ว่าวตัวหนึ่งลอยอยู่บนฟ้า
ขณะเดียวกัน มุมที่ห่างไกลความเจริญมุมหนึ่ง หวังผ้อเช็ดโคลนออกจากใบหน้า แล้วหรี่ตามองไปยังภูเขาลูกเล็ก ย่อมจำได้ว่า นั่นคือว่าวของเซียวจาง
ว่าวตัวนั้นมิใช่ขาดเป็นชิ้นๆ อยู่บนกำแพงเมืองเสวี่ยเหล่าเมื่อหลายวันก่อนแล้วหรือ
ว่าวตัวนั้นเมื่อก่อนผูกติดอยู่กับคน วันนี้กลับผูกติดอยู่กับภาพภาพหนึ่ง
ภาพมีขนาดใหญ่มาก กว้างยาวราวสิบกว่าจั้ง โบกสะบัดตามแรงลม ราวกับคลื่นทุ่งข้าวสาลี แต่กลับไม่มีผลกระทบต่อรูปที่อยู่ในภาพ มองเห็นได้อย่างชัดเจน
ขุนพลเฟ่ยเตี่ยนที่เพิ่งได้ยาจูซาช่วยชีวิตไว้กำลังมองดูรูปภาพ สายตาที่พร่ามัวค่อยๆ รวมแสงเป็นจุดจุดเดียว กลายเป็นคมชัดสุดจะเปรียบ
ผู้อาวุโสสามท่านจากหน่วยเสบียงในท้องทุ่งรกร้างทางใต้ หรี่ตามองดูรูปภาพพร้อมกัน แล้วความทรงจำอันไร้สิ้นสุดก็ผุดขึ้น
ในเงามืดของหอคอยบนป้อมกำแพงเมือง คนชุดดำซุกมือทั้งสองข้างไว้ในแขนเสื้อ มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน
พวกเขาล้วนเคยเห็นรูปวาดในภาพมาก่อน
วัดมหายานที่สวยสดงดงามอย่างไม่น่าจะมีอยู่ในโลก
มรดกทางพุทธศาสนาขาดการการสืบทอดมายาวนาน
หลังจากวัดมหายานโด่งดังอยู่หลายปี ที่สุดแล้วก็ถูกไฟสงครามเผาทำลายเมื่อพันปีก่อน
พอเผ่ามารบุกเข้ามา ลั่วหยางถูกล้อมอยู่สามเดือน พลเมืองบาดเจ็บล้มตาย จนเหลือเพียงสามในสิบส่วน รวมแล้วถูกสังหารราวหกสิบล้านคน
จึงไม่รู้ว่ามรดกทางวัฒนธรรมอย่างวัดมหายานถูกทำลายไปมากน้อยเพียงใด
ความสง่างามทั้งหมด มอดไหม้ไปในกองเพลิง
ภาพวาดนี้ ก็คือภาพไฟไหม้วัดมหายาน
ผู้ที่เคยเห็นวัดมหายานถูกไฟไหม้กับตาตนเองมีน้อยมาก แต่ผู้ที่เคยเห็นภาพวัดมหายานในหนังสือและรู้เรื่องนั้นมีอยู่มากมาย
ส่วนเรื่องเมืองลั่วหยางถูกล้อม ยิ่งเป็นความอัปยศและความปวดร้าวที่ทุกคนไม่มีวันลืม
ภาพวาดขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนฟ้านั่น วาดได้ดีมาก มีชีวิตชีวาราวกับของจริง
ขณะมองดูเปลวเพลิงในภาพวาด เหล่าแม่ทัพนายกองก็คล้ายได้ยินเสียงที่ทำให้ปวดใจ เสียงของอาคารที่กำลังจะถล่มลงมาดัง เปรี๊ยะๆ
ในภาพวาดยังมีใบหน้าผู้คนมากมาย บ้างเจ็บปวด บ้างบิดเบี้ยว บ้างงุนงง บ้างเฉยชา สุดท้ายคนเหล่านี้ล้วนเสียชีวิตอยู่ในทะเลเพลิงนั่น
พอเห็นภาพนี้ แม่ทัพนายกองที่อยู่แนวหน้าก็เข้าใจเหตุผลง่ายๆ หนึ่งอย่างอีกครั้ง
นี่คือประวัติศาสตร์
นี่คือที่มาที่ไปของความโกรธแค้น
นี่คือสาเหตุที่ทำให้ตอนนี้เราต้องมาปรากฏตัวที่ด้านล่างของกำแพงเมืองเสวี่ยเหล่า
……
……
ขณะภาพและเรื่องราวในภาพแพร่กระจายไปในค่ายทหาร เรื่องอีกหนึ่งเรื่องก็ถูกคาดเดาและแพร่กระจายไปพร้อมๆ กัน
ว่ากันว่าตอนนั้น นักพรตอู๋ จิตรกรศักดิ์สิทธิ์ได้วาดภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัดมหายานอยู่นาน ภาพภาพนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาเป็นคนวาด
และตอนนี้ทั่วทั้งต้าลู่ก็ล้วนรู้ว่า นักพรตอู๋มิได้เสียชีวิต เขากำลังเดินทางท่องโลกกับใครบางคนอยู่
