สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ฉินหยวนก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เช่นกัน ฉินหลิงเซียวตัดสินใจเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินและครองรักกับเฟิงหย่าโดยที่ไม่สนใจคำคัดค้านของเขาแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นทำให้เขามองเฟิงหย่าในมุมมองที่ย่ำแย่ลงกว่าเดิม เพราะเหตุนั้น หลังจากทั้งที่สองแต่งงานกันและอาศัยอยู่ภายในจวนตระกูลฉิน เขาจึงไม่ได้ปฏิบัติต่อนางในทางที่ดี
และเป็นเพราะจุดยืนของเขา ผู้อาวุโสในตระกูลฉินจึงไม่เคารพสะใภ้ของตระกูลอย่างเฟิงหย่าเช่นกัน เพราะเหตุนั้น ชีวิตของเฟิงหย่าในตระกูลฉินจึงไม่ราบรื่นแม้แต่น้อย
หลังจากนั้น เมื่อเฟิงหย่าตั้งครรภ์ แม้ยังคงมีทัศนคติเช่นเดิม ฉินหยวนก็รู้สึกยินดีและมีความสุขอย่างมาก เพียงแต่ไม่แสดงออกไปก็เท่านั้น
ในภายหลังเมื่อเฟิงหย่าให้กำเนิดบุตรสาว ฉินหยวนก็มักถือโอกาสในช่วงที่เฟิงหย่าไม่รู้ตัวเพื่อเล่นกับเจ้าตัวน้อยและเขาก็เอ็นดูหลานสาวของเขาเป็นอย่างมาก
อันที่จริง เขาเองก็โกรธแค้นเมื่อเฟิงหย่าและหลานสาวของตนถูกลอบทำร้าย อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้นำตระกูลฉิน เขายังต้องมองภาพรวมทั้งหมด ต่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลฉิน เขาก็เลือกที่จะปล่อยผ่านเรื่องนั้นไปโดยที่ไม่ลงโทษบุรุษผู้นั้นอย่างสาสม
ฉินหยวนทราบดีว่าตนเองก็มีความผิดอยู่เช่นกัน ทว่าหากเปรียบเทียบกับความอยู่รอดของตระกูลฉิน เขาก็คิดว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้องที่สุดแล้ว
“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ ในตอนนั้น คนตระกูลฉินพยายามฆ่าลูกสาวของข้าและทำให้นางต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ทุกข์ทรมาน หากเราเข้าพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษและกลับเข้าไปที่ตระกูลฉินอีกครา มิอาจทราบได้เลยว่าคนพวกนั้นจะคิดร้ายกับนางอย่างไร ตอนนี้หลิงเซียวและข้าอาศัยอยู่ที่ภูเขาม่านหมอก ลูกสาวของเราก็มีขุมกำลังและมีความคิดเป็นของตัวเอง ในอนาคต ไม่ว่านางจะไปที่ใด เราก็จะติดตามไปกับนางในทุกหนแห่ง ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษและกลับไปเข้าร่วมกับตระกูลฉินเลยสักนิด !”
เฟิงหย่าส่ายศีรษะและปฏิเสธเสียงแข็งทันที ตระกูลฉินสร้างปมไว้ในจิตใจของนางและมันมิใช่สิ่งที่จะแก้ไขได้โดยง่าย เพียงนึกถึงการกลับไปที่ตระกูลฉินและต้องรับมือกับคนอำมหิตที่ไม่ต่างจากปีศาจเหล่านั้น นางก็แทบจะควบคุมอารมณ์ของตนเองไว้ไม่ได้
นางต้องการใช้ชีวิตอยู่กับฉินอวี้โม่และเด็กน้อยทั้งสองอย่างมีความสุข ไม่ว่าพวกนางไปที่ใดในอนาคต นางและฉินหลิงเซียวก็จะติดตามไปด้วย
ไม่ว่าจะเป็นสถานะนายน้อยของตระกูลฉิน หรือสถานะบุตรสาวของอดีตผู้นำตระกูลเฟิง มันมิใช่สิ่งที่สำคัญสำหรับพวกนาง
“หลิงเซียว เจ้ามีความคิดอย่างไร ?”
