หิมะแรกในปีนี้มาเร็วกว่าปีก่อนๆ มาก
ตามบันทึกทางการทหาร กระทั่งเป็นปีที่เมืองเสวี่ยเหล่ามีหิมะตกอย่างเป็นทางการเร็วที่สุด ในรอบสามร้อยปีทีเดียว
หิมะตกมิได้หมายความว่า อากาศจะหนาวเย็นฉับพลัน แต่อย่างน้อยก็บอกแนวโน้มบางอย่าง
ที่น่ากลัวกว่าก็คือ สำหรับทั้งสองฝ่ายที่อ่อนล้าจนถึงขีดสุด ประโยชน์ของลางสังหรณ์ในใจเช่นนี้ อาจเปลี่ยนสถานการณ์การรบทั้งหมดในทันที
เมืองเสวี่ยเหล่าต้อนรับความเยือกเย็น ด้วยการสะสมหิมะไว้นานครึ่งปีโดยไม่ละลาย แต่สำหรับพลทหารเผ่ามนุษย์ การดำเนินการสู้รบท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่มีสภาพอากาศแบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าสู่ความตาย
ทุกคนล้วนเข้าใจดีว่า หิมะตกครั้งนี้ ในสงครามหมายถึงอะไร
เพื่อทำลายความมั่นใจที่พลทหารเผ่ามารสร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อทำลายลางสังหรณ์ที่อัปมงคลเช่นนี้ กระทั่งแม้เพียงเพื่อให้พลทหารเผ่ามนุษย์ไม่คิดถึงปัญหานี้มาก ขุนพลเทพเฮ่อหมิงจึงเริ่มทำการล้อมเมืองอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย กองทัพเส้นตะวันตกถูกขอให้เร่งความเร็วในการเก็บกวาดสนามรบ
ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ชนเผ่ามนุษย์ได้แสดงให้เห็นความกล้าหาญและการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งเหล่านั้น
เพื่อชดเชยความผิดพลาดแต่แรกของตนตอนอยู่ยอดเขานั่งรื่อหลั่ง เซียงอ๋องได้ออกศึกอย่างกล้าหาญ และบาดเจ็บสาหัสอีกครั้ง
เซียวจางก็ปรากฏตัวแล้ว ว่าวสามารถลอยไปถึงภูเขาเยียนจือ แต่ไม่สามารถลอยข้ามกำแพงเมืองนั่นได้ และเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง
ในที่สุด เหลียงหวังซุนก็ปรากฏตัวขึ้นในสนามรบ ดอกบัวสีทองเบ่งบานหน้าเมืองเสวี่ยเหล่า
และสุดท้ายเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส สลบไสลไม่ฟื้น ถูกแบกกลับเมืองสวินหยาง
เหลียงปั้นหู และเหลียงหงจวงรบจนตัวตาย เหลียงหวังซุนบาดเจ็บสาหัส
ในรัชสมัยก่อน สกุลเหลียงสู้รบกับเผ่ามาร โดยไม่คำนึงถึงความเป็นปฏิปักษ์กับราชวงศ์เฉิน จนถูกยกย่องว่ากล้าหาญและภักดี
ไม่รู้ว่าผู้สมคบคิดกับเผ่ามารในตอนนั้นอย่างเหลียงเสี้ยวเสี่ยว ถ้าตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ พอเห็นภาพเหล่านี้แล้ว จะมีความคิดเช่นไร
พอเกิดโศกนาฏกรรมของผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ขึ้น บวกกับการย้ายทหารไปและส่งแม่ทัพมาของขุนพลเทพเฮ่อหมิง บรรยากาศกดดันที่หิมะแรกนำพามาค่อยผ่อนคลายลงบ้าง
แต่การตกไม่หยุดของหิมะ ร่วมกับยังไม่เห็นผลของการใช้ยุทโธปกรณ์ปิดล้อมเมือง ขวัญและกำลังใจ
ของกองทัพเผ่ามนุษย์จึงยังคงลดลงเรื่อยๆ
ขณะที่เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงเตรียมลงมือนั้น ก็เกิดเรื่องหนึ่งขึ้น
พูดให้ถูกต้องก็คือ รถคันหนึ่งได้มาถึงนอกเมืองเสวี่ยเหล่า
ตัวรถมิได้เทียมด้วยม้า มิได้เทียมด้วยวัว และมิได้เทียมด้วยล่อ ไม่มีปศุสัตว์ลากจูง แต่กลับวิ่งไปข้างหน้าได้เอง ดูๆ ไปก็ค่อนข้างมหัศจรรย์
ล้อรถบดลงไปในดินโคลนและหิมะ ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ดูช้ามาก แต่กลับวิ่งจากทางใต้มาถึงค่ายทหารได้เร็วยิ่ง
ที่มหัศจรรย์กว่าก็คือ การเดินทางอย่างยาวนานจากทางใต้มาถึงที่นี่หลายหมื่นลี้ ระหว่างทางไม่รู้ว่ามีทหารเดนตายและนักเลงหัวไม้มากน้อยเพียงใด รถคันนี้ไม่มีทหารม้าคุ้มกันสักนาย แต่กลับอยู่รอดปลอดภัย
สายตานับไม่ถ้วนพุ่งไปที่รถ
ม่านหน้าต่างรถถูกเลิกขึ้น นักพรตน้อยผู้หนึ่งโผล่ศีรษะออกมา พอเห็นผู้คนนับแสนในท้องทุ่งรกร้าง ก็ปิดปากด้วยความตื่นตกใจ รีบหดศีรษะกลับเข้าไป
ในระยะเวลาอันสั้นนี้ เพียงพอที่จะให้ผู้คนมากมายเห็นได้อย่างชัดเจนว่า นักพรตน้อยผู้นี้ดูดีเป็นอย่างยิ่ง ผิวขาวเนียนดุจหยก ดวงตาใสกระจ่าง และฉลาดเฉลียว
……
……
“ข้าค่อนข้างโง่เขลาใช่หรือไม่”
เฉินฉางเซิงเก็บสายตาคืนกลับ หันมองสวีโหย่วหรง ลังเลเล็กน้อยก่อนว่า “แล้วก็…ไม่ได้ดูดีมากนัก?”
สวีโหย่วหรงรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงว่า “ตอนเป็นเด็ก เจ้าดูดีกว่าเขา”
เฉินฉางเซิงว่า “ตอนเด็กๆ เราแค่เขียนจดหมายถึงกัน ไม่เคยพบหน้ากันสักหน่อย”
สวีโหย่วหรงว่า “เรื่องนี้ ท่านนกกระเรียนพูด”
เสียงร้องของนกระเรียนดังมาจากฟากฟ้า
นั่นคือคำยืนยันจากกระเรียนขาว
……
……
รถคันเล็กจอดอยู่ในภูเขาลูกเล็กๆ นอกสนามรบ
ม่านหน้าต่างรถถูกเลิกขึ้นอีกครั้ง ก่อนแขวนกับตะขอไม้
นักพรตน้อยกระโดดลงบนพื้นดิน แล้วยื่นมือออก พยุงคนในรถให้ก้าวออกมา
สายตานับไม่ถ้วนมองตามการเคลื่อนที่ของรถคันเล็ก จากท้องทุ่งรกร้างทางใต้ มาจนถึงภูเขาลูกเล็กๆ
กระทั่งสงครามเสียงก่นด่าของนักรบชนเผ่านอกเมืองเสวี่ยเหล่าเหล่านั้นก็ล้วนหยุดลง
หลังจากเห็นนักพรตน้อยที่ผิวเนียนเรียบดุจหยก หลายคนก็เดาได้แล้วว่าคนในรถคือใคร
เร้นกายจากโลกอยู่สิบปี ไม่ได้แปลว่าชาวโลกไม่รู้ความเคลื่อนไหวในอารามฉางชุน
หลายคนล้วนรู้ว่า ในอารามมีนักพรตน้อยเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง
ส่วนที่ว่า นี่คือการแข่งบารมีกันระหว่าศิษย์กับอาจารย์คู่นั้นหรือไม่นั้น ใครจะรู้เล่า
……
……
ซางสิงโจวยังมาแล้ว
ในช่วงเวลาที่ขวัญกำลังใจของมวลมนุษย์ตกต่ำสุด
ในช่วงเวลาวิกฤตและอันตรายที่สุดของสงครามในครั้งนี้
เวลาห่างกันนับร้อยปี เขามาถึงเมืองเสวี่ยเหล่าอีกครั้ง
หลายคนเดาได้ รวมทั้งตัวเขาเองด้วยว่า นี่น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขามาเมืองเสวี่ยเหล่า
นอกจากเซียงอ๋องที่บาดเจ็บแล้ว เหล่าบุคคลสำคัญในกองทัพต่างทยอยกันไปคารวะเขาที่ภูเขาลูกเล็กทำให้เส้นทางไปกลับระหว่างท้องทุ่งรกร้างแต่ละที่นอกเมืองเสวี่ยเหล่า กับภูเขาลูกเล็กเกิดฝุ่นตลบไม่หยุด
การเร้นกายในลั่วหยางนานสิบปี มิได้ทำให้ชื่อเสียงเรียงนามของซางสิงโจวเสื่อมคลายลงเลย แถมยังดังมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
……
……
ขณะมองดูฝุ่นควันสายแล้วสายเล่าในท้องทุ่งรกร้าง ราชันแห่งหลิงไห่ก็ค่อยๆ เกิดความกังวลบนใบหน้า หันมองเฉินฉางเซิง อยากพูดเตือนสักสองสามคำ แต่รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
มุขนายกใหญ่อันหลินกลับจากแนวหน้าที่อันตรายสุด เขานำศพของกวนไป๋กลับมาด้วย
นักรบเผ่ามารนับแสนที่มาจากชนเผ่าต่างๆ นอกเมืองเสวี่ยเหล่า แม้ไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากราชวงศ์ทั้งหมด แต่ศักยภาพการของการเข่นฆ่าในสนามรบนั้นน่ากลัวจริงๆ
เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ข้างร่างของกวนไป๋เนิ่นนาน
ตอนสำนักจัดแสดงวิทยายุทธ์ กวนไป๋ยืนดูเขาอยู่ข้างถนน นี่เป็นการพบกันครั้งแรก
จากนั้นกวนไป๋ก็เข้าเมืองไปกับอู๋ฉยงปี้ ฆ่าสุนัขจรจัดอย่างเหี้ยมโหด แล้วกวนไป๋ก็แขนขาดไปข้างหนึ่ง
เนื่องจากเรื่องนี้ ไม่ว่าเปี๋ยยั่งหงพูดอย่างไร ไม่ว่าที่สุดแล้วอู๋ฉยงปี้มีสภาพที่น่าอนาถอย่างไร เฉินฉางเซิงก็ไม่เคยให้อภัยนาง
เขารู้สึกว่าคนอย่างกวนไป๋ ควรค่าแก่การเคารพมากกว่านี้ และควรมีจุดจบที่ดีกว่านี้
นึกไม่ถึงว่า สุดท้ายยังคงเป็นเช่นนี้ เช่นนี้เท่านั้น
“เหลียงปั้นหูล่ะ”
เฉินฉางเซิงถามมุขนายกใหญ่อันหลิน
เขาจำได้อย่างแม่นยำ
เนื่องจากมาถึงเมืองเสวี่ยเหล่าก่อนใคร กองทัพเส้นตะวันออกของค่ายเป่ยซานจึงถูกกองทัพเผ่ามารจับตามองมาตลอด และเสี่ยงต่อการถูกล้อมสังหารอยู่หลายครั้ง
ค่ำคืนหนึ่งเมื่อหลายวันก่อน ชนเผ่ามารเผ่าใหญ่ๆ สิบกว่าเผ่า ร่วมมือกันดำเนินการโต้ตอบเป็นครั้งแรก เป้าหมายคือค่ายเป่ยซาน
การต่อสู้ในคืนนั้นดำเนินไปอย่างโหดร้าย กวนไป๋นำทหารม้าสำนักฝึกหลวงพันนายไปช่วยติดต่อกันหลายคืน จนวิกฤตได้รับการแก้ไขในช่วงสุดท้าย
แต่กวนไป๋ก็รบจนเสียชีวิต และเหลียงปั้นหู หนึ่งในสามทหารม้าที่ไปถึงเมืองเสวี่ยเหล่าก่อน…ก็เสียชีวิตในสนามรบเช่นกัน
“เหลียงปั้นหูเลือกที่จะระเบิดตัวเอง” พอมุขนายกใหญ่อันหลินนึกถึงภาพในสนามรบอันโหดร้าย ใบหน้าก็เศร้าหมองลง มองเฉินฉางเซิงพลางลังเลเล็กน้อย ก่อนว่า “ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยากชดใช้ความผิดให้พี่น้องในตระกูลหรือเปล่า ได้ยินมาว่าเขาบุกตะลุยเข่นฆ่าในสนามรบอย่างอาจหาญ”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าในเวลาเช่นนี้ ตนควรพูดอะไรดี
มุขนายกใหญ่อันหลินจึงพูดต่อ “กวนเฟยไป๋ในตอนนี้มีปัญหาทางอารมณ์นิดหน่อย ต้องหาวิธีทำให้เขาถอยกลับมา”
เฉินฉางเซิงว่า “เจ้าไปหารือกับโหย่วหรงสิ”
อันหลินรับคำ แล้วจากไป
ราชันแห่งหลิงไห่จึงว่า “เราควรไปดูที่นั่นสักหน่อยไหม”
ที่นั่นย่อมหมายถึงภูเขาลูกเล็ก ที่ซางสิงโจวอยู่
จนถึงตอนนี้ เฉินฉางเซิงก็ยังไม่ได้ไปที่นั่น ราชันแห่งหลิงไห่กำลังรอนักบวชจากพระราชวังหลี จึงยังไม่ได้ไปเช่นกัน ซึ่งความจริงแล้ว มีนักบวชหลายคนมองไปที่นั่นไม่หยุดหย่อน
เฉินฉางเซิงเป็นสังฆราช มีฐานะสูงส่ง แต่อย่างไรก็เป็นศิษย์ ไม่ไปเยี่ยมคารวะก่อน ดูไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง
“ไม่ต้อง”
เฉินฉางเซิงดึงผ้าขาวขึ้น ปิดใบหน้าของกวนไป๋
เขาเดินนำราชันแห่งหลิงไห่ออกนอกกระโจม แล้วมองไปยังภูเขาลูกเล็กที่อยู่ห่างออกไป อยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุดก็ไม่ได้พูด
เช่นนี้ เฉินฉางเซิงจึงยังอยู่ในกระโจมตนเอง
ซางสิงโจวก็ยังอยู่ในรถตนเอง
ศิษย์อาจารย์ต่างนิ่งเงียบ ในระยะห่างกันร้อยกว่าลี้
นานๆ ครั้ง เฉินฉางเซิงจึงจะมองไปทางนั้นทีหนึ่ง
แต่ซางสิงโจวกลับหลับตาตั้งแต่แรก ปล่อยให้แสงอาทิตย์ที่ไม่อบอุ่นของเผ่ามารส่องต้องใบหน้า ราวกับอยากรีดริ้วรอยที่เหี่ยวย่นให้เรียบลงเสียหน่อย
ทุกคนรวมทั้งชนเผ่ามารในเมืองเสวี่ยเหล่า ล้วนอยากรู้ว่าซางสิงโจวจะทำอะไรต่อ
คิดๆ แล้วก็รู้สึกว่า เขาไม่น่าจะนั่งดูการสู้รบอยู่ในรถคันเล็กเช่นนี้
และแล้วเช้าวันรุ่งขึ้น ผู้คนก็เห็นว่า ซางสิงโจวทำอะไรบ้าง
เขากำลังแขวนภาพภาพหนึ่งบนฟ้า