ถ้านักพรตอู๋มา ก็หมายความว่า…คนผู้นั้นมาด้วยใช่หรือไม่
เมื่อนึกว่าบุคคลในตำนานอย่างหวังจือเช่ออาจปรากฏตัวขึ้นในแนวหน้าได้ทุกเมื่อ ขวัญและกำลังใจในกองทัพเผ่ามนุษย์ก็เพิ่มขึ้น
ในทางกลับกัน ขวัญและกำลังใจของกองทัพเผ่ามารพลันลดลงไปไม่น้อย อีกทั้งยังลดลงมากกว่าระดับการเพิ่มขึ้นของเผ่ามนุษย์เสียอีก
สำหรับกองทัพเผ่ามนุษย์แล้ว ซางสิงโจวกับหวังจือเช่อมีอิทธิพลค่อนข้างมาก แต่สำหรับเผ่ามารกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง พวกเขาอาจไม่รู้ว่า จักรพรรดิเผ่ามนุษย์คนปัจจุบันคือใคร และไม่รู้จักเฉินฉางเซิง ไม่รู้ว่าซางสิงโจวคือจักรพรรดิเผ่ามนุษย์และอาจารย์ของเฉินฉางเซิง แต่พวกเขารู้แน่ๆ ว่าหวังจือเช่อคือใคร
……
……
ยามเย็น
พระอาทิตย์อัสดงย้อมทิศตะวันตกของเมืองเสวี่ยเหล่าจนเป็นสีแดง
ราวกับครึ่งค่อนเมืองจะระเบิดขึ้นมา
ทันใดนั้น บนกำแพงเมืองกับท้องทุ่งรกร้างด้านล่างก็เกิดเสียงตะโกนโห่ร้องอย่างกระตือรือร้นนับไม่ถ้วน
คำที่ร้องตะโกนฟังแล้วก็คล้ายคำว่า กู่หลุนมู่
แม่ทัพเผ่ามนุษย์หลายคนเข้าใจคำศัพท์ง่ายๆ ของชนเผ่ามารอยู่บ้าง โดยเฉพาะความหมายของคำนี้ พวกเขาไม่มีวันลืม
ในตอนที่พลทหารเผ่ามารคิดจะใช้ชีวิตแลกชีวิต จู่โจมเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง แล้วถูกล้อมอยู่บนยอดเขานั้น สุดท้ายก่อนฆ่าตัวตาย ล้วนต้องตะโกนคำนี้ออกมา
คำนี้หมายถึง จักรพรรดิเทพ
ในที่สุด ราชามารก็ปรากฏตัวขึ้น
เฉินฉางเซิงรับกระจกพันลี้ในมือของราชันแห่งหลิงไห่มา แล้วมองขึ้นไปบนเมืองเสวี่ยเหล่า
วันนี้อากาศบริสุทธิ์เป็นพิเศษ แสงอาทิตย์อัสดงมิได้ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการมอง สามารถเห็นภาพที่อยู่บนเมืองได้ค่อนข้างชัดเจน
แม้บางอย่างพร่ามัว แต่เฉินฉางเซิงก็จดจำใบหน้าที่ไม่ได้เห็นมานานหลายปีได้
เมื่อเทียบกับตอนแรกที่อยู่ในเมืองไป่ตี้ ราชามารดูสงบนิ่งขึ้นมาก ท่าทีก็สง่างามมากขึ้น
ขณะมองดูราชามารที่จงใจไว้หนวดเครา เฉินฉางเซิงก็นึกถึงถังซานสือลิ่ว จากนั้นก็เห็นเขามารของราชามาร ซึ่งตามหลักแล้ว ราชามารเป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่มีเขามาร จึงเป็นการทำขึ้นเองทั้งสองข้าง และตกแต่งเพิ่มเข้าไป จนดูเกินจริงมาก
เห็นชัดว่า นี่คือวิธีเอาชนะใจชนเผ่ามารชั้นกลางและชั้นล่าง
……
……
ซางสิงโจวมาถึงแล้ว
ราชามารปรากฏตัวแล้ว
หมายความว่า ช่วงเวลาของศึกชี้ชะตาครั้งสุดท้ายกำลังจะมาถึง
สำหรับเผ่ามาร ถ้าสามารถยืนหยัดรักษาเมืองเสวี่ยเหล่าไปจนถึงฤดูหนาวที่กำลังจะมาเยือน ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่พวกเขาไม่มีวิธีแก้ปัญหาเสบียงอาหาร นี่คือสภาวะเดียวกันกับเมืองลั่วหยางในตอนนั้นไม่มีผิด ต่อให้พวกเขาสังหารพลเมืองตัวเอง เพื่อลดจำนวนประชากรที่ไม่ใช่ทหารให้เหลือน้อยที่สุด ก็ไม่มีทางแก้ปัญหาเสบียงอาหารของนักรบนับแสนจากชนเผ่าต่างๆ ที่อยู่นอกเมืองได้