ฉินหยวนไม่แปลกใจในจุดยืนของเฟิงหย่า หากนางต้องการกลับไปที่ตระกูลฉินด้วยความยินดี เขาก็คงจะรู้สึกว่ามันผิดปกติมาก ในเวลานี้ สายตาของเขาเลื่อนไปที่ฉินหลิงเซียวและต้องการทราบว่าบุตรชายจะตัดสินใจเลือกอย่างไร
“ท่านพ่อ บางสิ่งบางอย่างก็ไม่สำคัญสำหรับเราหรอก ตอนนี้พวกเรามีความสุขดี”
วาจาของฉินหลิงเซียวฟังดูนุ่มนวลไม่แข็งกระด้าง ทว่าจุดยืนของเขาก็ชัดเจนเช่นกัน การกลับไปที่ตระกูลฉินไม่มีความหมายใดสำหรับเขา แม้คนมากมายปรารถนาที่จะได้ตำแหน่งว่าที่ผู้นำตระกูลฉินคนต่อไป ทว่าเขาไม่ต้องการมัน ตราบใดที่ได้อยู่ร่วมกับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข สถานะและตำแหน่งเหล่านั้นก็เป็นได้เพียงแค่สิ่งของนอกกาย
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งบุตรสาวและบุตรเขยของเขาก็ทรงพลังมากกว่าตัวเขาในอดีตเสียอีก ในไม่ช้าก็เร็ว พวกนางจะกลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของทั้งดินแดนได้อย่างแน่นอน สิ่งที่เขาและเฟิงหย่าทำได้ในตอนนี้ก็คือการช่วยฉินอวี้โม่ดูแลเด็กน้อยทั้งสองและคอยสนับสนุนนางต่อไปในอนาคต !
“แม่สาวน้อย แล้วเจ้าล่ะ ?”
ฉินหยวนขมวดคิ้วมุ่น ทว่ามองไปที่ฉินอวี้โม่และต้องการทราบถึงทัศนคติของนาง
“ตระกูลฉินไม่มีความหมายสำหรับข้า ข้าจะปฏิบัติตามความต้องการของท่านพ่อท่านแม่ อีกอย่าง…ข้าทราบดีว่าในฐานะผู้นำตระกูลฉิน ท่านอาจคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วและท่านคำนึงถึงเพียงผลประโยชน์ของตระกูล อย่างไรก็ตาม สำหรับข้า หากไม่สามารถปกป้องคนที่ข้ารักได้ การที่เป็นผู้นำของตระกูลฉินและถือครองพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่จะไปมีประโยชน์อะไรกัน ?”
ฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้ามุ่งมั่นกับการพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองก็เพื่อที่จะปกป้องคนที่ข้าอยากจะปกป้องและทำในสิ่งที่ข้าต้องการ มิใช่ปล่อยให้ตระกูลหรืออำนาจใดมาจำกัดชีวิตของข้าเอง”
วาจาของนางทิ่มแทงใจจนฉินหยวนพูดไม่ออก
ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาเคยยึดมั่นมาตลอดจะไร้ความหมายและเจตนาของเขาก็ผิดมาตั้งแต่ต้น…
“เสี่ยวอวี้โม่พูดถูก สาเหตุที่ตระกูลเฟิงของเราแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ นั่นก็เป็นเพราะพวกเราต้องการปกป้องครอบครัวของเราจากอันตรายทุกรูปแบบ ตระกูลของเรามิได้มีจุดมุ่งหมายที่จะปกครองทั่วทั้งดินแดนและไม่มีทางสละญาติพี่น้องเพียงเพื่อรักษาขุมกำลังที่มีแค่ชื่อเท่านั้น !”
เฟิงเหลียนเฉิงกล่าวเน้นย้ำวาจาของฉินอวี้โม่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตถือเป็นตัวกระตุ้นที่ดีให้กับเขาและตระกูลเฟิง สาเหตุที่พวกเขาพยายามทุ่มเทฝึกฝนเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งมาตลอดก็เพราะไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นอีก
ตราบใดที่สามารถปกป้องคนที่รักและคนใกล้ตัวได้ รวมถึงได้ทำในสิ่งที่ใจต้องการ ไม่ว่าจะมีพลังอำนาจเพียงใดก็มิใช่สิ่งสำคัญ
“ท่านพ่อ ข้าไม่เคยสนใจตำแหน่งผู้นำตระกูลฉิน สำหรับข้า ต่อให้การตัดสินใจบางอย่างจะส่งผลกระทบต่ออำนาจและอิทธิพลของตระกูลฉิน ข้าก็มั่นใจว่าจะสามารถพัฒนาตระกูลฉินจนกลับมารุ่งเรืองได้อีก มันย่อมดีกว่าการปล่อยให้อาชญากรที่ก่อกรรมทำชั่วลอยหน้าลอยตาต่อไปเพียงเพราะต้องการให้ตระกูลอยู่รอด !”
