว นางจะก่อตั้งขุมกำลังระดับหนึ่งที่สามารถเทียบชั้นหรืออาจจะถึงขั้นเหนือกว่าตระกูลฉินเสียอีก !
“ฉินหยวน ตอนนี้เสี่ยวอวี้โม่ถือเป็นหัวแก้วหัวแหวนของพวกเราทั้งตระกูลเฟิง เจ้าควรเคารพความคิดของนางจะดีกว่า ! หากตระกูลฉินของเจ้ากล้าคิดร้ายกับนาง ตระกูลเฟิงเราก็ไม่รังเกียจที่จะประกาศสงครามกับตระกูลฉิน !”
เฟิงเหลียนเฉิงก้าวเข้าไปตรงหน้าฉินอวี้โม่อย่างช้า ๆ เพื่อคุ้มกันความปลอดภัยให้กับนางและประกาศตนเป็นปฏิปักษ์กับฉินหยวนอย่างเปิดเผย
“ไม่ต้องกังวล สิ่งที่น่ารังเกียจเช่นนั้นไม่เคยอยู่ในความคิดข้า”
ฉินหยวนรับรู้ได้ถึงความระแวดระวังที่ทุกคนมีต่อตนเองและนั่นทำให้เขารู้สึกอึดอัดอย่างไม่ทราบสาเหตุ สีหน้าของเขาเย็นชาลงอีกคราขณะกล่าวขึ้น “ในเมื่อนางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลฉิน นางก็ต้องยอมรับในสถานะของตนเองและเข้าพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษของตระกูลฉิน สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นความผิดของข้าเองและข้าไม่อยากจะพูดถึงมันอีก อย่างไรก็ตาม ข้ารับปากว่าเรื่องเช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต !”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่มีวันใดที่เขาจะไม่นึกถึงเหตุการณ์ในครานั้น
ในอดีต ในช่วงเวลาที่เขาไม่ต้องการให้ฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าลงเอยด้วยกัน ฉินหยวนไม่เคยคิดว่าตนทำสิ่งใดที่ผิดไป ตระกูลฉินเป็นถึงหนึ่งในขุมกำลังที่ทรงอำนาจที่สุดของดินแดน หากต้องการรักษาตำแหน่งดังกล่าวให้มั่นคง ทางที่ดีที่สุดคือการให้ทายาทของขุมกำลังที่ทรงพลังเทียบเท่ากันตบแต่งเข้าด้วยกันเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับทั้งสองฝ่าย และเฟิงหย่าในตอนนั้นยังไม่มีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานนี้