ตอนที่ 1910 จักรพรรดิที่ไร้เทียมทาน

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ตอนที่ 1910 จักรพรรดิที่ไร้เทียมทาน

 

เอี๋ยนเซียนลู่มีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา ถึงแม้จะไม่ได้ดูน่าหลงใหลเหมือนกับเหลาซง แต่ก็ดูดีในแบบทั่วๆ ไป

 

เพียงแต่ทันทีที่เอี๋ยนเซียนลู่ปรากฏตัว ไม่ว่าจะเป็นเหลาซงหรือซานจี้ถงก็ถูกบดบังรัศมีในทันที ราวกับว่าทั้งสองเป็นได้เพียงตัวตนเบื้องล่างเอี๋ยนเซียนลู่

 

ทั้งๆ ที่เป็นระดับห้านิพพานเหมือนกัน แต่กลับต่างชั้นกันราวกับสวรรค์และปฐพี!

 

เอี๋ยนเซียนลู่มีทีท่าสงบนิ่ง แต่ผู้ติดตามทั้งสามที่อยู่เบื้องหลังกลับแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์แทนผู้เป็นนาย

 

คนเหล่านี้กล้าสร้างปัญหาในงานรวมตัวที่เอี๋ยนเซียนลู่จัดขึ้นงั้นรึ?

 

“พวกข้าก็แค่เล่นกันเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น” ซานจี้ถงยิ้มและยืนตรงตระหง่านราวกับเล่มดาบ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางยอมให้ตนเองดูด้อยค่า เมื่ออยู่ต่อหน้าเอี๋ยนเซียนลู่

 

จักรพรรดิเช่นเขาจะหวาดกลัวผู้ใดได้อย่างไร?

 

เอี๋ยนเซียนลู่ยิ้มมุมปากและไม่ไถ่ถามอะไรต่อ เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า ที่ตอนนี้ดวงตะวันขนาดมหึมากําลังหม่นแสง และค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยจันทรากับดวงดารามากมาย

 

“ยังมีเวลาเหลืออยู่ ก่อนที่ดวงดาวสามดวงจะโคจรมาบรรจบกัน” เขากล่าวเสียงเบา “ในเมื่อทุกคนมารอกันนานแล้ว พวกเรามานั่งพักกันก่อนดีกว่า”

 

อู๋เซียนลู่นั่งลงเป็นคนแรก ซึ่งการกระทําของเขานั้นได้ส่งผลให้ ราชาในหมู่ราชามากมายนั่งลงตามโดยไม่รู้ตัว

 

มีไม่กี่คนที่เป็นข้อยกเว้น อย่างเช่นซานจี้ถง เหลาซง หลิงฮัน และจักรพรรดินี ทางด้า นของสตรีนกอมตะ ได้หลิงฮันเป็นคนช่วยคุ้มกันทําให้ไม่เผลอนั่ง ในขณะที่ธิดาโร๋วก็ได้จักรพรรดินีคอยช่วยเหลือ เนื่องจากนางตั้งใจไว้แล้วว่าสตรีผู้นี้จะต้องเป็นคนของตระกูลหลิง จึงไม่อาจยอมให้ถูกผู้อื่นควบคุม

 

นอกจากชื่อที่กล่าวมาก็ยังมีอัจฉริยะอีกห้าคนที่ยังยืนตระหง่านอยู่ ถึงแม้พวกเขาจะยังไม่ใช่จักรพรรดิระดับห้านิพพาน แต่ก็มีศักยภาพพอที่จะบรรลุระดับนั้นได้

 

เอี๋ยนเซียนลู่กวาดสายตามองกลุ่มของหลิงฮัน ก่อนจะชะงักชั่วขณะแต่ก็ละสายตาออกได้อย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าต่อให้เป็นเสน่ห์ของจักรพรรดินี และธิดาโร๋วก็ไม่สามารถดึงดูดเขาได้

 

จิตใจของคนผู้นี้แข็งแกร่งจนน่าสะพรึงกลัว!

 

หลิงฮันยิ้มให้กับจักรพรรดินี ก่อนที่ทั้งสองจะนำเก้าอี้ออกมาจากอุปกรณ์มิติ และนั่งลงพร้อมกัน

 

พวกเขานั่งเพราะอยากนั่ง ไม่ใช่เพราะถูกควบคุมโดยเอี๋ยนเซียนลู่

 

เอี๋ยนเซียนลู่ยิ้ม “ที่เรียกทุกคนมาไกลขนาดนี้ เหตุผลข้อแรกก็เพราะต้องการแลกเปลี่ยนศาสตร์วรยุทธ…”

 

“ฮ่าๆๆ ” ซานจี้ถงหัวเราะอย่างเหยียดหยามแทรกขึ้นมาทันที “แลกเปลี่ยนวรยุทธกับคนเหล่านี้งั้นรึ? เอี๋ยนเซียนลู่ สมองของเจ้ามีปัญหาอย่างไร? เจ้าคิดว่าคนเหล่านี้จะเทียบเคียงพวกเราได้? ”

 

เขาคือจักรพรรดิ ส่วนคนเหล่านี้เป็นเพียงราชาในหมู่ราชา เพราะงั้นคนเหล่านี้จะถูกปฏิบัติอย่างทัดเทียมกับเขาได้อย่างไร?

 

“เจ้าว่าอย่างไรนะ!” ใครหลายคนลุกพรวดด้วยความเกรี้ยวกราด

 

“เหอะ ก็แค่ฝูงสวะไร้ค่า! ” ซานจี้ถงยิ้มเหยียดหยาม “ต่อให้พวกเจ้าร่วมมือกัน เพียงแค่หนึ่งนิ้วมือของข้า ก็สามารถกําราบพวกเจ้าให้สิ้นซากได้ไม่ยาก พวกเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่า ตนเองมีคุณสมบัติจะแลกเปลี่ยนวรยุทธกับข้า? ช่างน่าขันนัก”

 

“งั้นก็ลองดูได้! ” รุ่นเยาว์ชุดเขียวทะยานร่างออกมาด้านหน้า ที่หน้าผากของเขาลวดลายสามเส้นประทับเอาไว้

 

ซานจี้ถงมองไปยังอีกด้วยฝ่ายสีหน้าดูหมิ่น “ตระกูลอินเกองั้นรึ? ข้าจําได้ว่าในตระกูลเจ้ามีคนที่อัจฉริยะอยู่ผู้หนึ่งที่ชื่อฮาหมิง หรืออะไรนี่ล่ะ ในอดีตข้าเคยกําราบเขาด้วยการโจมตีเพียงสามกระบวนท่า! ”

 

ใบหน้าของรุ่นเยาว์ชุดเขียวเปลี่ยนสีทันใด พร้อมกับชี้นิ้วไปยังซานจี้ถง “จะ… เจ้าคือจ้าวอสูรเจ็ดดาบ! ”

 

“ที่นี้ยังอยากลองดีกับข้าอีกรึไม่? ” ซานจี้ถงกล่าวอย่างไม่แยแส

 

รุ่นเยาว์ชุดเขียวมีสีหน้าฉุนเฉียวแต่ก็ยอมหันหลังกลับไป

 

ฮาหมิงคือผู้อาวุโสที่อยู่ในยุคสมัยก่อนของเขา ในตอนที่อีกฝ่ายมีพลังบ่มเพาะระดับโลกียนิพพาน อีกฝ่ายมีพลังต่อสู้ที่ไร้เทียมทานเป็นอย่างมาก และถูกกล่าวขานว่าเป็นอัจฉริยะที่มีโอกาสบรรลุเป็นราชานิรันดร์ เพียงแต่ว่าครั้งหนึ่งที่อีกฝ่ายออกเดินทางไปฝึกฝน เขาได้พ่ายแพ้ให้กับนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานผู้หนึ่ง ทําให้ความมั่นใจในตัวเองถดถอย และหมดศักยภาพของอัจฉริยะ

 

คนที่โค่นฮาหมิงมีฉายาว่าจ้าวอสูรเจ็บดาบ เนื่องจากคู่ต่อสู้ทุกคนล้วนแต่ถูกเขากําราบจนหมดสภาพภายในเจ็ดดาบ

 

“จ้าวอสูรเจ็ดดาบ!”

 

ทุกคนตั้งสติกลับมาหลังจากที่ตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ ที่แท้ซานจี้ถงก็คือจ้าวอสูรเจ็ดดาบ!

 

ในอดีตเคยมีปรมาจารย์ดาบรุ่นเยาว์ที่ท้าทายผู้คนไปทั่วยุทธภพ ไม่รู้ว่ามีอัจฉริยะในระดับโลกียนิพพานมากมายกี่คนแล้วที่ถูกเขากําราบ จนหมดสิ้นความมั่นใจ

 

“เอี๋ยนเซียนลู่ ที่เจ้าชวนข้ามา มีเหตุผลอะไรกันแน่? ” ซานจี้ถงกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ถึงแม้นิรันดร์จะมีอายุขัยไร้ขีดจํากัด แต่เขาก็ไม่ต้องการทิ้งเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์เช่นนี้

 

เอี๋ยนเซียนลู่ยิ้มอย่างไม่แยแส “ยอดเขาสามตะวันแห่งนี้ คือสถานที่แห่งความสําเร็จของอาจารย์ของข้า เมื่อดวงดาวสามดวงโคจรมารวมตัวกัน จินตนภาพอันน่าอัศจรรย์จะอุบัติขึ้น”

 

“ในครั้งนี้ นอกจากเรียกพวกเจ้ามาเพื่อ เฉลิมฉลองวันครบรอบความสําเร็จให้กับอาจารย์ของข้าแล้ว อาจารย์ของข้ายังคาดเดาเอาไว้ว่า สวรรค์และปฐพี่จะสร้างจินตนภาพที่น่าอัศจรรย์ขึ้น ผู้ใดที่สามารถขึ้นไปบนยอดเขาได้ จะได้รับวาสนาอันยิ่งใหญ่จากสวรรค์และปฐพี!”

 

เขามองไปยังซานจี้ถงและเหลาซง ก่อนจะกล่าวต่อ “ที่ข้ายังไม่ทะลวงผ่านระดับแบ่งแยกวิญญาณ ก็เพราะรอคอยวันนี้อยู่”

 

“ในเมื่อมีวาสนาที่วิเศษขนาดนั้น ทําไมต้องเรียกพวกข้ามาแย่งชิงกับเจ้าด้วย? ” เหล่าซงถาม

 

“เมื่อดวงดาวสามโคจรมารวมกันในวันนี้ แรงกดดันของราชานิรันดร์จะลดลง แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าทุกคนจะมีคุณสมบัติขึ้นเขาไปได้” เอี๋ยนเซียนลู่กล่าว “ข้าไม่รังเกียจที่น่าจะแย่งชิงวาสนากับพวกเจ้า และนอกจากนั้นข้าก็ยังมีเรื่องสําคัญอื่นกับพวกเจ้าด้วย”

 

“เรื่องสําคัญอะไร? ” ซานจี้ถงเอ่ยถาม มีเพียงเขากับเหลาซงเท่านั้น ที่สามารถพูดคุยกับเอี๋ยนเซียนลู่ได้อย่างทัดเทียม

 

“ไม่จําเป็นต้องรีบ” เอี๋ยนเซียนลู่กล่าว “หากขึ้นไปถึงยอดเขาไม่ได้ ต่อให้รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์”