อีกทั้งกองทัพเผ่ามนุษย์ก็มีทางทิ้งศพเพื่อนทหารใดๆ ไว้ให้พวกเขาเป็นอันขาด
ปัจจัยด้านวันเวลา ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ และความสามัคคี ตอนนี้ดูไปแล้ว เผ่ามารได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ เผ่ามนุษย์ได้เปรียบเรื่องความสามัคคี ส่วนวันเวลา…
หิมะที่ตกล่าสุด ดูเหมือนสวรรค์โปรดเผ่ามารมากกว่า แต่วันเวลาเผด็จศึก เผ่ามนุษย์กลับเป็นผู้กำหนด
แล้วใครเล่าจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายของสงครามในครั้งนี้
……
……
เช้าของอีกวันหนึ่ง
ท้องทุ่งรกร้างนอกเมืองเสวี่ยเหล่าสงบนิ่งคล้ายยังไม่ตื่น
จู่ๆ เสียงแตรก็ดังขึ้น
แล้วโลกทั้งใบก็ตื่นนอน
ทุกชีวิตบนโลกล้วนกำลังรอโมงยามนี้
อาจเป็นเพราะความจริงแล้ว เมื่อคืนไม่มีใครหลับลงเลย
พลหมาป่ากองกำลังหลักของเผ่ามารได้ทำการจู่โจมกองทัพเส้นตะวันออกของเผ่ามนุษย์อย่างรุนแรง
หน้าดินสีดำบนท้องทุ่งรกร้างถูกพลิกกระจาย แล้วตกลงมาดุจห่าฝน ทั่วทุกหนแห่งมีแต่เสียงอาวุธ
กระทบกระทั่งกัน เสียงอู้อี้และเสียงร้องโหยหวน รวมทั้งเสียงก่อตัวของค่ายกล
กองทัพเส้นตะวันออกต้านทานการจู่โจมดุจกระแสน้ำของเผ่ามารอย่างยากลำบาก จนในที่สุดช่วงบ่ายก็มีเวลาพักที่กว่าจะหาได้
ค่ายใหญ่มีคำสั่งด่วนถึงแนวหน้า ขอให้กองทหารที่อยู่แถวหน้าสุดรีบถอยทัพ แล้วให้ทหารม้ากองหนุนผลัดเปลี่ยนเข้าแทนที่
ลูกธนูโบยบินอยู่บนฟ้า ปรามพลหอกของฝ่ายตรงข้าม และปกป้องกำลังพลของฝ่ายตน
กระบวนการทั้งหมดดำเนินไปอย่างมีระเบียบ แต่มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นในที่แห่งหนึ่ง
ค่ายเป่ยซานที่อยู่แนวหน้าสุดตั้งแต่เปิดศึกมาจนถึงตอนนี้ ปฏิเสธที่จะถอยทัพ
เนื่องจากกวนเฟยไป๋ไม่เชื่อฟังคำสั่ง
เขามิใช่ผู้บัญชาการของค่ายเป่ยซาน แต่เขาคือศิษย์พรรคกระบี่หลีซาน คือผู้แข็งแกร่งสุดในกอง
ช่วงแรก เขากับศิษย์น้องสองคนเสี่ยงอันตรายขึ้นไปสังหารชนเผ่ามารบนหน้าผา และมาถึงเมืองเสวี่ยเหล่าเป็นกลุ่มแรก
คนทั้งค่ายเป่ยซานในตอนนี้ จึงได้แต่ฟังคำสั่งของกวนเฟยไป๋
เหตุผลที่กวนเฟยไป๋ไม่ยอมถอยก็ง่ายมาก
ศิษย์น้องของเขา เหลียงปั้นหูตายแล้ว และกวนไป๋ก็ตายเพราะยกทัพมาช่วยพวกเขา
เขาจึงรบจนเลือดเข้าตาไปแล้ว
และในยามคับขันสุดๆ สวีโหย่วหรงก็มาถึงที่เกิดเหตุ พร้อมเสียงร้องของนกกระเรียน
กวนเฟยไป๋จับกระบี่ หรี่ตามองนาง แล้วส่งเสียงแหบแห้งชนิดต่ำสุดออกมา คล้ายสัตว์ป่าที่ไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายวัน
“ศิษย์น้อง อย่าห้ามข้า”
ดวงตาที่หรี่ลงของเขาเป็นสีแดงโลหิต
สวีโหย่วหรงรู้ว่าเขาดูเหมือนยังมีเหตุผล ยังร้อยเรียงคำพูดได้เป็นระเบียบ แต่ในความเป็นจริง เขาคลุ้มคลั่งไปแล้ว ไม่สามารถตักเตือนได้อีก
“ข้าจำได้ว่าศิษย์พี่ชิวซานน่าจะเตรียมถุงผ้าแพรใบหนึ่งให้พวกท่านไว้”
สวีโหย่วหรงมองตาเขาพลางว่า “ท่านน่าจะเปิดออกดู”
……
……