ตอนที่ 2640

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,640 : การกลับมาของโจวทง

 

“พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของขอบเขตจินเซียนตะวันแดง นับว่าแข็งแกร่งกว่าเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ม่วงไม่น้อยเลยทีเดียว…”

 

หลังทะลวงมาถึงขอบเขตจินเซียนตะวันแดงได้สำเร็จ ต้วนหลิงเทียนย่อมสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างได้ชัดเจน…

 

การเปลี่ยนแปลงรอบนี้ ทำเอาความเปลี่ยนแปลงรอบก่อนๆในขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์เทียบไม่ติดเลยทีเดียว!

 

‘แต่ไม่รู้ว่าปิดด่านบ่มเพาะคราวนี้ ข้าใช้เวลาไปนานแค่ไหนกันแน่…’

 

แม้ด่านพลังฝึกปรือจะบรรลุถึงขอบเขตจินเซียน แต่ต้วนหลิงเทียนที่จมจ่อมในภวังค์บ่มเพาะจนลืมเลือนเวลา ก็ไม่ทราบเลยว่าภายนอกได้ผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว…

 

‘ถึงไม่รู้ว่าปิดด่านคราวนี้จะนานแค่ไหน แต่เวลาที่ใช้ไปคงไม่น้อยแน่…ว่าแต่แปลกจริง ข้าตัดแขนขาโจวเฟยไปแบบนั้น เห็นชัดว่าฝ่าฝืนกฏของหลุมมังกรซ่อน แต่ทำไมไม่มีใครมาหาความกับข้าสักคน?’

 

ตอนนั้นเพื่อชิงห้องศิลาบ่มเพาะที่ดีที่สุดที่เป็นของโจวเฟย เขาไม่เพียงแต่เอาชนะโจวเฟยในการประลองเท่านั้น ยังถึงขั้นตัดแขนตัดขามันอีกด้วย…หากจะมีใครมาหาความเรื่องนี้ก็ไม่นับว่าแปลกอะไร

 

เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ละเมิดกฏของหลุมมังกรซ่อนจริงๆ

 

นอกจากนั้นโจวเฟยยังเป็นลูกบุญธรรมของโจวทง

 

ทว่าไม่คิดเลยว่าเขากลับสามารถปิดด่านบ่มเพาะจนกระทั่งทะลวงผ่านขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์บรรลุสู่จินเซียนตะวันแดงได้อย่างราบรื่น…ไม่มีใครมารบกวนเขาเลย ราวกับเรื่องที่เขาตัดแขนขาโจวเฟยไปไม่เคยเกิดขึ้น

 

“ที่แท้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

 

ต้วนหลิงเทียนที่ออกจากห้องศิลาบ่มเพาะที่อยู่ลึกที่สุดในหลุมมังกรซ่อน สุดท้ายก็ไปถามจากคนที่เตร็ดเตร่อยู่ด้านนอกเอา

 

คนเหล่านี้เองก็สังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนตั้งแต่ตอนที่เขาเปิดประตูเดินออกมาแล้ว

 

“นั่นต้วนหลิงเทียนนี่! มันออกมาแล้ว!!”

 

“หลังผ่านไปครึ่งปีในที่สุดมันก็ออกมาจากการปิดด่าน…ที่น่าแปลกที่สุดก็คือเรื่องเมื่อครึ่งปีก่อนอยู่ๆก็จบลงโดยไม่มีคำอธิบาย…”

 

“มันจะจบแล้วแน่หรือ? เท่าที่ข้าทราบเรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆหรอก…เห็นว่าที่ยังเงียบอยู่เพราผู้พิทักษ์โจวทงนั้นได้ปิดด่านบ่มเพาะไปเมื่อครึ่งปีก่อนพอดี และป่านนี้ยังไม่ออกมาจึงยังไม่รู้เรื่อง! ข้าว่าหากโจวทงออกจากการปิดด่านเมื่อไหร่ ไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปแน่!!”

 

“ก็จริง เพราะเรื่องเมื่อครึ่งปีก่อนตราบใดที่ไม่ใช่ตัวโง่งมย่อมรู้ดีว่าอาวุโสเจิ้งชิวเพียงแบกหม้อก้นดำแทนต้วนหลิงเทียน ยอมเป็นแพะรับบาปให้เท่านั้น…หากโจวทงออกจากการปิดด่านเมื่อไหร่ ไม่มีทางปล่อยต้วนหลิงเทียนกับอาวุโสเจิ้งชิวไปง่ายๆแน่!”

 

 

ชายหนุ่มหลายคนที่อยู่ด้านนอกมองต้วนหลิงเทียนไกลๆ แล้วกระซิบคุยกันอย่างออกรส

 

ถึงเสียงกระซิบพวกมันจะไม่ได้ดังมากมายอะไร แต่ก็ดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนชัดเจน

 

จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสะดุ้ง

 

‘เรื่องเมื่อครึ่งปีก่อน ที่ข้าตัดแขนขาโจวเฟยจนมันได้รับบาดเจ็บสาหัส นับว่าละเมิดกฏของหลุมมังกรซ่อนจริงๆ….’

 

‘และเป็นเพราะโจวทงนั่นยังปิดด่านบ่มเพาะอยู่นี่เอง เลยยังไม่มาหาเรื่องข้า…แต่เรื่องที่พวกมันบอกว่าอาวุโสเจิ้งชิวแบกหม้อก้นดำแทนข้า หมายความว่าอะไรกันแน่?’

 

เรื่องอื่นต้วนหลิงเทียนเข้าใจได้ทันที แต่เรื่องนี้เขาสงสัยไม่น้อย

 

“ที่เจ้าพูดเมื่อครู่ หมายความว่าอะไร?”

 

ร่างต้วนหลิงเทียนวูบหายไปโผล่เบื้องหน้าชายหนุ่มที่พูดว่าอาวุโสเจิ้งชิวแบกหม้อก้นดำเมื่อครู่ปานภูตผี ทำให้สีหน้าของมันกับเพื่อนเปลี่ยนไปไม่น้อย

 

แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้มีท่าทีดุร้ายอะไร เพียงกล่าวถามออกไปชัดๆเสียงเรียบ “เรื่องที่เจ้าบอกว่าอาวุโสเจิ้งชิวแบกหม้อก้นดำแทนข้า แถมยังจงใจเป็นแพะรับบาปให้ข้าอีกด้วยน่ะ?”

 

ชายหนุ่มที่กล่าวเรื่องนี้เมื่อครู่กับพวกอดไม่ได้ที่จะตกใจจนหน้าเสีย ที่อยู่ๆต้วนหลิงเทียนก็วูบเข้ามาหา ด้วยกลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะมีโมโหและคิดจัดการพวกมันที่นินทา…

 

แต่พอพวกมันพบว่าต้วนหลิงเทียนเพียงเข้ามากล่าวถามด้วยสีหน้าท่าทางสงบไม่คล้ายจะเอาเรื่อง พวกมันก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

 

แน่นอนว่าเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนถาม พวกมันก็ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย พอถอนหายใจเสร็จแล้ว ก็รีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อนทันที และนั่นก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนได้รู้ด้วยว่าที่แท้เขาปิดด่านไปถึงครึ่งปี…

 

นอกจากนั้นเขาก็ได้รู้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ 6 เดือนก่อนได้สงบลงไปแล้ว และไม่มีใครมาหาความเรื่องความผิดที่เขาก่ออีกเลย

 

ที่สำคัญทั้งหมดล้วนเป็นเพราะอาวุโสเจิ้งชิว!