ฉินหลิงเซียวกล่าวอย่างไม่แยแสเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเปิดเผยความในใจต่อหน้าบิดาอย่างไม่เกรงกลัว สำหรับเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือครอบครัว มิใช่สถานะหรือตำแหน่งใด ๆ ตราบใดที่คนที่เขารักมีความสุข ต่อให้ต้องเป็นขอทานข้างถนนก็มิใช่เรื่องที่จะต้องคำนึงถึง…
ในเวลานี้ จิตใจของฉินหยวนกระสับกระส่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อครั้งเยาว์วัย สิ่งที่เขาถูกสอนมาตลอดก็คือการทำทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอดของตระกูล ต่อให้สิ่งนั้นจะเป็นการเสียสละชีวิตของตัวเองก็ตาม
ในครานั้น หลานสาวของเขาถูกปองร้ายโดยผู้อาวุโสใหญ่จนมิอาจทราบได้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร และเขาก็ทราบดีว่ามีผู้อาวุโสของตระกูลฉินหลายคนที่สมรู้ร่วมคิดในเรื่องนี้ ทว่าเนื่องจากคำนึงถึงความอยู่รอดของตระกูล เขาจึงไม่สามารถทวงคืนความเป็นธรรมให้กับหลานสาวได้
ทว่าตอนนี้คนเหล่านี้กลับบอกว่าความคิดเหล่านั้นเป็นความคิดที่ผิดมาตั้งแต่ต้นซึ่งมันเป็นสิ่งที่แตกต่างจากความเชื่อตั้งแต่เด็กของเขาอย่างสิ้นเชิง…
“ท่านพ่อลองไตร่ตรองดูเถิด ข้าทราบดีว่าท่านคำนึงถึงผลประโยชน์ของตระกูลฉินอยู่ตลอดเวลาและความเป็นอยู่ของตระกูลฉินก็อยู่ในมือของท่าน อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่สิ้นชีวิต เราก็ยังมีความหวังในทุกโอกาส เราเพียงต้องปกป้องความคิดและความเชื่อของเราไว้ รวมถึงปกป้องคนที่เรารัก หากสุดท้ายแล้วท่านต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง การมีขุมกำลังที่แกร่งกล้าจะไปมีประโยชน์อะไร ?”
ฉินหลิงเซียวกล่าวทิ้งท้ายก่อนเดินออกจากห้องโถงไปพร้อมกับเฟิงหย่าและฉินอวี้โม่
สมาชิกตระกูลเฟิงส่วนที่เหลือก็ลุกขึ้นและแยกย้ายกันกลับไปยังเรือนของตนเองเช่นกัน เวลานี้เหลือเพียงเฟิงเหลียนเฉิงและฉินหยวนอยู่ในโถงกว้าง
“สหายฉิน ในตอนนั้นเจ้าไม่ต้องการให้หลิงเซียวแต่งงานกับหย่าเอ๋อร์เพราะตระกูลเฟิงของเราอ่อนแอเกินไป อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ตระกูลเฟิงของเราได้พิสูจน์ให้เจ้าเห็นถึงศักยภาพของพวกเราแล้ว ในอดีต แม้ว่าตระกูลเฟิงของเราจะไม่มีทางต่อกรกับตระกูลฉินของเจ้าได้และเปรียบเสมือนกับมดปลวกตัวเล็ก ๆ ทว่าตอนนี้ ต่อให้เอาชนะไม่ได้ เราก็มีพลังอำนาจมากพอที่จะสู้กับพวกเจ้า เพราะเหตุนั้น บางสิ่งบางอย่างก็อาจจะมิได้สำคัญอย่างที่เจ้าคิดหรอก”
เฟิงเหลียนเฉิงตบไหล่ฉินหยวนเบา ๆ อันที่จริง เขาก็มิได้เกลียดชังอีกฝ่ายเท่าใดนัก
แม้ฉินหยวนจะเป็นบุรุษหัวรั้นและไม่ยอมใคร เขาก็มีด้านที่ดีอยู่ไม่น้อย สำหรับการที่ตระกูลเฟิงพัฒนาความแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็วตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่ไม่มีผู้ใดขัดขวางหรือพยายามบั่นทอนอำนาจของพวกเขานั้น เฟิงเหลียนเฉิงทราบดีว่ามันเป็นผลมาจากการที่ฉินหยวนคอยแอบช่วยอยู่ลับ ๆ
ในวันนี้ ทัศนคติที่ฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าแสดงต่อฉินหยวนก็ทำให้เฟิงเหลียนเฉิงมองว่าผู้นำตระกูลฉินผู้นี้เป็นเพียงตาแก่ที่น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น…
ตราบใดที่ฉินหยวนสำนึกผิดและเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เฟิงเหลียนเฉิงเชื่อว่าทั้งฉินหลิงเซียว เฟิงหย่าและฉินอวี้โม่ก็พร้อมที่จะยกโทษให้กับเขาอย่างแน่นอน !