มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1244

ครั้งนี้หญิงสาวไม่ได้เดินนำทาง แต่เป็นหลัวซิวที่เดินเข้าไปเอง ภายในตำหนักนั้นกว้างขวาง มีเพียงชายหนุ่มชุดม่วงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ภายในตำหนักเท่านั้น มองมาทางเขาพร้อมกับร้อยยิ้มที่ผุดขึ้นที่มุมปาก

“สหายน้อย ข้าคิดไว้แล้วว่าเจ้าต้องมา!”

คนผู้นี้ก็คือมารเก้าเซียวจื่อเจี้ยน เห็นเพียงเขาลุกขึ้นยืนและหัวเราะออกมาเสียงดัง ดูเหมือนการที่สามารถเชิญหลัวซิวมาได้นั้น เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง

“ผู้น้อยมาเยี่ยมเยียนด้วยความผลีผลาม หวังว่าผู้อาวุโสจะไม่ถือโทษ” หลัวซิวประสานมือคารวะ

“ถือโทษ? ถือโทษสิ่งใดกัน? เจ้ามาได้ ข้ายินดียิ่งนัก!” เซียวจื่อเจี้ยนสาวเท้าก้าวเข้ามา เพียงพริบตาก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหลัวซิว ตบไหล่ของเขา “มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นห้าสามารถฆ่าเทพมารได้ ช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์เสียจริง!”

สำหรับภาพจำของหลัวซิวต่อเซียวจื่อเจี้ยนนั้นช่างแปลกประหลาด มีความรู้สึกถึงคุณธรรมและความยิ่งใหญ่ เขาดูเหมือนคนร่าเริงแจ่มใส แต่กลับทำให้หลัวซิวรู้สึกถึงความอันตรายถึงขีดสุด เมื่อใดที่เขาเปลี่ยนความคิด ก็จะโมโหและฆ่าได้ในทันที

“น่าเสียดายที่บรรดาสหายของข้าทั้งหลายยังคงปิดขังอยู่ ไม่เช่นนั้นพี่ชายใหญ่ของข้าจะต้องยินยอมให้เจ้ากลายเป็นหนึ่งในสมาชิกที่เยาว์วัยที่สุดเป็นแน่ นับแต่นี้หุบเขาปีศาจเก้าก็จะกลายเป็นหุบเขาปีศาจสิบ!”

เซียวจื่อเจี้ยนยิ่งมองหลัวซิวก็ยิ่งพึงพอใจ ด้วยสายตาอันแหลมคมของเขาย่อมสามารถดูออกว่า หลัวซิวไม่ได้เก็บซ่อนผลการฝึกตนแต่อย่างใด เขามีผลการฝึกตนระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นห้าจริง ๆ

“ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสเรียกผู้น้อยมา ยังมีเรื่องอื่นใดอีกใช่หรือไม่?”

นิสัยที่ไม่สามารถเทียบกับคนทั่วไปได้ ทำให้หลัวซิวเมื่อยู่กับเซียวจื่อเจี้ยน มีความรู้สึกเหมือนขี่หลังเสืออยู่ตลอดเวลา

เขาคิดอยากจะจบการพบปะนี้ให้เร็วที่สุด จากนั้นก็ออกไปจากหุบเขาปีศาจเก้า ก่อนที่ผลการฝึกตนจะบรรลุถึงเทพมาร ต้องพยายามหลีกเลี่ยงไม่ต่อสู่กับยักษ์ใหญ่วิถีมารระดับเทพฟ้าเหล่านี้

“ฮ่า ๆ หนูน้อย เป็นคนคิดเร็วทำเร็วเสียด้วย ว่ากันตามจริง ครั้งนี้ข้าเรียกเจ้ามา ยังมีอีกเรื่องหนึ่งจำต้องให้เจ้าช่วยเหลือจริง ๆ!”

เซียวจื่อเจี้ยนหัวเราะอย่างเริงร่า ทันใดนั้นคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน “จะว่าไป ข้ายังไม่รู้จักชื่อของเจ้าเลย?”

หลัวซิวในใจรู้สึกหมดคำจะพูดจริง ๆ นิสัยของเซียวจื่อเจี้ยนผู้นี้ช่างแปลกประหลาดเกินไปจริง ๆ เป็นคนเชิญเขามา พูดคุยกันตั้งเนิ่นนาน เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่รู้จักชื่อ?

ถึงอย่างไร หลัวซิวก็ไม่กล้าที่จะถือสาคนผู้นี้แต่อย่างใด รีบตอบทันที “ผู้น้อยนามซิวหลัว”

“ที่แท้ก็คือสหายซิวหลัว!”

เซียวจื่อเจี้ยนเอามือทำท่าทางลูบเครา แต่ว่าที่คางของเขาไม่มีแม้แต่ขนสักเส้น ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ใส่ใจแต่เพียงเรื่องของตนเท่านั้น “ภายในโลกาอสูรฟ้า กองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ของพวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทุก ๆ สองสามปีจะมีการจัดงานขึ้นครั้งหนึ่ง พระเอกของงานนั้นไม่ใช่คนเก่าคนแก่อย่างพวกข้า แต่เป็นหนึ่งในรุ่นเยาว์ที่โดดเด่น”

“พูดแล้วก็รู้สึกอับอายขึ้นมา อัจฉริยะของหุบเขาปีศาจเก้ามีมากมาย แต่กลับไม่มีสักคนที่จะเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์สามารถเป็นหน้าเป็นตาได้ หากว่าเจ้ายินยอมที่จะเป็นตัวแทนของข้าหุบเขาปีศาจเก้าเข้าร่วมงานในครั้งนี้ นั่นถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ กลายเป็นมารที่สิบ อยู่ใกล้แค่เอื้อม!”

เซียวจื่อเจี้ยนสายตาจ้องตรงเข้ามายังนัยน์ตาของหลัวซิว “สหายซิวหลัวคงจะไม่ปฏิเสธเป็นแน่ ใช่หรือไม่?”

คำพูดของเขาดูเหมือนจะเป็นการเจรจา แต่ความจริงนั้นแฝงไปด้วยความบังคับขู่เข็ญ กระทั่งหลัวซิวอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าหากเขากล้าบอกปฏิเสธ ชายตรงหน้ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะกลายเป็นคนไร้ความปรานี เผยด้านปีศาจที่แท้จริงออกมา

“ทวดมึงสิ!”

หลัวซิวทำได้เพียงตระโกนด่าอยู่ในใจเท่านั้น มารเก้าเซียวจื่อเจี้ยนผู้นี้ตอนที่เชิญเขามา ก็ใกล้เคียงกับการข่มขู่อยู่แล้ว พอเขามาถึง ก็ยังคงใช้อุบายเช่นเดิมบังคับให้เขาเป็นตัวแทนหุบเขาปีศาจเก้าไปร่วมงานบ้าบออะไรนั่นอีก

หลัวซิวปากกระตุก ฝืนบังคับใจตนไม่ให้ไปชกหน้าฝ่ายตรงข้าม แล้วเอ่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “ผู้น้อยต้องไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว”

“ดี! เช่นนั้นตอนนี้พวกเราก็ออกเดินทางกันเถิด!”

เซียวจื่อเจี้ยนหัวเราะเริงร่า ทันใดนั้นก็เอามือวางไว้บนไหล่ของหลัวซิว พลังแห่งโซนกฎดั้งเดิมหมุนเวียน ร่างของทั้งสองก็พลันเลือนหายไปในทันที