ภายในชั่วพริบตา วันของงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของเฟิงเหลียนเฉิง—อดีตผู้นำตระกูลเฟิงก็มาถึง
เช้าตรู่ของวันนี้ ฉินอวี้โม่และทุกคนมารวมตัวกันในโถงกว้างของจวนตระกูลเฟิงเพื่อร่วมเฉลิมฉลองด้วยกัน
ทุกคนจากขุมกำลังใหญ่ในโลกแห่งเทพต่างก็มารวมตัวกันที่นี่ และแม้แต่ฉินหยวนก็เดินทางมาที่จวนตระกูลเฟิงตั้งแต่เช้าตรู่
ในคืนวันนั้น ฉินหยวนตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน ทันทีที่มาถึงจวนตระกูลเฟิงในวันนี้ เขาจึงเข้ามาพบฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ทันที
“หลิงเซียว หย่าเอ๋อร์ เสี่ยวอวี้โม่ สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นความผิดของข้าเอง…”
เขากล่าวขอโทษทั้งสามอย่างตรงไปตรงมาและไม่ได้รักษาภาพลักษณ์ของผู้นำตระกูลฉินที่ยิ่งใหญ่และหยิ่งทะนงอีกต่อไป ครานี้เขาแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนให้เห็นอย่างชัดเจน
“ท่านพ่อ ท่านตระหนักได้แล้วหรือ ?”
เนื่องจากไม่เห็นเงาของผู้อาวุโสและสมาชิกตระกูลฉินคนอื่น ๆ ฉินหลิงเซียวจึงคาดเดาสถานการณ์ได้ทันที
แม้ฉินหยวนจะเป็นบุรุษที่หัวรั้นและไม่เคยฟังผู้ใด ถึงอย่างไรเขาก็เป็นยอดฝีมือที่เฉลียวฉลาดและโชกโชนไปด้วยประสบการณ์ ด้วยความสามารถของเขา หากต้องการจัดการกับบรรดาผู้อาวุโสที่มีส่วนรู้เห็นในครานั้น มันย่อมเป็นเรื่องที่เรียบง่าย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สาเหตุที่เขาปล่อยให้คนเหล่านั้นกระทำความผิดโดยที่ปิดตาข้างหนึ่งก็เพียงเพราะต้องการรักษาตระกูลฉินเอาไว้
“ตำแหน่งผู้นำตระกูลฉินทำให้ข้าหลงลืมบางอย่างไป แม้ว่ามันจะเป็นตำแหน่งที่สำคัญก็จริง ทว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่าคือผู้คนที่รายล้อมรอบตัว ในตอนนั้น เมื่อแม่ของเจ้าตายไป นางบอกกับข้าว่าไม่เคยนึกเสียใจที่แต่งงานกับข้า เพียงแต่ในภายหลังตัวข้ากลับเปลี่ยนเป็นอีกคน หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าก็คิดทบทวนอยู่ตลอดเวลาและสับสนเป็นอย่างมาก ทว่าตอนนี้ในที่สุดข้าก็เข้าใจเสียที”
ฉินหยวนกล่าวพลางถอนหายใจยาวและเห็นได้ชัดว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับเขา
อันที่จริง การแต่งงานของฉินหยวนและมารดาของฉินหลิงเซียวก็ถือเป็นการสานสัมพันธ์ระหว่างตระกูลใหญ่เช่นกัน อย่างไรก็ตาม พวกเขามีความเคารพให้กันและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หลังจากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนานหลายร้อยปี มารดาของฉินหลิงเซียวก็เสียชีวิตด้วยสาเหตุบางอย่าง ฉินหยวนไม่เคยเข้าใจวาจาที่นางกล่าวทิ้งท้ายก่อนตาย ทว่าความขัดแย้งและบทสนทนาอย่างตรงไปตรงมากับฉินหลิงเซียวและฉินอวี้โม่เมื่อคืนก่อนทำให้เขาตระหนักถึงความจริงได้ในที่สุด
“หลิงเซียว ข้าจัดการกับผู้อาวุโสใหญ่และคนอื่น ๆ ไปเรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่าตอนนี้ตระกูลฉินสูญเสียพลังอำนาจไปมาก ในอนาคต ข้าจะมอบให้เจ้าเป็นคนดูแลตระกูลฉินต่อไป”
เขาตบไหล่ฉินหลิงเซียวและกล่าวด้วยวาจาที่ดูราวกับเป็นการสั่งเสีย
“ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไรรึเจ้าคะ ?”
เฟิงหย่าอดที่จะเอ่ยถามออกไปไม่ได้ ครานี้นางไม่ได้แสดงความอคติต่อบุรุษชราตรงหน้าผู้ซึ่งดูแก่ลงมากภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน
แม้ว่าในอดีตฉินหยวนจะมีส่วนผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่อย่างไรเสีย ฉินหยวนก็ยังคิดได้และทวงคืนความเป็นธรรมให้กับทั้งนางและบุตรสาวในตอนท้ายซึ่งเป็นสิ่งที่มิอาจปฏิเสธ
ในอดีตที่ผ่านมา ฉินหยวนยึดมั่นเพียงในกฎเกณฑ์และหลักปฏิบัติที่บรรพบุรุษคอยสั่งคอยสอน เขาจึงเพิกเฉยต่อบางสิ่งบางอย่างไปโดยที่ไม่รู้ตัว…
“หย่าเอ๋อร์ ในฐานะพ่อสามี ข้าทำผิดต่อเจ้าและอวี้โม่มาก ข้าต้องขอโทษพวกเจ้าด้วย หลิงเซียวก็เป็นลูกชายข้า ต่อให้จะมีเรื่องบาดหมางต่อกัน ถึงอย่างไรเราก็ยังเชื่อมโยงกันทางสายเลือด ข้าอยากจะขอโทษเจ้าทั้งสองจากใจจริง ในอนาคตต่อไป ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวในการตัดสินใจของพวกเจ้าอีก แต่หากผู้ใดริอาจรังแกพวกเจ้า ข้าจะไม่ยอมอยู่เฉยแน่ !”
เขากล่าวขอโทษเฟิงหย่าและฉินอวี้โม่อีกครั้งด้วยท่าทางที่จริงใจ
“หากท่านปู่รู้สึกผิดต่อท่านพ่อ ท่านแม่และข้าจริง ท่านก็ควรจะดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลฉินต่อไป ท่านพ่อท่านแม่คุ้นเคยกับชีวิตอิสระตลอดเวลาที่ผ่านมาแล้ว หากท่านโยนภาระความรับผิดชอบนี้ให้กับท่านพ่อ ท่านคงต้องรู้สึกผิดต่อพวกเขายิ่งกว่าเดิม”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นทว่าสิ่งที่นางกล่าวออกมาก็ถือเป็นความจริงที่มิอาจปฏิเสธ
ฉินหยวนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวขึ้นอีกครั้ง เดิมทีเขาตั้งใจจะมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลฉินให้กับบุตรชายและออกไปใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบเพียงลำพัง…
“อีกอย่าง ต่อไปท่านปู่ก็ต้องช่วยข้าดูแลเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ร่วมกับท่านตาด้วย”
นางกล่าวต่อก่อนหันไปขยิบตาส่งสัญญาณให้กับเสี่ยวอ้ายโม่และเสี่ยวอ้ายฉือ
เด็กน้อยทั้งสองเข้าใจได้ทันทีและก้าวออกมาพร้อมเอ่ยเรียก ‘ท่านทวด’ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มซึ่งทำให้ฉินหยวนปฏิเสธไม่ลง
ใบหน้าของฉินหยวนเริ่มมีรอยยิ้มอีกครั้งขณะมองเหลนทั้งสองตรงหน้าด้วยแววตาแห่งความหวัง…
ในขณะที่ครอบครัวรวมตัวกันอย่างอบอุ่น ทุกคนภายนอกก็พูดคุยกันอย่างกระตือรือร้นท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นมิตร
เมื่อฉินอวี้โม่และสมาชิกคนอื่น ๆ ปรากฏตัวขึ้นมา ทุกคนก็โค้งคำนับต่อเฟิงเหลียนเฉิงและฉินหยวนอย่างนอบน้อมก่อนมอบของขวัญที่เตรียมไว้ให้กับอดีตผู้นำตระกูลเฟิง
เฟิงเหลียนเฉิงรับของขวัญเหล่านั้นและกล่าวขอบคุณทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข
เดิมทีพวกเขาคิดว่าในงานเลี้ยงครานี้อาจจะเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นได้ ทว่าในเมื่อสะสางความบาดหมางกันได้แล้วก็ย่อมไม่มีสิ่งใดที่น่าอภิรมย์ไปกว่าสถานการณ์เช่นนี้…
หลังจากดื่มสุราครบสามรอบ ฉินอวี้โม่ก็วางแผนที่จะชี้แจงกับบิดามารดาถึงเรื่องที่ตนจะออกเดินทางไปตามหาฉินเทียนและสหายคนอื่น ๆ ในวันรุ่งขึ้น
ทว่าก่อนที่นางจะกล่าวเช่นนั้น จู่ ๆ ทุกสิ่งรอบตัวก็ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัด
ตรงหน้าโถงกว้าง คนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวอย่างเงียบ ๆ ราวกับเป็นสายรุ้งที่สว่างเจิดจ้าและทำให้แววตาของฉินอวี้โม่เป็นประกายขึ้นมา…
“โม่เอ๋อร์…”
เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับบุรุษหนุ่มรูปงามที่เดินตรงเข้ามาหาฉินอวี้โม่ด้วยแววตาอบอุ่นและอ่อนโยน
ฉินอวี้โม่ก็เพียงลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ และมุมปากยกเป็นรอยยิ้มแห่งความสุข
จากนั้นทั้งสองก็ยืนสบตาตรงหน้ากัน ราวกับเป็นภาพวาดที่งดงามและสมบูรณ์แบบที่สุด…
ตอนต่อไป →