 

‘อาวุโสเจิ้งชิวพูดจริงๆหรือ ว่าครึ่งปีก่อนไม่ได้บอกกฏของหลุมมังกรให้ข้าฟัง ข้าที่ไม่รู้เลยตัดแขนตัดขาโจวเฟยไป เผลอละเมิดกฏในหลุมมังกรซ่อนที่ผู้ว่าตั้งอย่างไม่ตั้งใจ?’’

 

หลังได้รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น คิ้วต้วนหลิงเทียนขดย่นเป็นปมทันที ‘อาวุโสเจิ้งชิวไม่รู้หรือไง…ว่าทำแบบนี้ก็เท่ากับจงใจบาดหมางกับโจวทง หรือไม่กลัวโจวทงนำความเดือดร้อนมาให้?’

 

หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ต้วนหลิงเทียนก็นึกย้อนทวนความทรงจำเมื่อครึ่งปีก่อนเล็กน้อย ก่อนเหินร่างเหาะขึ้นไปจากหลุมมังกรซ่อน เดินทางไปหาอาวุโสฝ่ายในเจิ้งชิวถึงที่พัก…

 

“ต้วนหลิงเทียน…เจ้าออกจากการปิดด่านแล้วรึ?”

 

เจิ้งชิวรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่เห็นต้วนหลิงเทียนมาหาถึงบ้าน

 

มันเองก็ได้ยินเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนปิดด่านบ่มเพาะในห้องศิลาชั้นล่างสุดอันเป็นห้องบ่มเพาะที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดในหลุมมังกรซ่อนตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมาแล้ว

 

ด้วยเหตุนี้พอเห็นต้วนหลิงเทียนมาหาจึงอดถามไปแบบนั้นไม่ได้

 

สำหรับเรื่องที่ไฉนต้วนหลิงเทียนมาหา มันก็พอจะคาดเดาเหตุผลได้ข้อสองข้อ

 

“ใช่”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ค่อยกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ “ข้าไม่คิดเลยว่าการปิดด่านครั้งนี้ จะกินเวลาไปมากถึงครึ่งปีเต็ม…”

 

“ปิดด่านบ่มเพาะล้วนเป็นเช่นนี้”

 

เจิ้งชิวยิ้มกล่าว “เจ้ายังดีที่ปิดด่านไปแค่ครึ่งปี…ข้าเองครั้งหนึ่งเคยบ่มเพาะไปกว่า 10 ปีโดยไม่รู้ตัว นับว่าการบ่มเพาะไม่รู้วันคืน ไม่ใช่คำกล่าวเหลวไหลจริงๆ”

 

“ก็นะ เรื่องเวลาที่ใช้บ่มเพาะข้าไม่อะไรหรอก…แต่ที่ข้านึกไม่ถึงเลยก็คงเป็นเรื่องที่อาวุโสเจิ้งชิวท่านยอมแบกหม้อก้นดำให้ข้าต่างหาก…”

 

ต้วนหลิงเทียนพอกล่าวออกมาอีกครั้ง ก็ชักสีหน้าจริงจังน้ำเสียงเคร่งขรึม “อาวุโสเจิ้งชิวข้าซาบซึ้งในสิ่งที่ท่านทำนัก…แต่ท่านไม่คิดหรือว่าการกระทำเมื่อครึ่งปีที่แล้วอาจเป็นการชักนำเภทภัยมาสู่ตัวท่านได้?”

 

“ต้วนหลิงเทียน…นี่เจ้าคิดจริงๆหรือว่าการแบกหม้อก้นดำให้เจ้าเมื่อครึ่งปีก่อน ล้วนเป็นเพราะข้าทำเพื่อตอบแทนเรื่องที่ติดค้างเจ้าตอนเดินทางจากเมืองเฉวี่ยโยวมาที่นี่?”

 

เจิ้งชิวยิ้มถาม

 

“อ่าว ไม่ใช่เรื่องนั้นหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนย้อนถาม

 

“ย่อมไม่ใช่เป็นธรรมดา!”

 

เจิ้งชิวส่ายหัวไปมาพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าบอกเจ้าไว้แต่แรกแล้ว ว่าหลังจากที่มาถึงเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว…ข้าจะไปบอกท่านผู้ว่าเอาไว้ให้ ว่าเจ้าไม่อยากเป็นศิษย์ของโจวทง…กันไม่ให้มันมาบีบคั้นเจ้า และนั่นถือว่าเป็นการตอบแทนเรื่องที่ข้าติดค้างเจ้า”

 

“กล่าวได้ว่า…ตั้งแต่ตอนที่ข้าพาเจ้าไปส่งที่หลุมมังกรซ่อน หนี้ระหว่างเราก็หายกันไปเรียบร้อย”

 

เจิ้งชิวกล่าวต่อ

 

ต้วนหลิงเทียนเองพอได้ฟังก็นึกขึ้นได้ ว่าเจิ้งชิวบอกเขาถึงเรื่องนี้ตั้งแต่แรกก่อนที่จะพาเขากับฉินอวี่มาทิ้งไว้ที่ห้องรับแขก และไปหาผู้ว่าเพียงลำพัง

 

“ในเมื่อระหว่างเราไม่ติดค้างอะไร…แล้วไฉนอาวุโสเจิ้งชิวยังมาแบกหม้อก้นดำให้ข้าอีกเล่า?”

 

ในใจต้วนหลิงเทียนยิ่งมายิ่งเต็มไปด้วยความสับสน

 

และเขาตระหนักได้รางๆว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในมากกว่าที่ตาเห็น

 

ไม่ต้องกล่าวถึงการที่อีกฝ่ายจะช่วยเขาหลังชำระหนี้ เขาคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่อาวุโสเจิ้งชิวจะยอมบาดหมางกับโจวทงเพราะเรื่องที่ติดค้างกับเขาด้วยซ้ำ!

 

เพราะสุดท้ายแล้วอาวุโสเจิ้งชิวกับเขา ก็ถือได้ว่าเป็นแค่คนรู้จักกันเท่านั้น

 

“เรื่องนี้ไว้ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังภายหลัง”

 

เจิ้งชิวมองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกล้ำเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ตอนนี้ข้าเพียงสงสัย…ว่าไฉนเจ้ายังเลือกที่จะลงมือทำร้ายโจวเฟยอย่างรุนแรงถึงขั้นตัดแขนตัดขามัน ทั้งๆที่เจ้าเอก็สมควรรู้กฏของหลุมมังกรซ่อนอยู่แล้ว…”

 

“ที่สำคัญเจ้าเองก็ควรรู้ดี…ว่าทำร้ายโจวเฟยเช่นนั้น ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้พิทักษ์อันดับ 1 ของมณฑลจิ่วโยวบิดาบุญธรรมของโจวเฟยอย่างโจวทงขุ่นเคือง ยังทำให้ท่านผู้ว่าขุ่นเคืองอีกด้วย!”

 

“เจ้าลงมือเช่นนั้น ย่อมไม่ได้ต่างอะไรจากการเล่นกับไฟแม้แต่น้อย!”

 

“ข้าจึงอยากรู้จริง…ว่าไฉนเจ้าถึงทำแบบนั้น เจ้าไม่คิดถึงผลที่จะตามมาบ้างหรือ…”

 

เจิ้งชิวกล่าวถึงตรงนี้ ก็ถามออกมาเสียงหนัก

 

“เจ้าที่แท้…ไฉนทำเช่นนั้น?”

 

ได้ยินวาจามากมายของเจิ้งชิวรวมถึงคำถามจริงจังหลังสุด สองตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงเผยประกายเยียบเย็นวาบขึ้น “ข้าทำแบบนั้น…ก็แค่ให้มันกินยาขมที่มันต้มเองเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะโจวเฟยมันขู่ว่าจะกระชากแขนขาของข้าก่อน ข้าก็ไม่คิดจะตัดแขนตัดขามันหรอก”

 

“แค่นั้น…ง่ายเพียงเท่านี้?”

 

เจิ้งชิวมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเหลือเชื่อ “เจ้า…เจ้าตัดแขนขาของโจวเฟย ทำร้ายมันสาหัสเช่นนั้น เพราะมันแค่ขู่เจ้า?”

 

“แค่ขู่?”

 

ได้ยินคำของเจิ้งชิว ต้วนหลิงเทียนก็แสยะยิ้มเย็นชาออกมา “อาวุโสเจิ้งชิว ทั้งหมดเป็นเพราะวันนั้นข้าเหนือกว่ามัน…หากวันนั้นข้าอ่อนแอกว่ามัน ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าจะจบที่แขนขาถูกกระชากหรือไม่!”

 

“ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ลงมือวู่วามเกินไปแล้ว!”

 

เจิ้งชิวส่ายหัวไปมา พลางกล่าวต่อว่า “ตามกฏของหลุมมังกรซ่อนแล้วผู้ท้าชิงมิอาจลงมือทำร้ายผู้ถูกท้ามากเกินไป หากแต่ผู้ถูกท้าสามารถลงมือกับผู้ท้าชิงรุนแรงเพียยงใดก็ได้…กล่าวอีกอย่างได้ว่า ถึงมันจะกระชากแขนขาเจ้าจริง แต่ถ้าเจ้าไม่ถึงขั้นพิการมันก็ไม่ผิด แต่เจ้าทำแบบนั้นกับมันไม่ได้!”

 

“พอดีในตอนนั้นข้าไม่มัวมาคิดหยุมหยิมอะไรแบบนี้หรอก…”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกไปส่งๆ

 

เผยให้เห็นว่าเขาเสมือนคนทำอะไรโดยประมาทและไม่คิดจริงๆ

 

แต่มันจะเป็นแบบนั้นแน่หรือ?

 

อันที่จริงก่อนที่เขาจะตัดแขนตัดขาโจวเฟย เขารู้ดีว่าการกระทำครั้งนี้ย่อมมีผลที่จะตามมามากมาย…

 

อย่างไรก็ตามเขายังเลือกจะลงมือ

 

เหตุผลที่ทำเช่นนั้น เพราะเขาได้เตรียมการรับมือโจวทงกับผู้ว่าเอาไว้แล้ว…

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคุยกับเจิ้งชิวนั้น

 

ห่างออกไปทางตอนเหนือหลายหมื่นลี้จากเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว ปรากฏร่างชราหนึ่งกำลังเหาะด้วยความเร็วสูงล้ำ คนตัดข้ามขอบฟ้ามาฉับไวประหนึ่งลัดนิ้วมือ!

 

ร่างดังกล่าวเข้าใกล้เมืองประจำมณฑลจิ่วโยวมากขึ้นทุกขณะ เห็นได้ชัดว่ามันกำลังเดินทางมายังเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว

 

“ต้วนหลิงเทียนที่ทำร้ายเฟยเอ๋อจนบาดเจ็บสาหัส มาจากเมืองเฉวี่ยโยว?”

 

ในขณะที่ชายชราเหินร่างเดินทางสองตามันก็ทอประกายแหลมคมเยียบเย็น เสียงที่กล่าวพึมพำยังชวนให้เหน็บหนาวนัก บรรยากาศรอบกายมันคล้ายลดต่ำลงหลายองศา!

 

“และเจิ้งชิว…มันถึงกับกล้าแบกหม้อก้นดำแทนไอ้เด็กที่เรียกว่าต้วนหลิงเทียนนั่น ช่างรนหาที่ตายโดยแท้!”

 

ฟังจากคำบ่นพึมพำด้วยอำมหิตของชายชรา ก็พอจะคาดเดาตัวตนของมันได้ไม่ยาก

 

โจวทง!

 

ผู้พิทักษ์อันดับ 1 ของเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว!